CIMjournal
banner test

All the rapid test to use


พญ. พิณทิพย์ สุชาติลิขิตวงศ์พญ. พิณทิพย์ สุชาติลิขิตวงศ์
หน่วยแบคทีเรียวิทยา ภาควิชาจุลชีววิทยา
คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

การวินิจฉัยโรคติดเชื้อมักต้องอาศัยข้อมูลทางคลินิกของผู้ป่วยประกอบกับข้อมูลการตรวจทางห้องปฏิบัติการที่ช่วยระบุเชื้อจุลชีพที่เป็นสาเหตุ ปัจจุบันการตรวจทางห้องปฏิบัติการที่ให้ผลการทดสอบอย่างรวดเร็ว หรือ rapid diagnostic tests (RDTs) มีบทบาทสำคัญเพิ่มขึ้นในการช่วยวินิจฉัยโรคติดเชื้อ ทำให้การดูแลรักษาผู้ป่วยเป็นไปได้อย่างรวดเร็วและมีความถูกต้องแม่นยำมากยิ่งขึ้น

โดยทั่วไป RDTs แต่ละชนิดถูกออกแบบให้ใช้ทดสอบหาแอนติเจนหรือสารพันธุกรรมของเชื้อจุลชีพในสิ่งส่งตรวจของผู้ป่วยโดยตรง หรือใช้ทดสอบหาแอนติบอดีที่ผู้ป่วยสร้างขึ้นและมีความจำเพาะต่อเชื้อจุลชีพที่สงสัย เทคนิคการทดสอบที่นิยมใช้ สำหรับ RDTs มีหลากหลายรูปแบบ เช่น immunochromatography (IC), lateral flow immunoassay (LFIA), immunofluorescence assay (IFA), enzyme immunoassay (EIA), latex agglutination, nucleic acid amplification test (NAAT) ซึ่งประกอบด้วยหลายวิธีย่อย เช่น singleplex polymerase chain reaction (PCR), multiplex PCR, reverse-transcription PCR (RT-PCR) เป็นต้น

บทความนี้จะขอกล่าวถึง RDTs สำหรับการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจและทางเดินอาหารพอสังเขป


RDTs สำหรับการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ1-4

โดยทั่วไป RDTs สำหรับทดสอบหาแอนติเจนของเชื้อไวรัสในทางเดินหายใจด้วยเทคนิค LFIA, IFA หรือ EIA จะมีความไวต่ำ แต่ความจำเพาะค่อนข้างสูง (มากกว่าร้อยละ 90) RDTs ที่ใช้ตรวจหาแอนติเจนของเชื้อไวรัส influenza, RSV, SARS-CoV-2, adenovirus และ hMPV ในผู้ป่วยที่มีอาการมีความไว ร้อยละ 50 – 70, 75 – 90, 70 – 80, 40 – 85 และ 50 – 90 ตามลำดับเมื่อเปรียบเทียบกับ gold standard ด้วยวิธี PCR หรือการเพาะเชื้อ ในขณะที่การทดสอบหาสารพันธุกรรมไวรัสด้วยเทคนิค multiplex PCR (ซึ่งสามารถตรวจหาเชื้อที่ก่อโรคทางเดินหายใจหลาย ๆ ชนิดได้พร้อมกัน เรียกว่า syndromic testing) จะมีความไวในภาพรวมสูง ร้อยละ 84 – 98 อย่างไรก็ตามต้องระวังในการแปลผล เนื่องจากเชื้อที่พบอาจอยู่ในภาวะ latency, persistence, non-viability, prolonged shedding หรือ cross-reactivity ซึ่งไม่สัมพันธ์กับอาการโรคของผู้ป่วย และเมื่อพิจารณาแยกตามชนิดของเชื้อไวรัส multiplex PCR บางยี่ห้ออาจมีความไวในการตรวจหาเชื้อบางชนิด เช่น adenovirus, influenza AH1/2009, influenza B ต่ำกว่าความไวในภาพรวม

นอกจากนี้การนำ RDTs ไปใช้ทางคลินิกควรพิจารณาปัจจัยที่มีผลต่อการทดสอบและแปลผล ได้แก่
  • Pre-test probability และความชุกโรค เช่น ผู้ป่วยมีอาการและอาการแสดงเข้าได้กับโรค มีประวัติ
    สัมผัสโรคชัดเจนหรืออยู่ในช่วงที่มีการระบาดของโรค (high prevalence) ผลการทดสอบที่ได้จะมี positive predictive value สูง (false-positive ต่ำ) แต่ negative predictive value ต่ำ (false-negative สูง)
  • ระยะเวลาในการเก็บสิ่งส่งตรวจที่มีโอกาสตรวจพบเชื้อไวรัสมากที่สุด คือภายใน 1 – 4 วันแรกนับจากเริ่มมีอาการป่วย
  • ตำแหน่งเก็บสิ่งส่งตรวจที่เหมาะสมสำหรับการติดเชื้อในทางเดินหายใจส่วนบน คือ nasopharynx และในทางเดินหายใจส่วนล่างคือ tracheal aspirate หรือ bronchoalveolar lavage fluid
  • ผู้ป่วย immunocompromised ที่นอนโรงพยาบาลหรืออาการโรครุนแรงจะได้ประโยชน์จากการตรวจด้วย NAAT หรือ multiplex PCR มากกว่าผู้ป่วย immunocompetent หรืออาการโรคไม่รุนแรงในแง่ cost-effectiveness


RDTs สำหรับการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร2, 5-9

การส่งตรวจอุจจาระในผู้ป่วยที่มีอาการท้องเสียเป็นวิธีหนึ่งในการค้นหาเชื้อก่อโรค RDTs ที่ใช้ตรวจหาแอนติเจนของเชื้อ rotavirus, adenovirus และ norovirus ซึ่งเป็นสาเหตุโรค infectious gastroenteritis ในเด็ก
ได้บ่อย มักใช้เทคนิค IC ในการตรวจ มีความไวในการทดสอบแตกต่างกัน (ร้อยละ 77 – 95, 85 – 95 และ 54 – 67 ตามลำดับ) แต่มีความจำเพาะสูงไม่ต่างกัน (มากกว่า ร้อยละ 95) ในขณะที่การทดสอบด้วย multiplex PCR ซึ่งจัด เป็น syndromic testing สามารถตรวจหาเชื้อไวรัส แบคทีเรีย และปรสิตที่ก่อโรคในทางเดินอาหารหลาย ๆ ชนิดได้พร้อมกัน มีความไวและความจำเพาะภาพรวม ร้อยละ 90 – 100 และมากกว่าร้อยละ 98 ตามลำดับให้ผลการทดสอบเร็วกว่าการเพาะเชื้ออย่างมีนัยสำคัญ และทำให้มีโอกาสตรวจพบเชื้อบางชนิดเพิ่มมากขึ้น เช่น Campylobacter, Salmonella, Shigella/enteroinvasive E. coli, Shiga-like toxin-producing E. coli อย่างไรก็ตามการแปลผลต้องอาศัยข้อมูลทางคลินิกและระบาดวิทยาประกอบ เนื่องจากมีโอกาสตรวจพบเชื้อมากกว่าหนึ่งชนิดสูงถึงร้อยละ 30 เนื่องจากเชื้อบางชนิดอาจมี prolonged shedding แม้หายจากอาการป่วยแล้ว เช่น norovirus, rotavirus, adenovirus, astrovirus, Salmonella เชื้อบางชนิดสามารถตรวจพบได้ในผู้ที่ไม่มีอาการป่วย เช่น Cryptosporidium, Giardia lamblia หรือเชื้อบางชนิดสามารถตรวจพบได้บ่อยขึ้นแต่ความสำคัญทางคลินิกไม่แน่ชัด เช่น sapovirus, enteroaggregative หรือ enteropathogenic E. coli เป็นต้น

เนื่องจากภาวะท้องเสียแบบเฉียบพลันสามารถหายได้เองในผู้ป่วยส่วนใหญ่ การส่งตรวจอุจจาระเพื่อค้นหาเชื้อก่อโรคจึงควรทำเฉพาะในกรณีดังต่อไปนี้
  • มีอาการท้องเสียไม่รุนแรงแต่นานกว่า 7 – 14 วันขึ้นไป หรือสัมพันธ์กับการเดินทาง (traveler’s diarrhea)
  • มีสัญญาณเตือนโรครุนแรง เช่น ไข้ อุจจาระมีเลือดปน ปวดท้องรุนแรง ปวดบิด (dysentery) ต้องนอน รพ. sepsis มีภาวะขาดน้ำ  immunocompromised host เป็นต้น
  • มีอาการท้องเสียหลังนอน รพ. 72 ชั่วโมงขึ้นไป (healthcare-associated diarrhea) หรือได้รับยาปฏิชีวนะใน 2-3 เดือนที่ผ่านมา ควรส่งอุจจาระเพื่อตรวจหา toxigenic Clostridioides difficile
  • สงสัยการระบาดของเชื้อจุลชีพที่ทำให้ท้องเสีย

 

เอกสารอ้างอิง
  1. Miller JM, Binnicker MJ, Campbell S, et al. Guide to utilization of the microbiology laboratory for diagnosis of infectious diseases: 2024 update by the Infectious Diseases Society of America (IDSA) and the American Society for Microbiology (ASM). Clin Infect Dis.2024:ciae104.
  2. Ramanan P, Bryson AL, Binnicker MJ, et al. Syndromic panel-based testing in clinical microbiology. Clin Microbiol Rev. 2017;31(1):e00024-17.
  3. Uyeki TM, Bernstein HH, Bradley JS, et al. Clinical practice guidelines by the Infectious Diseases Society of America: 2018 update on diagnosis, treatment, chemoprophylaxis, and institutional outbreak management of seasonal influenza. Clin Infect Dis. 2019;68(6):e1-e47.
  4. โสภิดา บุญสาธร. Point-of-care tests for pediatric practice: molecular and rapid test. ใน: วีระชัย วัฒนวีรเดช, กุลกัญญา โชคไพบูลย์กิจ, วนัทปรียา พงษ์สามารถ บรรณาธิการ. Update on pediatric infectious diseases 2022. นนทบุรี: บียอนด์ เอ็นเทอร์ไพรซ์, 2565:101-117.
  5. Hung PJ, Chen CC. Diagnostic accuracy of rotavirus antigen tests in children: a systematic review and meta-analysis. Trop Med Int Health. 2023;28:72–79.
  6. Goto E. Performance evaluation of detecting adenovirus by using rapid diagnostic kits among Japanese people. J Infect Chemother. 2012;18:361–369.
  7. Yoon SH, Kim HR, Ahn JG. Diagnostic accuracy of immunochromatographic tests for the detection of norovirus in stool specimens: a systematic review and meta-analysis. Microbiol Spectr. 2021; 9(1):e00467-21.
  8. Hanson KE, Couturier MR. Multiplexed molecular diagnostics for respiratory, gastrointestinal, and central nervous system infections. Clin Infect Dis. 2016;63(10):1361-1367.
  9. Shane AL, Mody RK, Crump JA, et al. 2017 Infectious Diseases Society of America clinical practice guidelines for the diagnosis and management of infectious diarrhea. Clin Infect Dis. 2017;65(12):e45–e80.

 

PDPA Icon

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

บันทึก