CIMjournal
Zika virus disease

โรคติดเชื้อไวรัสซิกา (Zika virus disease)


นพ. ชุษณา สวนกระต่ายศ. ดร. นพ. ชุษณา สวนกระต่าย
สาขาวิชาโรคติดเชื้อ ภาควิชาอายุรศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

นพ. วรวงศ์ ชื่นสุวรรณ

นพ. วรวงศ์ ชื่นสุวรรณ
สาขาวิชาโรคติดเชื้อ ภาควิชาอายุรศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

ระบาดวิทยา

โรคติดเชื้อไวรัสซิกา เกิดจากการติดเชื้อไวรัสซิกาโดยมียุงลายเป็นพาหะนำโรค พบครั้งแรกในลิงกัง (Sentinel rhesus macaque) ในป่าซิกา ประเทศอูกานด้า เมื่อปี พ.ศ. 2490 โดยรายงานมีการติดต่อในคนครั้งแรกในปี พ.ศ. 2496 ในประเทศไนจีเรีย หลังจากนั้นประมาณ 57 ปี ไม่เคยมีรายงานการระบาด ครั้งใหญ่2, 4 ใน 10 ปีที่ผ่านมามีรายงานการระบาดมากขึ้นในพื้นที่ของทวีปแอฟริกา เอเชีย อเมริกา และหมู่เกาะในแปซิฟิก โดยทั่วโลกมีแนวโน้มการระบาดของโรคมากขึ้น เนื่องจากยุงลายซึ่งเป็นพาหะนำโรค ยังมีกระจายอยู่ในหลายทวีปทั่วโลก2

สำหรับข้อมูลในประเทศไทย3 ข้อมูลจากสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค รายงานล่าสุด ณ วันที่ 7 ตุลาคม 2559 ประเทศไทยมีรายงานผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสซิกา ยืนยันทั้งหมด 441 ราย โดยพบผู้ป่วยทั้งหมดกระจายใน 32 จังหวัด 83 อำเภอ 156 ตำบล 237 หมู่บ้าน และในปัจจุบันยังมีการระบาดของการติดเชื้อไวรัสซิกาอย่างต่อเนื่อง ในทวีปอเมริกา หมู่เกาะในแถบแคริบเบียน และแปซิฟิก ดังนั้น องค์การอนามัยโลก (WHO) จึงประกาศให้การติดเชื้อไวรัสซิกา และภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้องเป็นภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขระดับประเทศ


ไวรัสวิทยา

ปัจจุบันจีนัส (genus) Zika virus จัดอยู่ใน family Flaviviridae เป็น Enveloped, single-stranded, positive-sense RNA virus ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกับ Dengue virus, Yellow fever virus, West Nile virus, Hepacivirus C (Hepatitis C) และ Japanese encephalitis virus เป็นต้น

ส่วนพาหะนำโรค ได้แก่ ยุงลาย (Aedes mosquitoes) โดยมีรายงานทั้ง Aedes aegypti และ Aedes albopictus


อาการและอาการแสดง

ระยะฟักตัวของโรคไข้ซิกา ยังไม่ทราบแน่ชัดแต่คาดว่าใช้เวลาประมาณ 3 – 10 วัน ใกล้เคียงเชื้อในกลุ่ม Flaviviridae ตัวอื่น ๆ โดยเคยมีการศึกษาในอาสาสมัครที่ได้รับเชื้อไวรัสซิกาเข้าทางชั้นใต้ผิวหนัง ปรากฏว่าเกิดอาการไข้ หลังจากได้รับเชื้อไปแล้ว 82 ชั่วโมง7

อาการของโรคไข้ซิกา ใกล้เคียงกับโรคที่เกิดจากอาร์โบไวรัส (Arbovirus) ชนิดอื่น ๆ ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสที่มีแมลงเป็นพาหะนำโรค เช่น โรคไข้สมองอักเสบ โรคไข้เหลือง และโรคไข้เลือดออก เป็นต้น โดยจะมีผู้ป่วยจะมีอาการแสดงเพียง 20 – 25% ของผู้ที่ได้รับการติดเชื้อ โดยอาการแสดงหลัก คือ ไข้ ผื่นแดง เยื่อบุตาอักเสบ และปวดตามกล้ามเนื้อและข้อ

โดยอาการที่พบได้มากที่สุด ได้แก่ ผื่นตามร่างกาย (90%) โดยลักษณะเป็นผื่น Maculopapular และมักมีอาการคัน ไข้ (65%) ปวดตามกล้ามเนื้อและข้อ (65%) โดยมักจะเป็นในข้อขนาดเล็ก ตามปลายมือและปลายเท้า และเยื่อบุตาอักเสบ (55%) โดยมีลักษณะเป็น conjunctivitis (nonpurulent) ตามลำดับ ส่วนอาการอื่น ๆ เช่น อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ สามารถพบได้เช่นกัน2

ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาแรกในประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2555 – 2557 มีการรายงานผู้ป่วยติดเชื้อซิกาในหลายพื้นที่ ในภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 7 ราย โดยได้รับการตรวจวินิจฉัยยืนยันด้วยวิธีการ Real-time PCR (polymerase chain reaction) พบว่า ผู้ป่วยทั้งหมดมาด้วยอาการไข้และผื่น และมีอาการอื่น ๆ ที่พบได้ เช่น ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะ8


อาการแสดงทางระบบประสาทอาการในเด็กแรกเกิด

ในช่วงที่เกิดการระบาดเป็นวงกว้าง ในหมู่เกาะเฟรนช์โปลินีเซีย และประเทศบราซิล ในปี พ.ศ. 2556 และ พ.ศ. 2558 เจ้าหน้าที่ได้รายงานภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากการติดโรคไข้ซิกาต่อระบบประสาท พบว่า ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศบราซิล มีการเพิ่มขึ้นของภาวะศีรษะเล็กแต่กำเนิด (Microcephaly) ในเด็กแรกเกิด1, 6

สำหรับสถานการณ์ในประเทศไทย มีรายงานภาวะศีรษะเล็กแต่กำเนิดในเด็กแรกเกิด เป็นรายงานแรกในทวีปเอเชีย ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2559 โดยพบในเด็กแรกเกิดจำนวน 2 ราย


อาการแสดงทางระบบประสาทในผู้ใหญ่

ส่วนในผู้ใหญ่มีรายงานการก่ออาการคล้ายโรค Guillain–Barré syndrome เช่นกัน ในช่วงแรกคิดว่ากลไกอาจเกิดจากการติดเชื้อโดยตรง มากกว่าเกิดจากภาวะรบกวนภูมิคุ้มกัน เนื่องจากมีรายงานการเกิดขึ้นเป็นจำนวนมากในประเทศโคลัมเบีย ในช่วงเวลาใกล้เคียงกันซึ่งอธิบายได้ยากจากสาเหตุ จากภูมิคุ้มกัน แต่อย่างไรก็ตาม มีรายงานภายหลังในประเทศบราซิล9 พบว่า สามารถเกิดจากภาวะรบกวนภูมิคุ้มกันส่วนได้เช่นกัน ดังนั้น จึงเชื่อว่าเกิดได้ทั้งสองกลไกก่อเกิดโรค ส่วนอาการทางระบบประสาทอื่น ๆ เช่น Meningoencephalitis และ acute myelitis มีรายงานสามารถเกิดขึ้นได้


การวินิจฉัย

การตรวจวินิจฉัยไวรัสซิกาทางห้องปฏิบัติการ ทำได้โดยการตรวจสารพันธุกรรมด้วยวิธี Real-time PCR (polymerase chain reaction) ทั้งในตัวอย่างเลือดและปัสสาวะ และการแยกเชื้อไวรัสจากตัวอย่างเลือดของผู้ป่วย สำหรับการตรวจแอนติบอดีที่จำเพาะต่อไวรัสซิกา ทำได้ค่อนข้างยาก เนื่องจากมีลักษณะคล้ายกับไวรัสในกลุ่ม Flaviviridae ตัวอื่น ๆ โดยสามารถส่งตัวอย่างเพื่อตรวจสารพันธุกรรมได้ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์


โดยวิธีการเลือกส่ง

ในกรณีผู้ป่วยที่มีอาการป่วยน้อยกว่า 7 วันแรก นับจากวันเริ่มป่วย เก็บเลือด (plasma) และปัสสาวะ (urine) เพื่อส่งตรวจหาสารพันธุกรรมของไวรัส Zika โดยวิธี RT-PCR ส่วนในช่วงระยะเวลาตั้งแต่ 7 วัน เป็นต้นไป นับจากวันเริ่มป่วย หรือไม่ทราบวันเริ่มป่วย ให้เก็บปัสสาวะเพื่อส่งตรวจหาสารพันธุกรรมของไวรัส Zika โดยวิธี RT-PCR

วิธีเก็บตัวอย่าง3

  1. เลือด (Plasma) ให้เจาะเลือดใส่หลอด EDTA ประมาณ 5 มิลลิลิตร ปั่นแยกเอาน้ำเหลืองพลาสมา ใส่หลอดพลาสติกเล็ก แบ่งเป็น 2 หลอด หลอดละไม่ต่ำกว่า 0.5 มิลลิลิตร ติดฉลากชื่อ – อายุ ชนิด ตัวอย่าง และวันที่เก็บตัวอย่าง
  2. ปัสสาวะ (Urine) ให้เก็บตัวอย่างปัสสาวะไม่ต่ำกว่า 30 มิลลิลิตร บรรจุในกระปุกพลาสติกสะอาด หรือปลอดเชื้อ แบ่งเป็น 2 กระปุก กระปุกละ 10 – 15 มิลลิลิตร ปิดฝาให้แน่น และ sealed ขอบฝาด้วยพาราฟิน หรือเทปกาว ใส่ถุงพลาสติก หรือถุงซิปล็อกอีก 2 ชั้น แยกเป็นรายบุคคล ติดฉลากชื่อ – สกุล อายุ ชนิดตัวอย่าง และวันที่เก็บตัวอย่าง


การรักษา

ปัจจุบันยังไม่มีการรักษาจำเพาะที่ได้ผลชัดเจน การรักษาหลัก คือ รักษาตามอาการ โดยการให้สารน้ำทดแทน และการรักษาตามอาการ เช่น ใช้ยาลดไข้ หรือยาบรรเทาอาการปวด หากอาการไม่ดีขึ้นผู้ป่วยควรปรึกษา และทำตามคำแนะนำของแพทย์

.
ตารางที่ 1
สรุปลักษณะทางคลินิก การรักษา และระบาดวิทยาจากการติดเชื้อ Zika virus


การป้องกัน

ยุงและการขยายพันธุ์ของยุงเป็นสาเหตุ และเป็นปัจจัยเสี่ยงของการติดต่อของโรคไข้ซิกา การป้องกันและการควบคุมโรค ขึ้นอยู่กับการลดจำนวนของยุงตามแหล่งต่าง ๆ การกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ รวมถึงการป้องกันตนเองไม่ให้โดนยุงกัด ซึ่งสิ่งนี้สามารถทำได้โดย

  • ใช้ยากำจัดแมลง หรือยาทาป้องกันยุง
  • ใช้ฉากกั้น การปิดประตู ปิดหน้าต่าง การใช้มุ้ง
  • การกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย โดยการทำความสะอาด การเทน้ำทิ้ง และถ้าหากมีอาการไข้ ออกผื่น ตาแดง หรือปวดข้อให้ปรึกษาแพทย์

ในแง่ของการติดต่อทางเพศสัมพันธ์นั้น มีรายงานการศึกษาการตรวจไวรัสซิกาในสารคัดหลั่งต่าง ๆ ของร่างกาย10 พบว่า ในน้ำอสุจินั้นสามารถตรวจพบเชื้อไวรัสได้นานถึง 3 เดือน แต่อย่างไรก็ตาม คำแนะนำของ CDC4 ในการเว้นการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน ในปัจจุบันยังแนะนำให้เว้นในผู้หญิง 2 เดือน และผู้ชาย 6 เดือน หลังมีอาการแสดงของโรคตามลำดับ


วัคซีนสำหรับการติดเชื้อไวรัสซิกา

ถึงแม้ในปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนสำหรับไวรัสซิกา แต่มีการศึกษาวัคซีนในสัตว์ทดลอง เริ่มมีผลการศึกษาที่ได้ผลดี แต่อย่างไรก็ตาม ยังเป็นเพียงการศึกษาในสัตว์ทดลอง แต่เมื่อเทียบกับวัคซีนที่มีก่อนหน้านี้ในกลุ่ม Flaviviridae สามารถผลิตออกมาได้แล้ว ทั้งวัคซีนไข้เลือดออก วัคซีนไข้เหลือง และวัคซีนไข้สมองเจอี ดังนั้น แนวโน้มวัคซีนสำหรับไวรัสซิกา มีโอกาสที่จะสามารถผลิตออกมาได้ในอนาคต11

 

เอกสารอ้างอิง
  1. Rasmussen, Sonja A., et al. “Zika virus and birth defects—reviewing the evidence for causality.” N Engl J Med 2016.374 (2016): 1981 – 1987.
  2. Petersen, Lyle R., et al. “Zika virus.” New England Journal of Medicine 374.16 (2016): 1552 – 1563.
  3. แนวทางการสอบสวนโรคติดเชื้อ ส􀄞ำนักงานระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค 8 สิงหาคม 2559
  4. https://www.cdc.gov/zika/index.html
  5. Anderson, Kathryn B., Stephen J. Thomas, and Timothy P. Endy. “The Emergence of Zika VirusA Narrative ReviewThe Emergence of Zika Virus.” Annals of internal medicine 165.3 (2016): 175 – 183.
  6. Cao-Lormeau, Van-Mai, et al. “Guillain-Barré Syndrome outbreak associated with Zika virus infection in French Polynesia: a case-control study.” The Lancet 387.10027 (2016): 1531 – 1539.
  7. Bearcroft WG. Zika virus infection ex- perimentally induced in a human volun- teer. Trans R Soc Trop Med Hyg 1956;50: 442 – 8
  8. Buathong, Rome, et al. “Detection of Zika virus infection in Thailand, 2012–2014.” The American journal of tropical medicine and hygiene 93.2 (2015): 380 – 383.
  9. de Oliveira, Wanderson K., et al. “Zika virus infection and associated neurologic disorders in Brazil.” New England Journal of Medicine 376.16 (2017): 1591 – 1593.
  10. Paz-Bailey, Gabriela, et al. “Persistence of Zika virus in body fluids—Preliminary report.” New England Journal of Medicine (2017).
  11. Thomas, Stephen J. “Zika Virus Vaccines—A Full Field and Looking for the Closers.” New England Journal of Medicine 376.19 (2017): 1883 – 1886.

 

PDPA Icon

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

บันทึก