CIMjournal
banner dm

Update in the Management of Hyperglycemic emergencies


พญ. ณิชกานต์ หลายชูไทยพญ. ณิชกานต์ หลายชูไทย
สาขาวิชาต่อมไร้ท่อและเมตะบอลิสม ภาควิชาอายุรศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


สรุปการประชุมวิชาการ 19th CUEC Chulalongkorn Endocrine Conference ในวันที่ 20 ธันวาคม 2566

 

ภาวะ diabetic ketoacidosis (DKA) เป็นภาวะที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง (hyperglycemia) ร่วมกับมีภาวะเลือดเป็นกรดจากคีโตน (ketoacidosis) เป็นภาวะฉุกเฉินที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน โดยมีแนวทางเวชปฏิบัติจากสมาคมโรคเบาหวาน ประเทศสหรัฐอเมริกา ปี พ.ศ. 2552 (ADA) ใช้เป็นมาตรฐานกันอย่างแพร่หลาย อย่างไรก็ตาม ด้วยองค์ความรู้ในปัจจุบันที่มีมากขึ้น จึงได้มีแนวทางเวชปฏิบัติเพิ่มขึ้นจากอีกหลายสมาคม เช่น Joint British Diabetes Society ซึ่งปรับปรุงเมื่อ พ.ศ. 2565 (JBDS) และตีพิมพ์อย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2566 แนวทางเวชปฏิบัติโรคเบาหวานประเทศไทย พ.ศ. 2566 และล่าสุด ADA/EASD consensus ซึ่งนำเสนอไปในงานประชุม European Association Study of Diabetes ปี 2566 ที่ผ่านมา แต่ยังไม่มีการตีพิมพ์อย่างเป็นทางการ  


เกณฑ์การวินิจฉัย

การวินิจฉัย DKA มี 3 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ ระดับน้ำตาลในเลือด ระดับคีโตน และภาวะเลือดเป็นกรด  โดยมีการปรับเปลี่ยนเกณฑ์การวินิจฉัยตามตารางที่ 1 โดยลดระดับน้ำตาลที่ได้รับการวินิจฉัยลงมาที่ มากกว่าหรือเท่ากับ 200 mg/dL หรือมีประวัติเป็นโรคเบาหวานอยู่เดิม ซึ่งเกณฑ์นี้จะครอบคลุมภาวะ euglycemic DKA ด้วย

ตารางที่ 1 เปรียบเทียบเกณฑ์การวินิจฉัย
นอกจากนี้ แนะนำให้ตรวจระดับ beta-hydroxybutyrate จากเลือดมากกว่า urine ketone และใช้เกณฑ์ pH <7.3 และหรือ bicarbonate น้อยกว่า 18 mmol/L โดยไม่ใช่ anion gapและมีการแบ่งความรุนแรงของ DKA ตามตารางที่ 2

ตารางที่ 2 ระดับความรุนแรงของ DKA

ส่วนแนวทางเวชปฏิบัติโรคเบาหวานของประเทศไทย ยังคล้ายคลึงกับ ADA 2009 เดิม โดยเพิ่มเติมนิยามของ euglycemic DKA ว่า การมีภาวะ ketoacidosis ในผู้เป็นเบาหวานที่ระดับน้ำตาลไม่ถึง 250 mg/dL

ตารางที่ 3 เกณฑ์การวินิจฉัย HHS


การรักษาและการติดตามการรักษา

การรักษาภาวะ DKA ประกอบไปด้วย การให้สารน้ำ การให้ยาอินซูลิน การปรับระดับโพแทสเซียมให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม การตรวจติดตามป้องกันภาวะแทรกซ้อน การแก้ไขเหตุกระตุ้น และการป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำ โดยทุกขั้นตอนต้องมีการตรวจติดตามผลการรักษาอย่างใกล้ชิด โดยจาก ADA/EASD consensus มีการเปลี่ยนแปลงในคำแนะนำในการรักษา ดังหัวข้อต่อไปนี้

สารน้ำ
การให้สารน้ำเป็นขั้นแรกที่สำคัญของการรักษา DKA โดยการให้สารน้ำมีจุดประสงค์เพื่อให้ circulatory volume อยู่ในสภาวะปกติ ช่วยในการขับคีโตนออกจากร่างกาย และแก้ไขภาวะเกลือแร่ผิดปกติในร่างกาย โดยปริมาณสารน้ำที่ขาด โดยเฉลี่ยเท่ากับ 100 ml/kg ซึ่งควรได้รับการทดแทนด้วยสารน้ำชนิด crystalloid กรณีที่ผู้ป่วยมีโรคร่วม เป็นโรคหัวใจล้มเหลว (heart failure) หรือไตเรื้อรัง ผู้สูงอายุ หรือผู้ป่วยที่อายุน้อย ควรให้สารน้ำอย่างระมัดระวังเพื่อป้องกันภาวะ volume overload และ cerebral edema

ชนิดของสารน้ำที่แนะนำให้ใช้คือ 0.9% NaCl โดยมีการพูดถึงการใช้ balanced solution เช่น Ringer lactate ในการรักษาภาวะ DKA มากขึ้นในช่วงหลัง โดยพบว่าทำให้เกิด hyperchloremic metabolic acidosis น้อยกว่า และอาจจะทำให้ resolution of DKA เร็วกว่า อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลทั้งหมดที่มีอยู่ในปัจจุบัน จึงยังไม่สามารถสรุปได้ชัดเจนว่าการใช้ balanced solution ดีกว่าการใช้ 0.9% NaCl หรือไม่ ร่วมกับแพทย์ส่วนใหญ่คุ้นเคยกับการใช้ 0.9% NaCl เป็นอย่างดี ดังนั้นจึงยังคงแนะนำให้ใช้ 0.9% NaCl ไปก่อน

อินซูลิน
มีคำแนะนำที่เปลี่ยนแปลง 2 ประเด็นหลัก ได้แก่ การใช้อินซูลินทางใต้ผิวหนังกรณีที่เป็น mild DKA  และแนะนำการให้ basal insulin ใน DKA

สำหรับ JBDS และ ADA/EASD consensus แนะนำให้ใช้วิธี fixed-rate intravenous insulin infusion (FRIII) โดย regular insulin 0.1 unit/kg/hr โดยไม่ต้องฉีด bolus โดยแนะนำให้ผสม regular insulin 50 units กับ 0.9% NaCl 49.5 ml เพื่อให้ได้ความเข้มข้น 1 unit/ml และหลังจากที่ให้ยาอินซูลินแล้ว ต้องมีการติดตามระดับน้ำตาลและคีโตนในเลือด ทุก 1 ชั่วโมง โดยมีเป้าหมายการรักษาดังนี้

ระดับคีโตนลดลง อย่างน้อย 5 mmol/L/hr หรือ ระดับ serum bicarbonate เพิ่มขึ้น 3 mmol/L/hr

ร่วมกับ

ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง 54 mg/dL/hr

กรณีที่ไม่ได้ตามเป้าหมาย แนะนำให้เพิ่มอัตราการให้อินซูลินขึ้นจากเดิมทีละ 1 ยูนิตต่อชั่วโมง โดยสามารถปรับอัตราการให้อินซูลินเพิ่มได้ทุก 1 ชั่วโมง หลังจากที่ระดับน้ำตาลลดลงมาน้อยกว่า 250 mg/dL ให้เปลี่ยนเป็นสารน้ำที่มีน้ำตาล เช่น 10% dextrose และพิจารณาลด regular insulin ลงเหลือ 0.05 unit/kg/hr และให้คงการให้อินซูลินทางหลอดเลือดดำจนกว่าผู้ป่วยจะเข้าเกณฑ์การหายจาก DKA โดยให้รักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ระหว่าง 150 – 250 mg/dL โดยถ้าระดับน้ำตาลต่ำกว่าเกณฑ์และยังมีภาวะ acidosis และ ketonemia ให้ใช้วิธีเพิ่มปริมาณ dextrose IV เช่น การปรับเพิ่ม rate IV หรือเพิ่มความเข้มข้นของสารน้ำ ไม่ควรใช้วิธีหยุดการให้อินซูลินชั่วคราว หรือลดอินซูลินลงจนเหลือน้อยกว่า 0.05 unit/kg/hr เพราะจะทำให้ผู้ป่วยไม่หายจากภาวะ ketoacidosis

กรณีที่เป็นภาวะ euglycemic DKA แนะนำให้สารน้ำเป็น 10% glucose เริ่มต้นที่ 125 ml/hr ร่วมกับให้ regular insulin 0.1 unit/kg/h ตั้งแต่แรก และตรวจติดตามระดับน้ำตาลในเลือดทุก 1 ชั่วโมง โดยให้รักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ระหว่าง 150 – 250 mg/dL กรณีที่ระดับน้ำตาลยังลดลงเกินเป้าหมายในขณะที่ให้ 10% glucose iv อยู่ แนะนำให้ลดขนาดอินซูลินลงเป็น 0.05 unit/kg/hr

กรณีที่ผู้ป่วยฉีดยา basal insulin (glargine, detemir, degludec) อยู่เดิม ทาง JBDS แนะนำให้ฉีดยา basal insulin ขนาดเดิม ณ เวลาเดิม ควบคู่ไปกับการให้ FRIII หรือกรณีเป็นผู้ป่วยรายใหม่ (newly diagnosed diabetes) แนะนำให้ basal insulin ขนาด 0.15 – 0.3 unts/kg ฉีดใต้ผิวหนังวันละ 1 ครั้ง เนื่องจากมีหลักฐานว่าสามารถลดการเกิดภาวะ rebound ketosis ภายหลังจากที่หยุดการให้อินซูลินทางหลอดเลือดดำได้

กรณีผู้ป่วยที่ติด insulin pump โดยทั่วไปแนะนำให้หยุดการใช้ insulin pump ชั่วคราว และรักษา DKA ตามปกติ สำหรับผู้ป่วยที่ใช้ continuous glucose monitoring (CGM) อาจไม่จำเป็นต้องถอดออกจากตัวผู้ป่วย แต่ไม่แนะนำให้ใช้ค่าระดับน้ำตาลจาก CGM ติดตามระดับน้ำตาลในเลือดในขณะที่มีภาวะ DKA เนื่องจากไม่มีข้อมูลความแม่นยำของระดับน้ำตาลในภาวะนี้

ส่วนแนวทางเวชปฏิบัติไทย แนะนำว่า ขณะที่ให้การรักษา DKA เป้าหมายของระดับน้ำตาลในเลือดควรอยู่ระหว่าง 140 – 180 มก./ดล. โดยลดระดับน้ำตาลในเลือดลงชั่วโมงละ 50 – 75 มก./ดล. เพื่อรักษาสมดุลของออสโมลาและเกลือแร่ระหว่างเลือดและน้ำไขสันหลังในสมอง การลดระดับน้ำตาลในเลือดที่เร็วเกินไป ส่งผลให้มีความเสี่ยงการเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ และระดับเกลือแร่โพแทสเซียมในเลือดต่ำได้ อย่างไรก็ตาม หากระดับน้ำตาลในเลือดลดลงไม่ถึงร้อยละ 10 ในชั่วโมงแรกหลังเริ่มรักษา อาจพิจารณาให้ regular insulin 0.07 – 0.14 ยูนิตต่อกิโลกรัม ฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำใน 5 นาทีอีกครั้งได้ เพื่อให้ระดับน้ำตาลลดลงตามเป้าหมายเร็วขึ้น ถ้าระดับน้ำตาลหลังจากนั้นไม่ได้ลดลงตามเป้าหมาย (น้ำตาลในเลือดลดลง ≤ 50 – 75 มก./ดล. หรือ blood ketone ลดลงน้อยกว่า 0.5 mmol/L/hr หรือ venous bicarbonate เพิ่มขึ้นน้อยกว่า 3 mmol/L/hr ให้พิจารณาว่ายังมีภาวะขาดน้ำหรือสายที่ให้อินซูลินมีการอุดตันหรือไม่ ถ้าไม่มีภาวะดังกล่าว ให้เพิ่มอินซูลินหยดเข้าทางหลอดเลือดดำทุก 1 ชั่วโมงจนกว่าระดับน้ำตาลในเลือดลดลงได้ตามเป้าหมาย และเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดลดลงถึง 250 มก./ดล. ควรลดขนาดอินซูลินลงเหลือ 0.02 – 0.03 ยูนิต/กก./ชม. เพื่อป้องกันการเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำหรือเกลือแร่โพแทสเซียมต่ำ

มีการกล่าวถึงทางเลือกของการให้ intravenous regular insulin ว่า การให้ rapid-acting insulin analog (aspart, glulisine, lispro ชนิดฉีดเข้าใต้ผิวหนัง อาจใช้ในรายที่เป็น mild ถึง moderate DKA ที่มีภาวะรู้สติและความดันปกติ


การเปลี่ยนจากอินซูลินทางหลอดเลือดดำมาเป็นอินซูลินฉีดใต้ผิวหนัง

หลังจากการให้การรักษาข้างต้นไปแล้ว แนะนำให้อินซูลินทางหลอดเลือดดำไปจนกว่าระดับคีโตนในเลือดจะน้อยกว่า 0.6 mmol/L และ pH > 7.3 โดยไม่ใช้ระดับ serum bicarbonate ในการประเมินการหายจาก DKA เนื่องจากอาจมีภาวะ hyperchloremic metabolic acidosis ร่วมด้วยได้ เมื่อผู้ป่วยหายจากภาวะ DKA แล้วให้พิจารณาเปลี่ยนเป็นอินซูลินฉีดใต้ผิวหนัง แนะนำให้ฉีดยาอินซูลินไปอย่างน้อย 30 – 60 นาทีก่อนที่จะหยุดอินซูลินทางหลอดเลือดดำ โดยกรณีฉีดยาอินซูลินอยู่เดิมและมีการควบคุมระดับน้ำตาลได้พอสมควร (HbA1c <8%) อาจพิจารณาใช้อินซูลินสูตร และขนาดเดิมได้

  • กรณีเดิมใช้ basal-bolus insulin แนะนำให้ฉีด basal insulin ตามเดิมในขณะที่ให้การรักษา DKA ด้วยอินซูลินทางหลอดเลือดดำ และเมื่อหายจาก DKA แล้ว ให้ฉีดยาอินซูลินออกฤทธิ์สั้นก่อนอาหาร อย่างน้อย 30 – 60 นาที่ ก่อนหยุดอินซูลินทางหลอดเลือดดำ
  • กรณีเดิมใช้ premixed insulin สามารถฉีดยา pre-mixed insulin ก่อนอาหาร เช้าและเย็นตามเดิมได้ โดยหยุดยาอินซูลินทางหลอดเลือดดำ 30 – 60 นาที หลังฉีดยาอินซูลินใต้ผิวหนัง
  • กรณีผู้ป่วยไม่เคยฉีดยาอินซูลิน แนะนำให้คำนวณขนาดอินซูลินที่ใช้ต่อวัน (total daily dose, TDD) 0.5 – 0.75 units/kg/day โดยกรณีที่ผู้ป่วยมีลักษณะของภาวะดื้อต่ออินซูลิน เช่น อ้วน หรือเป็นวัยรุ่น ให้พิจารณาใช้ 75 units/kg/day โดยแบ่งเป็น basal insulin 50% และ prandial insulin 50% โดยมีการติดตามระดับน้ำตาลอย่างใกล้ชิดเนื่องจากความต้องการอินซูลินอาจค่อยๆลดลงได้หลังจากที่หายจากภาวะ DKA


การประเมินผู้ป่วยเพื่อการวางแผนการรักษาต่อเนื่อง

ทางทีมผู้ดูแลควรมีการประเมินหาสาเหตุของการเกิด DKA เช่น การเจ็บป่วย ติดเชื้อ เป็นต้น และให้การรักษาเฉพาะ นอกจากนี้ควรมีการประเมินด้านเบาหวานเพื่อวางแผนการจำหน่ายและติดตาม โดยควรประเมินปัจจัยกระตุ้นของ DKA รวมถึงทบทวนการคุมระดับน้ำตาลของผู้ป่วย ว่าอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมหรือไม่ มีการประเมินและทบทวนความรู้ในการดูแลตนเอง (Diabetes Self-Management and Education and Support; DMSES) โดยทาง JBDS แนะนำให้มีการปรึกษาทีมดูแลเบาหวานประจำโรงพยาบาล (ถ้ามี) ภายใน 24 ชั่วโมงหลังจากรับผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล เนื่องจากมีส่วนสำคัญในการช่วยประเมินผู้ป่วย ให้ความรู้ ติดตาม และป้องกันการเกิด DKA ซ้ำได้

กรณีเป็น euglycemic DKA จากยา SGLT2i แนะนำให้หยุดยา และควรมีระบบบันทึกการเกิด adverse reaction จากยา ส่วนการตัดสินใจเริ่มยาใหม่หรือไม่ ให้พิจารณาเป็นราย ๆ ไป โดยอาจปรึกษาทีมผู้เชี่ยวชาญด้านเบาหวาน


สรุป

ภาวะ DKA เป็นภาวะฉุกเฉินที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน ปัจจุบันได้มีองค์ความรู้ใหม่เพิ่มขึ้นหลายประการและมีการเปลี่ยนแปลงแนวทางเวชปฏิบัติ ทั้งในด้านการวินิจฉัย ที่ไม่จำเป็นต้องมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงเสมอไป การใช้ระดับคีโตนในการช่วยตรวจติดตาม การให้ยาอินซูลินใต้ผิวหนังควบคู่กับการให้อินซูลินทางหลอดเลือดดำ จนไปถึงการป้องกันการเกิดซ้ำที่ให้ความสำคัญของทีมดูแลเบาหวาน

 

เอกสารอ้างอิง
  1. Kitabchi AE, Umpierrez GE, Miles JM, Fisher JN. Hyperglycemic crises in adult patients with diabetes. Diabetes Care. 2009;32(7):1335-43.
  2. Dhatariya KK, Joint British Diabetes Societies for Inpatient C. The management of diabetic ketoacidosis in adults-An updated guideline from the Joint British Diabetes Society for Inpatient Care. Diabet Med. 2022;39(6):e14788.
  3. Peters AL, Buschur EO, Buse JB, Cohan P, Diner JC, Hirsch IB. Euglycemic Diabetic Ketoacidosis: A Potential Complication of Treatment With Sodium-Glucose Cotransporter 2 Inhibition. Diabetes Care. 2015;38(9):1687-93.

 

 

PDPA Icon

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

บันทึก