ศ.คลินิก นพ. วีระศักดิ์ ศรินนภากร
งานต่อมไร้ท่อ กลุ่มงานอายุรศาสตร์
โรงพยาบาลราชวิถี
เนื่องจากมีการให้คำแนะนำจาก American Diabetes Association ในปี ค.ศ. 2024 เกี่ยวข้องกับการรักษาผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 และ 2 ซึ่งได้สรุป ดังนี้
1. การแนะนำการใช้ยาในผู้ใหญ่ที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 1
-
- พิจารณาใช้ยา CGM หรือ multiple daily dose insulin
- พิจารณาการใช้ insulin analog หรือ inhale insulin ในผู้เป็นเบาหวานชนิดที่ 1 เพื่อลดภาวะน้ำตาลต่ำ
- แนะนำการใช้ CGM ในช่วงแรก ๆ ในผู้เป็นเบาหวานชนิดที่ 1 เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีและลดภาวะน้ำตาลต่ำ
- แนะนำการใช้ automated insulin delivery systems (AID) ในผู้เป็นเบาหวานชนิดที่ 1 ทุกราย
- มีการให้ความรู้การปรับอินซูลินตาม อาหาร การออกกำลังกาย ระดับน้ำตาล แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงน้ำตาลและวันที่เจ็บป่วย
- มีการประเมินการวางแผนการฉีดอินซูลินและการฉีดอินซูลินเป็นระยะ เช่น 3 – 6 เดือน เพื่อให้การฉีดยาที่ได้ผลและเลือกวิธีเฉพาะสำหรับผู้เป็นเบาหวาน
-
- Pramlintide ลด HbA1c เพิ่มอีก 3 – 0.4% และลดน้ำหนักลงประมาณ 1 กก.
- Metformin อาจจะลด HbA1c น้ำหนักตัว ไขมัน แต่มักไม่ได้ผลดีขึ้นต่อเนื่อง
- GLP-1 RA (Liraglutide 1.8 mg) ลด HbA1c เพิ่มอีกประมาณ 4% และลดน้ำหนักลงประมาณ 5 กก. และลดขนาดยาอินซูลิน
- Sodium–glucose cotransporter 2 (SGLT2) ลด HbA1c น้ำหนักตัว ความดันโลหิต แต่เพิ่มความเสี่ยงการเกิด DKA การใช้ยา SGLT1/2 inhibitor (sotagliflozin) ลด HbA1c และน้ำหนักตัว เพิ่มความเสี่ยง DKA ประมาณ 8 เท่า
- ปัจจุบันอาจจะยังไม่มียาที่ได้รับข้อบ่งชี้ในการชะลอการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ในกลุ่มเสี่ยง
2. การแนะนำการใช้ยาในผู้ใหญ่ที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2
- การให้ความรู้และสนับสนุนเพื่อให้มีสุขภาพที่ดี การเห็นความสำคัญแต่เริ่ม หลีกเลี่ยง therapeutic inertia
- การดูแลโดยผู้ป่วยเป็นศูนย์กลางโดยพิจารณาปัจจัย โรคร่วม เช่น โรคไต โรคหัวใจ ประสิทธิภาพของยา ความเสี่ยงต่อน้ำตาลต่ำ ราคาและการเข้าถึงยา ผลข้างเคียงและความชอบของผู้ป่วย
- พิจารณาใช้ยาเบาหวานเพื่อให้ได้เป้าหมายระดับน้ำตาลและน้ำหนักตัวในผู้เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ในแต่ละรายที่ยังไม่มีโรคหัวใจและหลอดเลือด และโรคไต
- การใช้ยาที่มีประสิทธิภาพเพียงพอเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลตามเป้าหมาย
- ไม่ควรล่าช้าในการปรับเปลี่ยนการรักษาไม่ว่าจะเข้มงวดมากขึ้นหรือลดความเข้มงวดในผู้ป่วยแต่ละราย
- มีการประเมินการวางแผนการใช้ยาและการใช้ยาเป็นระยะ เช่น 3 – 6 เดือน เพื่อให้เลือกยาสำหรับผู้เป็นเบาหวานให้ได้ตามเป้าหมาย
- แนะนำ early combination ในผู้เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ระยะแรก ๆ เพื่อลดระยะเวลาให้ได้ระดับน้ำตาลเป้าหมาย
- พิจารณาใช้ยาเบาหวานเพิ่มเติมเพื่อให้ได้เป้าหมายระดับน้ำตาลและคำนึงถึงน้ำหนักตัวภาวะน้ำตาลต่ำ
- ในผู้เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ที่น้ำหนักตัวไม่ได้เป้าหมาย พิจารณาให้ intensification of lifestyle modifications, structured weight management programs, pharmacologic agents, หรือmetabolic surgery, ตามความเหมาะสม)
- พิจารณาให้ยา SGLT2 inh และ/หรือ GLP1 RA ที่ลดโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไต โรคหัวใจวาย ในผู้ที่มีโรคหรือความเสี่ยงสูงตามแนวทางการใช้ยา
- ในผู้ป่วยเบาหวานที่มีหัวใจวายที่มี ejection fraction ต่ำหรือปกติ พิจารณาเพิ่ม SGLT-2 inh ในการดูแลและป้องกันภาวะหัวใจวายในผู้เป็นเบาหวานที่ต้องรับการรักษาตัวในโรงพยาบาล
- ในผู้ป่วยเบาหวานที่มีโรคไต ที่มี eGFR 20–60 mL/min per 73 m2 และ/หรือ albuminuria พิจารณายากลุ่ม SGLT-2 inh เพื่อชะลอการเสื่อมของไต แต่อย่างไรก็ตามผลการลดน้ำตาลของยาในกลุ่มนี้จะลดลงกรณีที่มี eGFR <45 mL/min per 1.73 m2
- ในผู้ป่วยเบาหวานที่มีโรคไต CKD ที่รุนแรงมากขึ้น (eGFR <30 mL/min per 73 m2 พิจารณา GLP-1 RA เนื่องจากไม่เกิดภาวะน้ำตาลต่ำและมีผลดีต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด
- การเริ่มอินซูลินควรพิจารณาในผู้ที่มีอาการน้ำหนักตัวลดลง ควบคุมน้ำตาลไม่ได้ เช่น HbA1c > 10%, FPG > 300 mg/dL โดยไม่ได้ขึ้นกับชนิดยาเบาหวานเดิม
- การใช้ยา GLP-1 RA หรือ GLP-1/GIP RA อาจจะพิจารณามากกว่าอินซูลิน
- ในกรณีที่ใช้ยาอินซูลินร่วมกับยา GLP-1 RA หรือ GLP-1/GIP RA พิจารณาปรับขนาดยาอินซูลิน
- พิจารณาให้ใช้ยาต่อเนื่องแม้ว่าเริ่มอินซูลินในผู้ป่วยเบาหวานกรณีที่หวังผลการลดน้ำหนักตัวหรือประโยชน์ต่อหัวใจและหลอดเลือด
- เมื่อเริ่มอินซูลินควรพิจารณาลดยาที่ทำให้เกิดน้ำตาลต่ำ เช่น sulfonylurea, glinide
- ในกรณีที่มี overbasalization ได้แก่ ขนาดยา basal > 5 units/kg/day, มีความแตกต่างของ bedtime-to-morning หรือ postprandial-to-preprandial glucose สูง, การเกิดภาวะน้ำตาลต่ำ ไม่ว่าจะเป็น aware หรือ unaware) และ glycemic variability สูง พิจารณาปรับการรักษาเป็นราย ๆ
- พิจารณาอุปสรรคค่าใช้จ่ายในการดูแลและเลือกยาที่เหมาะสม