ศ. นพ. สมศักดิ์ เทียมเก่า1, 2
1 สาขาประสาทวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
2 กลุ่มวิจัยโรคลมชักแบบบูรณาการ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
คลินิกโรคลมชักเป็นคลินิกเฉพาะโรค ที่มีแพทย์เฉพาะทางและบุคลากรทีมสุขภาพ ได้แก่ เภสัชกรและพยาบาลที่มีความชำนาญโรคลมชักอยู่ประจำ มุ่งเน้นการบริหารจัดการที่ง่าย แต่ให้ประโยชน์สูงสุด คุ้มค่าในการรักษาแบบผู้ป่วยนอกทำให้การรักษามีประสิทธิภาพ ผู้ป่วยสะดวกและปลอดภัย ลดเวลาของทั้งผู้ป่วยและแพทย์ รวมทั้งประหยัดค่าใช้จ่ายของผู้ป่วยและสถานพยาบาล จากการศึกษาผลลัพธ์ทางคลินิกของผู้ป่วยโรคลมชัก คลินิกโรคลมชัก โรงพยาบาลศรีนครินทร์ พบว่า การให้บริการคลินิกโรคลมชักโดยทีมสหสาขาวิชาชีพทำให้มีผลลัพธ์ทางคลินิกที่ดีขึ้น ความถี่ในการชักของผู้ป่วยลดลง และจากการศึกษาความพึงพอใจของผู้มารับบริการ ณ คลินิกโรคลมชัก โรงพยาบาลศรีนครินทร์ โดยภาพรวม พบว่า ผู้มารับบริการมีความพึงพอใจในระดับพึงพอใจมาก โดยมีความพึงพอใจในด้านบุคลากรมากที่สุด ทั้งแพทย์ เภสัชกรและพยาบาล ดังนั้น การจัดการคลินิกโรคลมชัก จึงควรให้การดูแลแบบทีมสหสาขาวิชาชีพเพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่ผู้ป่วยสูงสุด
บทบาทของทีมสหสาขาวิชาชีพในคลินิกโรคลมชัก
บทบาทหน้าที่ของแพทย์
แพทย์เป็นหัวหน้าทีม มีบทบาทหน้าที่หลักในการตรวจวินิจฉัยโรคลมชักแยกประเภทของการชัก เลือกแนวทางการรักษาที่เหมาะสมตามแนวทางการรักษามาตรฐานให้ข้อมูลเรื่องโรคและพยากรณ์ของโรคแก่ผู้ป่วย และติดตามผลการรักษา
บทบาทหน้าที่ของพยาบาล
บทบาทหน้าที่ของพยาบาลในคลินิกโรคลมชัก มีดังนี้
- การคัดกรอง ประเมินอาการผู้ป่วย เพื่อเป็นข้อมูลในการพยาบาลและให้การรักษาที่เหมาะสมต่อไป
- การให้ความรู้ คำแนะนำ พยาบาลเป็นบุคลากรทีมสุขภาพที่มีโอกาสอยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยและญาติมากที่สุด จึงมีบทบาทสำคัญในการให้ความรู้คำแนะนำ อธิบายสิ่งต่าง ๆ ที่ผู้ป่วยโรคลมชักและญาติควรรู้ รวมถึงการสนับสนุนให้กำลังใจผู้ป่วยเพื่อให้ผู้ป่วยและญาติสามารถนำความรู้ไปปฏิบัติตัวในการดูแลตนเองได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม และเพื่อให้ผู้ป่วยโรคลมชักมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งกิจกรรมพยาบาลผู้ป่วยโรคลมชักที่มีความเหมาะสมและเกิดประโยชน์ต่อผู้ป่วย และผู้ดูแลมากที่สุด คือ กิจกรรมกลุ่มสนับสนุนผู้ป่วยโรคลมชัก (epilepsy support group) ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้ป่วยโรคลมชักและผู้ดูแลได้มีโอกาสระบายความรู้สึก ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ความเจ็บป่วยซึ่งกันและกัน
กลุ่มสนับสนุนผู้ป่วยโรคลมชัก (epilepsy support group)
การจัดกิจกรรมกลุ่มสนับสนุนผู้ป่วยโรคลมชักเป็นกิจกรรมการพยาบาลที่มีประโยชน์สำหรับผู้ป่วยและญาติ ซึ่งใช้ระยะเวลาที่ผู้ป่วยและญาติ นั่งรอรับการตรวจมาเข้ากลุ่ม โดยการรวมตัวกันของผู้ป่วยโรคลมชักที่มีประสบการณ์ หรือมีปัญหาที่คล้ายคลึงกัน เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้ป่วยโรคลมชักและผู้ดูแลได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ความเจ็บป่วยร่วมกัน ได้ช่วยเหลือเพื่อนที่มีความทุกข์มากกว่า จึงทำให้ผู้ป่วยเห็นคุณค่าในตนเอง มีความเชื่อมั่นในตนเอง เกิดความรู้สึกไม่แตกต่างเพราะผู้ป่วยมีปัญหาที่คล้ายกัน ช่วยให้มีความหวัง มีความรู้สึกต่อตัวเองดีขึ้น เมื่อได้รับรู้ว่าไม่เพียงแต่ตนเองแค่นั้นที่ต้องต่อสู้อยู่กับโรคเพียงลำพัง ยังมีเพื่อนร่วมต่อสู้แลกเปลี่ยนกัน มีความเข้าใจชีวิตมากขึ้น และได้รับกำลังใจจากการเข้าร่วมกลุ่ม เกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจกัน ได้ระบายความรู้สึกทำให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายใจทำให้เข้าใจตนเองและชีวิตมากขึ้น มีการปรับตัวต่อปัญหา ยอมรับปัญหา สามารถเผชิญปัญหาได้อย่างเหมาะสม มีแหล่งสนับสนุน เกิดความมั่นคงทางอารมณ์ มีการเรียนรู้แบบอย่างที่ดีในการดูแลตนเอง มีแนวทางในการแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ขั้นตอนการดำเนินกิจกรรมกลุ่ม
ผู้นำกลุ่มเป็นพยาบาลประจำคลินิกโรคลมชักที่มีประสบการณ์ในการดูแลผู้ป่วยโรคลมชัก มีขั้นตอนในการดำเนินการดังนี้
- ขั้นเลือกสมาชิก สมาชิกกลุ่มควรมีลักษณะใกล้เคียงกันด้วยเพศ วัย และมีปัญหาคล้าย ๆ กัน
- กำหนดขนาดของกลุ่ม มีสมาชิกกลุ่มตั้งแต่ 6 – 10 คน ระยะเวลาในการทำกลุ่มประมาณ 60 – 90 นาที
- สถานที่ที่ใช้ในการดำเนินการกิจกรรมกลุ่มก็มีความสำคัญ โดยควรเป็นห้องที่มีความเป็นส่วนตัว สะอาด สงบ เงียบ ห้องไม่กว้าง หรือแคบจนเกินไปอากาศถ่ายเทสะดวก อากาศไม่ร้อนหรือเย็นจนเกินไป และไม่ควรมีโต๊ะคั่นกลาง
- ขั้นการดำเนินการกลุ่มมี 3 ขั้นตอน
- ระยะที่ 1 การสร้างสัมพันธภาพในกลุ่ม โดยผู้นำกลุ่มสร้างความคุ้นเคยให้สมาชิกแนะนำตัว สร้างสัมพันธภาพระหว่างสมาชิก สร้างความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ชี้แจงวัตถุประสงค์และกติกาภายในกลุ่ม
- ระยะที่ 2 ช่วงการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ สมาชิกซักถามปัญหาและแลกเปลี่ยนประสบการณ์การเจ็บป่วยและแลกเปลี่ยนความรู้สึก แลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่องโรคและแนวทางการดูแลตนเอง ผู้นำกระตุ้นให้เกิดการแลกเปลี่ยนการให้กำลังใจซึ่งกันและกัน
- ระยะที่ 3 หลังการแลกเปลี่ยนข้อมูล พยาบาลผู้นำกลุ่มให้สมาชิกกลุ่มสรุปสิ่งที่ได้เรียนรู้ และประโยชน์ที่จะนำไปใช้กับตนเอง กำลังใจที่ได้รับจากการเข้าร่วมกลุ่ม
ประโยชน์ของกิจกรรมกลุ่มสนับสนุนผู้ป่วยโรคลมชัก
- บรรยากาศสัมพันธภาพที่อบอุ่น เห็นอกเห็นใจ รับฟังแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ซึ่งกันและกัน
- เกิดความไว้วางใจ ยอมรับซึ่งกันและกัน สามารถบอกเล่าความรู้สึกที่เป็นปัญหา ตลอดจนรับฟังเรื่องที่เป็นปัญหาของสมาชิกได้ เป็นการเปิดเผยปัญหา ถ่ายทอดความรู้สึกแก่กันและกัน
- สมาชิกกลุ่มได้รับข้อมูล ความรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติตัวเพิ่มขึ้น
- มีความรู้สึกว่าตนเองไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว มีคนอื่น ๆ ที่มีปัญหาคล้าย ๆ กัน
- สมาชิกได้เรียนรู้การให้และรับความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
- สมาชิกได้เรียนรู้ประสบการณ์การเจ็บป่วยจากกันและกัน
- สร้างความเชื่อมั่นในการเผชิญและแก้ไขปัญหาได้อย่างเหมาะสม
- ได้ระบายความรู้สึก ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายใจ ทำให้เข้าใจตนเองและชีวิตมากขึ้น
ผลการศึกษาของ Sawanchareon และคณะ พบว่า กิจกรรมกลุ่มสนับสนุนในผู้ป่วยโรคลมชัก มีประโยชน์ต่อผู้ป่วยทำให้มีความเชื่อมั่นในตนเอง (selfesteem) เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ผู้ป่วยเมื่อได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มย่อมเกิดความภาคภูมิใจ ได้รับกำลังใจ มีความหวัง มีความรู้สึกต่อตัวเองดีขึ้น เมื่อได้รับรู้ว่าไม่เพียงแต่ตนเองแค่นั้นที่เป็นโรคนี้ การได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์การเจ็บป่วยกันและกัน ทำให้มีความเข้าใจชีวิตมากขึ้นและได้รับกำลังใจจากการเข้ากลุ่มในกระบวนการกลุ่มผู้ป่วยได้เข้าใจโรค ยอมรับผลทางร่างกายและจิตใจ ส่งเสริมการทำหน้าที่ในสังคม รู้ว่าตนเองสามารถเป็นประโยชน์ให้กับคนอื่น ๆ ช่วยให้เกิดการปรับตัวที่ดีขึ้น จึงส่งผลต่อความเชื่อมั่นในตนเองสูงขึ้นด้วย
การนัดหมายและให้ข้อมูล พยาบาลมีหน้าที่ให้คำแนะนำขั้นตอนของการรับบริการและการส่งตรวจอื่น ๆ แก่ผู้ป่วย ได้แก่ การเจาะเลือดวัดระดับยากันชัก การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง (electroencephalography; EEG) การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมอง (CT scan) และการตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) เป็นต้น รวมถึงการติดตามผู้ป่วยให้มาตามนัดเพื่อให้เกิดความร่วมมือในการรักษานอกจากนี้ พยาบาล คือ ผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการประสานงานในทีมสุขภาพผู้ป่วยและญาติ เพื่อให้การให้บริการผู้ป่วยในคลินิกโรคลมชักเป็นไปอย่างราบรื่นทั้งด้านการบริการตรวจวินิจฉัยและการให้คำปรึกษา ดังนี้้
- ระบบบริการตรวจคลื่นไฟฟ้าสมองการจัดระบบการนัดตรวจคลื่นไฟฟ้าสมองโดยเจ้าหน้าที่ห้องตรวจคลื่นไฟฟ้าสมองประสานงานกับเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลที่จะส่งผู้ป่วยมาตรวจเพื่อนัดหมายวัน เวลาการตรวจที่แน่นอน นอกจากนี้ยังให้ผู้ป่วยหรือญาติที่จะมารับบริการตรวจสามารถโทรติดต่อกับเจ้าหน้าที่ห้องตรวจได้โดยตรงเพื่อลดขั้นตอนการบริการ สะดวก รวดเร็ว และมีความพึงพอใจในบริการ รวมทั้งการรายงานผลการตรวจคลื่นไฟฟ้าสมองโดยยึดผู้ป่วยและญาติเป็นศูนย์กลาง สามารถให้เลือกว่าจะให้เจ้าหน้าที่ห้องตรวจคลื่นไฟฟ้าสมองส่งผลรายงานการตรวจคลื่นไฟฟ้าสมองไปโรงพยาบาลชุมชนใกล้บ้าน หรือโรงพยาบาลจังหวัดที่ผู้ป่วยและญาติไปรับบริการได้สะดวก โดยประสานกับเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลเพื่อส่งผลให้ทั้งทางจดหมาย e-mail หรือ line
- ระบบการให้คำปรึกษา กรณีผู้ป่วยต้องการคำปรึกษา สามารถให้คำปรึกษาแก่ผู้ป่วยและญาติในหลายช่องทาง ได้แก่ ทาง e-mail, facebook, line เช่น ผู้ป่วยไม่แน่ใจอาการแพ้ยากันชักหรือผลข้างเคียงจากยากันชัก ทำให้สามารถจัดการปัญหาผู้ป่วยได้ทันท่วงที ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงตามมา ผู้ป่วยและญาติมีความพึงพอใจ
บทบาทหน้าที่ของเภสัชกร
เภสัชกรเป็นวิชาชีพที่มีความสำคัญโดยมีความรับผิดชอบโดยตรงต่อการดูแลรักษาผู้ป่วยด้วยยาเพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ถูกต้องตามต้องการและเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย เภสัชกรจะต้องให้ความมั่นใจแก่ผู้ป่วยว่าจะได้รับยาที่ปลอดภัยและเหมาะสม มีการใช้ยาอย่างสมเหตุสมผล (rational use of drug) เภสัชกรต้องตรวจสอบดูแลผู้ป่วยแต่ละรายที่รับผิดชอบอยู่เพื่อค้นหาปัญหาการรักษาด้วยยาที่เกิดขึ้น (actual drug therapy problems) และค้นหาผู้ป่วยที่มีแนวโน้มที่จะเกิดปัญหาการรักษาด้วยยา (potential drug therapy problem) เมื่อค้นพบปัญหาการรักษาด้วยยา เภสัชกรจะต้องมีบทบาทหน้าที่ในการแก้ปัญหาและป้องกันปัญหาดังกล่าว
แนวทางปฏิบัติและบทบาทหน้าที่ของเภสัชกรในการดูแลผู้ป่วยโรคลมชัก มีดังนี้
- สอบถามข้อมูลและประวัติการใช้ยาของผู้ป่วย ดังต่อไปนี้
- ข้อมูลพื้นฐานของผู้ป่วย เช่น ชื่อ นามสกุล เลขที่ประจำตัวผู้ป่วยเพศ อายุ เป็นต้น
- ข้อมูลทางการแพทย์ เช่น ชนิดของโรคลมชัก ปัจจัยที่มีผลต่อโรคผู้ป่วย ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ประวัติการเป็นโรคหรือการผ่าตัด เป็นต้น
- ข้อมูลการรักษาด้วยยา เช่น ประวัติการสั่งใช้ยาของแพทย์ ประวัติการแพ้ยา ความร่วมมือในการใช้ยา
- ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับผลของการรักษา
- ข้อมูลด้านสังคมและเศรษฐศาสตร์ เช่น อาชีพ สิทธิการเบิกจ่ายค่ารักษา เป็นต้น
- คัดกรองความถูกต้องของการสั่งยาและประเมินความเหมาะสมในการสั่งใช้ยาโดยใช้หลักการ “IESAC” (อ่านว่า “ไอแซค”) ซึ่งย่อมาจาก ข้อบ่งใช้ (indication) ประสิทธิภาพ (efficacy) ความปลอดภัย (safety) การใช้ยาตามแพทย์สั่ง (adherence) และราคา (cost)
- ค้นหาปัญหาการรักษาด้วยยา ในกรณีที่ค้นพบปัญหาการรักษาด้วยยาเภสัชกรจะแก้ไขและป้องกันปัญหาดังกล่าวโดยการให้คำแนะนำแก่ผู้ป่วย หรือให้ข้อเสนอแนะกับบุคลากรทางการแพทย์ พร้อมกับบันทึกข้อมูลในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เพื่อประโยชน์ในการติดตามผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง
ปัญหาการรักษาด้วยยากันชักที่พบบ่อยในเวชปฏิบัติมีดังนี้ คือ
- ปัญหาการเกิดอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา (adverse drug reactions; ADRs) ได้แก่
- อาการข้างเคียงจากการใช้ยา (side effect) หรือพิษจากยา (toxicity)
- อาการแพ้ (idiosyncrasy)
- อาการข้างเคียงต่อทารกในครรภ์ (teratogenicity)
ซึ่งมีแนวทางในการปฏิบัติ คือ หากอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาเป็นชนิดที่ไม่รุนแรงและจำเป็นที่ต้องใช้ยาตัวดังกล่าวสามารถใช้ยาต่อไปได้แต่ต้องติดตามอาการไม่พึงประสงค์จากยาอย่างใกล้ชิด ในกรณีที่เกิดอาการไม่พึงประสงค์ชนิดที่รุนแรงควรปรึกษาแพทย์เพื่อปรับลดขนาดยา หรือปรับเปลี่ยนยาตามความเหมาะสม สำหรับการป้องกันผลข้างเคียงต่อทารกในครรภ์จะยึดตามแนวทางปฏิบัติในการเตรียมการตั้งครรภ์ หรือเมื่อมีการตั้งครรภ์ในผู้ป่วยที่มีอาการชัก
- ปัญหาความไม่ร่วมมือในการใช้ยาของผู้ป่วย (non adherence) เภสัชกรสามารถประเมินความร่วมมือในการรักษาของผู้ป่วยได้ด้วยวิธีการต่าง ๆ ดังนี้
- การสอบถามจากผู้ป่วยโดยตรง โดยทำการสอบถามถึงวิธีการใช้ยาของผู้ป่วยว่าใช้ยาอย่างไร ถูกต้องตามที่แพทย์สั่งหรือไม่ ผู้ป่วยเคยลืมรับประทานยาหรือไม่
- การนับเม็ดยา การนับเม็ดยาที่เหลือจะช่วยให้สามารถประมาณการณ์ได้ว่าผู้ป่วยไม่ได้รับยาตรงตามที่ควรจะได้มากน้อยเพียงใด อาจทำได้โดยให้ผู้ป่วยนำยาที่เหลือกลับมาให้ดูในการนัดครั้งถัดไป หรือสอบถามผู้ป่วยถึงจำนวนยาที่เหลืออยู่
- การตรวจสอบว่าผู้ป่วยมาพบแพทย์ตรงตามนัดหรือไม่ เพื่อดูความร่วมมือในการรักษาของผู้ป่วย
- การวัดระดับยาในเลือดว่าอยู่ในช่วงการรักษาหรือไม่ หากระดับยาในเลือดต่ำกว่าช่วงการรักษา อาจเกิดจากผู้ป่วยไม่ร่วมมือในการใช้ยา
- ปัญหาการเกิดอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา (adverse drug reactions; ADRs) ได้แก่
แนวทางปฏิบัติในการเพิ่มความร่วมมือในการใช้ยาของผู้ป่วย มีดังนี้
- แนะนำแนวทางการป้องกันการลืมรับประทานยา อาทิ ให้เก็บยาในตำแหน่งที่สามารถเห็นได้ในเวลา
ที่ผู้ป่วยจะต้องรับประทานยาโดยให้สอดคล้องกับชีวิตประจำวันของผู้ป่วยแต่ละราย แนะนำวิธีการเตือนให้รับประทานยา เช่น ตั้งปลุกเตือนโดยใช้โทรศัพท์มือถือของผู้ป่วย หรือแนะนำการปฏิบัติที่ถูกต้องหากมีการลืมรับประทานยาว่าสามารถรับประทานยาได้เมื่อไร หรือสามารถรวบขนาดยาได้หรือไม่ โดยพิจารณาจากคุณสมบัติทางเภสัช-จลนศาสตร์ และลักษณะการออกฤทธิ์ของยาแต่ละตัว - เมื่อผู้ป่วยอาการดีขึ้นหรือแย่ลง เภสัชกรควรเน้นย้ำถึงความร่วมมือในการใช้ยาแก่ผู้ป่วยเนื่องจากผู้ป่วยจะมีแนวโน้มที่จะใช้ยาลดลงหรือเพิ่มขึ้นได้
- เภสัชกรควรให้คำแนะนำเกี่ยวกับอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาให้ผู้ป่วยมีความเข้าใจที่ถูกต้อง ไม่วิตกกังวลจนเกินไป รวมทั้งแนะนำวิธีป้องกัน หรือการปฏิบัติตัวที่ช่วยลดความเสี่ยงของอาการไม่พึงประสงค์ดังกล่าว แต่ถ้าอาการไม่พึงประสงค์ที่รุนแรงควรแนะนำให้ผู้ป่วยรีบกลับมาพบแพทย์
- เภสัชกรควรให้ความสำคัญกับผู้ดูแลผู้ป่วย กล่าวคือ ควรแนะนำและให้ความรู้เกี่ยวกับโรคและการรักษา เพื่อให้เกิดความเข้าใจและเห็นความสำคัญ อันจะนำไปสู่ความร่วมมือในการรักษาต่อไป
- สำหรับผู้ป่วยที่บ้านอยู่ไกลและมีปัญหาในการเดินทางหรือปัญหาทางเศรษฐฐานะ อาจช่วยลดค่าใช้จ่ายโดยนัดผู้ป่วยให้ห่างขึ้น หรือให้รับยาใกล้บ้านหากโรงพยาบาลใกล้บ้านไม่มีปัญหาในเรื่องของความพร้อมของยาที่ผู้ป่วยใช้ แต่ต้องมีการชี้แจงให้ผู้ป่วยเข้าใจในแนวทางการรักษา และเห็นความสำคัญของความร่วมมือในการใช้ยา
ปัญหาการเกิดอันตรกิริยาจากการใช้ยากันชักร่วมกัน และระหว่างยากันชักกับยาอื่น (drug interaction)
การใช้ยากันชักร่วมกันจะก่อให้เกิดอันตรกิริยาระหว่างยาขึ้น เช่นเดียวกับการรับประทานยากันชักร่วมกับยาอื่น ดังนั้น การใช้ยากันชักร่วมกันหรือการรับประทานยากันชักร่วมกับยาอื่น ๆ จึงต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง อาจจำเป็นต้องติดตามระดับยาในเลือด ดูอาการทางคลินิกทั้งด้านประสิทธิผลและความปลอดภัย ดังนั้น ถ้าผู้ป่วยโรคลมชัก มีอาการเจ็บป่วยต้องนำยาที่รับประทานอยู่มาให้แพทย์ที่รักษาดูด้วยทุกครั้งว่าตนเองรับประทานยาอะไรอยู่เพื่อที่แพทย์จะได้พิจารณาว่ายาที่จะสั่งให้นั้นมีอันตรกิริยาต่อกันหรือไม่ อย่างไร กรณีใช้ยากันชักที่มีอันตรกิริยาระหว่างยาร่วมกัน แนะนำให้ติดตามระดับยาและดูอาการทางคลินิกทั้งด้านประสิทธิผลและความปลอดภัย และปรับขนาดการใช้ยาแต่ละชนิดให้เหมาะสม สำหรับ กรณีที่ยากันชักมีอันตรกิริยากับยาอื่นให้พิจารณาผลของอันตรกิริยาดังกล่าว และความจำเป็นของการใช้ยาอื่นที่ร่วมกัน อาจติดตามระดับยากันชัก และปรับตามความเหมาะสมโดยพิจารณาจากอาการทางคลินิกเป็นหลัก
ปัญหาการไม่ได้รับยาตามที่แพทย์สั่งจ่าย (failure to receive medication)
ปัญหาการไม่ได้รับยาตามที่แพทย์สั่งจ่าย มีความหมายครอบคลุมถึงการที่ผู้ป่วยได้รับยาไม่ครบตามที่แพทย์สั่งจ่ายโดยมีสาเหตุมาจากเศรษฐฐานะของผู้ป่วย สิทธิทางการรักษาของผู้ป่วยทำให้เกิดข้อจำกัดของการได้รับยาการได้รับยาไม่ตรงตามที่แพทย์สั่งจ่าย กล่าวคือ ได้ยาคนละตัวยาเนื่องจากโรงพยาบาลไม่มียาดังกล่าวทำให้แพทย์ต้องเปลี่ยนยาหรือได้รับยาคนละชื่อการค้ากัน ซึ่งปัญหาดังกล่าวไม่ว่าจะเป็นไปในลักษณะใดก็ตามล้วนแล้วแต่ส่งผลให้ผู้ป่วยไม่สามารถควบคุมอาการชักได้ หรือเกิดอาการชักเกิดขึ้นจากที่เคยควบคุมอาการชักได้ แนวทางปฏิบัติเพื่อแก้ไขหรือป้องกันปัญหาดังกล่าว มีดังนี้
- กรณีผู้ป่วยใหม่ ที่เพิ่งเริ่มต้นยากันชักจะใช้ยาชื่อสามัญ หรือยาต้นแบบก็ได้ ขอให้ใช้ยาดังกล่าวตัวเดิมอย่างต่อเนื่อง ไม่เปลี่ยนยี่ห้อไปมา เพื่อเป้าหมายในการควบคุมอาการชัก
- กรณีผู้ป่วยที่ควบคุมอาการชักได้ดีแล้ว ไม่ว่าจะด้วยยาชื่อสามัญหรือยาต้นแบบ ให้คงการใช้ยาชนิดนั้นไว้
- กรณีผู้ป่วยเด็ก ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ ผู้ป่วยที่มีความผิดปกติในการทำงานของตับหรือไต ไม่ควรเปลี่ยนยี่ห้อยาไปมา เนื่องจากเภสัช-จลนศาสตร์ของผู้ป่วยดังกล่าวแตกต่างจากผู้ป่วยกลุ่มอื่น อาจส่งผลให้เกิดพิษจากยา หรือควบคุมอาการชักไม่ได้
ให้คำแนะนำเรื่องโรคและการใช้ยาที่ถูกต้องเหมาะสม รวมถึงการให้ข้อมูลอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาที่อาจเกิดขึ้น และการปฏิบัติตนที่เหมาะสมเพื่อลดอาการไม่พึงประสงค์ดังกล่าวแก่ผู้ป่วย ตลอดจนการหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นให้เกิดอาการชัก ได้แก่ การอดนอน การดื่มแอลกอฮอล์ การดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน การรับประทานยากันชักไม่สม่ำเสมอ ความเครียด การทำงาน หรือออกกำลังกายอย่างหักโหม เป็นต้น
ให้ข้อมูลด้านยา และการเจาะวัดระดับยาในเลือดแก่แพทย์
ข้อมูลด้านยาที่เภสัชกรสามารถให้แก่แพทย์ได้มีดังนี้
- การระบุชนิดยา (drug identification) ตัวอย่าง แพทย์ไม่ทราบชื่อยาที่ผู้ป่วยได้รับจากโรงพยาบาลอื่น และผู้ป่วยนำยาเดิมมาด้วย จึงขอให้เภสัชกรช่วยดูเม็ดยา และระบุชื่อยาให้
- การมียาในโรงพยาบาล (drug availability)
- เภสัชจลนศาสตร์ของยา (pharmacokinetics)
- ผลของอันตรกิริยาระหว่างยา (drug interaction)
- อาการไม่พึงประสงค์จากยา (adverse drug reaction/side effects)
- ข้อบ่งใช้ ขนาดยาและแบบแผนการใช้ยา (indication, dose and dosage regimen)
- ราคา (cost)
ประเภทยาตามบัญชียาหลักแห่งชาติ และแนวทางปฏิบัติ
เภสัชกรควรแนะนำให้แพทย์ส่งตรวจวัดระดับยาในเลือด เพื่อวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้ - เพื่อประเมินความร่วมมือในการใช้ยาของผู้ป่วย
- ยืนยันอาการเป็นพิษ เมื่อผู้ป่วยใช้ยากันชักพร้อมกันหลายชนิด
- ประเมิน และเฝ้าระวังผู้ป่วยที่อาจเกิดอันตรกิริยาระหว่างยา
- เพื่อหาระดับยาที่ควบคุมการชักได้ในแต่ละบุคคล
- เฝ้าดูระดับยาในภาวะที่มีการเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วย เช่น ระดับโปรตีนในเลือดเปลี่ยนแปลง เช่น มีภาวะโรคตับ ผู้ป่วยที่ค่าทางเภสัชจลนศาสตร์เปลี่ยนแปลง เช่น หญิงตั้งครรภ์ เป็นต้น
ลักษณะการจัดคลินิกโรคลมชัก
คลินิกโรคลมชักเป็นการบริหารจัดการที่ง่ายแต่ให้ประโยชน์สูงสุด เป็นคลินิกเฉพาะโรค ที่มีแพทย์เฉพาะทางและบุคลากรทีมสุขภาพ ได้แก่ เภสัชกรและพยาบาลที่มีความชำนาญโรคลมชักอยู่ประจำ ทำให้การรักษามีประสิทธิภาพอาศัยเครื่องมือที่ง่าย ดังนี้
- สมุดบันทึกอาการชัก (epilepsy diary) สำหรับผู้ป่วยหรือญาติจดบันทึก (record) อาการชัก และติดตามผลการปรับยา
- สื่อและเอกสารให้ความรู้ คำแนะนำการปฏิบัติตัวแก่ผู้ป่วยและญาติ
- มีระบบการติดต่อสื่อสาร ให้คำปรึกษาแก่ผู้ป่วยและญาติอย่างเป็นกันเองและใกล้ชิดในรูปแบบต่าง ๆ ได้แก่ โทรศัพท์มือถือ, website, facebook, line
- การติดต่อสื่อสารผ่านทาง Facebook; Epilepsy club,Srinagarind Hospital โดยผู้ป่วยและญาติสามารถสมัครเป็นสมาชิกเพื่อเข้ามาแลกเปลี่ยนประสบการณ์การเจ็บป่วยด้วยโรคลมชักและสอบถามปัญหาต่าง ๆ เกี่ยวกับโรคลมชักจากทีมสุขภาพ ได้แก่ แพทย์ เภสัชกรและพยาบาล โดยตรง
- Website ให้ความรู้เกี่ยวกับโรคลมชัก
- โปรแกรมการบันทึกข้อมูล (Epilepsy Database Program) ของผู้ป่วยแต่ละรายเพื่อเป็นฐานข้อมูล สำหรับการติดตามอย่างเป็นระบบ และเพื่อการวิจัยและพัฒนา
ความคุ้มค่าของคลินิกโรคลมชัก
- ส่งเสริมความสม่ำเสมอในการรับประทานยา (compliance) และการปฏิบัติตนเพื่อควบคุมอาการชัก เช่น การหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น (precipitating factor)
- ตอบปัญหาและแนะนำผู้ป่วยเกี่ยวกับโรค ยากันชัก คำแนะนำในการดำเนินชีวิต การเรียน การทำงาน การแต่งงาน ฯลฯ ทั้งทางตรง ทางโทรศัพท์หรือ website, facebook, line ทำให้ประหยัดเวลาที่ผู้ป่วยต้องเดินทางมาโรงพยาบาล
- เป็นที่รับฟังปัญหาทางจิตสังคมของผู้ป่วย เช่น ผลกระทบต่อจิตใจจากโรคลมชัก ความด้อยโอกาสทางสังคม
จะเห็นว่า การบริหารจัดการคลินิกโรคลมชักเป็นการลงทุนที่น้อย เรียบง่าย อาศัยการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบและความเอาใจใส่ของบุคลากร ก็สามารถทำให้เกิดผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพกว่าเดิม เป็นที่พึงพอใจของผู้ป่วยและญาติ
บทสรุป
การบริหารจัดการคลินิกโรคลมชัก อาศัยการจัดการอย่างเป็นระบบและความเอาใจใส่ของบุคลากรที่มีบทบาทหน้าที่ในการดูแลผู้ป่วยโรคลมชักตามความเชี่ยวชาญของแต่ละวิชาชีพ และมีเป้าหมายร่วมกัน คือ การทำให้ผู้ป่วยโรคลมชักสามารถควบคุมอาการชักได้เร็วที่สุด เกิดอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาน้อยที่สุด และมีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุด
เอกสารอ้างอิง
- เฉลิมศรี ภุมมางกูร. การบริบาลทางเภสัชกรรม. ใน: บุษบา จิดาวิจักษณ์, เนติ สุขสมบูรณ์ (บรรณาธิการ). เภสัชกรรมบำบัดในโรงพยาบาล,กรุงเทพมหานคร: ไทยมิตรการพิมพ์.2539: 1-21.
- ชัยชน โลว์เจริญกุล. เวชศาสตร์พอเพียงกับการรักษาโรคลมชัก. ใน ชัยชน โลว์เจริญกุล. (บรรณาธิการ). วิทยาการโรคลมชัก 1 . กรุงเทพมหานคร:
- บริษัท เอ จี เน็ตเวิร์ค จำกัด. 2552:349-79.
- สุณี เลิศสินอุดม, ปวลี เนียมถาวร, สมศักดิ์ เทียมเก่า และคณะ. ความพึงพอใจของผู้มารับบริการ ณ คลินิกโรคลมชัก โรงพยาบาลศรีนครินทร์. วารสารประสาทวิทยาศาสตร์. 2553; 5(2): 7-18.
- สุณี เลิศสินอุดม, สุภิญญา ตันตาปกุล, สมศักดิ์ เทียมเก่า และคณะ. ผลลัพธ์ทางคลินิกของผู้ป่วยโรคลมชัก คลินิกโรคลมชัก โรงพยาบาลศรีนครินทร์.
- วารสารประสาทวิทยาศาสตร์. 2553; 5(2): 19-26.
- สุณี เลิศสินอุดม, อาภรณี ไชยาคำ, สุภิญญา ตันตาปกุล และคณะ. การจัดการปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยาโดยเภสัชกรในคลินิกโรคลมชัก โรงพยาบาลศรีนครินทร์. วารสารประสาทวิทยาสาสตร์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ. 2552; 4 (1): 39-50.
- สุณี เลิศสินอุดม, นันทพรรณ์ ชัยนิรันดร์. แนวทางการบริบาลทางเภสัชกรรมสำหรับผู้ป่วยโรคลมชัก. ใน สุณี เลิศสินอุดม (บรรณาธิการ). การบริบาล
- ทางเภสัชกรรมสำหรับผู้ป่วยโรคลมชักและการติดตามระดับยากันชักในเลือดขอนแก่น: หจก.โรงพิมพ์คลังนานาวิทยา. 2556.
- อรพรรณ ลือบุญธวัชชัย. การให้คำปรึกษาทางสุขภาพ. กรุงเทพฯ. โรงพิมพ์ธนาเพรส. 2549.
- Corey G. Theory and Practice of Group Counseling .7th edition. 2008. Thomson Brooks/Cole. Sawanchareon K, Pranboon S,Tiamkao S, Sawanyawisuth K. Moving the Self-Esteem of People with Epilepsy by Supportive Group: A Clinical Trial. Journal of Caring Sciences2013;2:329-35.