พ.อ. นพ. กิจจา จำปาศรี
กองอายุรกรรม รพ.พระมงกุฎเกล้า
การให้ยาละลายลิ่มเลือด (fibrinolytic therapy) เป็นหนึ่งในการรักษาสำคัญสำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน (acute coronary syndrome, ACS) ในกลุ่ม acute ST-segment elevation myocardial infarction (STEMI) ซึ่งมีอัตราการเสียชีวิตสูง มีความจำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างรวดเร็ว ถูกต้อง เหมาะสม ดังนั้น “เวลา” จึงเป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาผู้ป่วยโดยการเปิดหลอดเลือดหัวใจ (reperfusion therapy) เพื่อลดการสูญเสียกล้ามเนื้อหัวใจ และลดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นตามมา รวมถึงลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วย โดยเฉพาะกรณีที่ไม่สามารถส่งผู้ป่วยไปสวนหัวใจและเปิดหลอดเลือดที่อุดตันได้ทันที (primary PCI strategy)
แนวทางการวินิจฉัย Acute Coronary Syndrome
- ควรตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) และแปลผลเบื้องต้นให้ได้ภายใน 10 นาที โดยหากสงสัยกล้ามเนื้อหัวใจด้านหลังตาย (posterior wall MI) ควรตรวจ lead V7-V9 เพิ่มเติม และหากสงสัยกล้ามเนื้อหัวใจด้านล่างตาย (inferior wall MI) หรือกล้ามเนื้อหัวใจห้องขวาตาย (RV infarction) ควรตรวจ lead V3R และ V4R ร่วมด้วย
- ควรส่งตรวจ cardiac biomarker แต่ควรให้การรักษาโดยไม่ต้องรอผลการตรวจ
- ในกรณีที่ยังวินิจฉัย NSETMI ไม่ได้ชัดเจน ควรส่งตรวจ ECG และ high-sensitivity cardiac troponinซ้ำที่ 1-2 ชั่วโมง (0h/1h Algorithm) และอีกครั้งที่ 3 ชั่วโมงหากยังไม่ชัดเจน
เมื่อวินิจฉัยเป็น STEMI แล้ว ควรมีมาตรการการดูแล มีแพทย์ผู้ตัดสินทางเลือกในการให้ยาละลายลิ่มเลือด หรือส่งต่อเพื่อทำการเปิดหลอดเลือดด้วยสายสวน ภายใต้การประสานงานเป็นทีมของแพทย์ฉุกเฉิน ห้องฉุกเฉิน หอผู้ป่วยวิกฤต และห้องปฏิบัติการสวนหัวใจ
การรักษาผู้ป่วย STEMI โดยการเปิดหลอดเลือดหัวใจ (reperfusion therapy)
- ผู้ป่วย STEMI ทุกรายควรได้รับการรักษาโดยการเปิดหลอดเลือดหัวใจภายใน 12 ชั่วโมงหลังเริ่มมีอาการเจ็บหน้าอก โดยควรเลือกทำ primary PCI เป็นอันดับแรก ถ้าสามารถทำได้และอยู่ในระยะเวลาที่เหมาะสม คือภายใน 120 นาที (an absolute time of 120 min from STEMI diagnosis to PCI-mediated reperfusion i.e. wire crossing of the infarct-related artery)
- หากไม่สามารถรักษาด้วย primary PCI ได้ ให้ใช้ยาละลายลิ่มเลือด (fibrinolytic therapy) โดยเร็วที่สุด คือภายใน 10 นาที ถ้าไม่มีข้อห้าม
- ในกรณีที่เจ็บหน้าอกนานกว่า 12 ชั่วโมง แต่หากยังมีอาการเจ็บหน้าอก มีระบบไหลเวียนโลหิตไม่คงที่ หรือมีหัวใจเต้นผิดจังหวะที่รุนแรงถึงชีวิต แนะนำให้เลือกทำ primary PCI
การรักษาผู้ป่วย ACS ด้วยยาละลายลิ่มเลือด (fibrinolytic therapy)
- ควรเลือกยาในกลุ่ม fibrin-specific (Tenecteplase, alteplase) มากกว่า streptokinase (SK)
- อาจพิจารณาให้ SK ในกรณีที่ไม่สามารถใช้ยากลุ่ม fibrin-specific ได้ และไม่มีข้อห้ามใช้ SK รวมถึงไม่เคยได้รับยา SK มาก่อน
การให้ยาต้านเกล็ดเลือดในผู้ป่วยที่ได้ fibrinolytic therapy
- ให้ aspirin ครั้งแรก loading ขนาด 162-325 มก. ตามด้วย 81-100 มก.ต่อวัน
- ให้ clopidogrel ครั้งแรก loading ขนาด 300 มก. เฉพาะในผู้ป่วยอายุน้อยกว่าหรือเท่ากับ 75 ปี (ในผู้ป่วยอายุ >75 ปีไม่ต้อง loading) ตามด้วย 75 มก.ต่อวัน
- การให้ยา potent P2Y12 inhibitor (ticagrelor, prasugrel) ในผู้ป่วยที่ได้รับ fibrinolytic therapy ควรอยู่ในดุลพินิจของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
การให้ยา anticoagulant หลังได้รับ fibrinolytic therapy
- ในผู้ป่วยที่ได้รับยา SK ควรเริ่ม anticoagulant เมื่อ aPTT ลดลงต่ำกว่า 5 เท่า เพื่อลดการเกิดภาวะแทรกซ้อนในเรื่อง bleeding
- ในผู้ที่ได้รับยากลุ่ม fibrin-specific ควรได้รับยา anticoagulant ทุกราย
ข้อห้ามในการให้ยาละลายลิ่มเลือด
สิ่งสำคัญที่สุดก่อนตัดสินใจให้การรักษาด้วย fibrinolytic therapy คือต้องดูก่อนว่าผู้ป่วยมีข้อห้ามในการให้ยาในกลุ่มดังกล่าวหรือไม่ โดยมีข้อห้ามเด็ดขาด (absolute contraindications) และข้อที่ไม่ควรให้ (relative contraindications) อย่างละ 6 ข้อดังนี้
สำหรับยา Streptokinase (SK) มีอีกหนึ่ง absolute contraindication คือห้ามให้ SK ซ้ำ ในกรณีที่เคยได้รับการรักษาด้วย SK มาก่อน และอย่างไรก็ตาม แม้ว่าผู้ป่วยจะไม่มีข้อห้ามดังกล่าว ก็ควรให้ผู้ป่วยและญาติทราบว่ายังมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนด้าน bleeding ได้ รวมถึงควรให้มีส่วนร่วมตัดสินใจรักษาด้วย
การส่งต่อเพื่อสวนหัวใจในผู้ป่วยที่ได้รับ fibrinolytic therapy
- หลอดเลือดหัวใจไม่เปิดหลังการให้ยาละลายลิ่มเลือดภายใน 90 นาที โดยประเมินจากอาการ และ ECG ที่พบ ST segment ลดลงจากเดิม <50%
- มีภาวะหัวใจล้มเหลว หรือ cardiogenic shock
- Byrne RA, Rossello X, Coughlan JJ, et al. ESC Scientific Document Group. 2023 ESC Guidelines for the management of acute coronary syndromes. Eur Heart J. 2023 Oct 12;44(38):3720-3826. doi: 10.1093/eurheartj/ehad191. PMID: 37622654.2021 AHA/ACC/ASE/CHEST/SAEM/SCCT/ SCMR Guideline for the Evaluation and Diagnosis of Chest Pain
- Lawton JS, Tamis-Holland JE, Bangalore S, et al. 2021 ACC/AHA/SCAI Guideline for Coronary Artery Revascularization: A Report of the American College of Cardiology/American Heart Association Joint Committee on Clinical Practice Guidelines. Circulation. 2022 Jan 18;145(3):e18-e114. doi: 10.1161/CIR.0000000000001038. Epub 2021 Dec 9. Erratum in: Circulation. 2022 Mar 15;145(11):e772. PMID: 34882435.
- Gulati M, Levy PD, Mukherjee D, et al. 2021 AHA/ACC/ASE/CHEST/SAEM/SCCT/SCMR Guideline for the Evaluation and Diagnosis of Chest Pain: A Report of the American College of Cardiology/American Heart Association Joint Committee on Clinical Practice Guidelines. Circulation. 2021 Nov 30;144(22):e368-e454. doi: 10.1161/CIR.0000000000001029. Epub 2021 Oct 28. Erratum in: Circulation. 2021 Nov 30;144(22):e455. Erratum in: Circulation. 2023 Dec 12;148(24):e281. PMID: 34709879.
- แนวเวชปฏิบัติการดูแลรักษาผู้ป่วยภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน พ.ศ.2563 (Thai Acute Coronary Syndrome Guidelines 2020)