พญ. ธิตินันท์ ตรีสรานุวัฒนา
งานต่อมไร้ท่อ กลุ่มงานอายุรศาสตร์
โรงพยาบาลราชวิถี
บทนำ
เบาหวานเป็นโรคไม่ติดต่อที่พบบ่อย และมีแนวโน้มที่ปริมาณผู้ป่วยจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ ตามความคาดการณ์ขององค์การอนามัยโลก (WHO) คาดว่าจะมีผู้เป็นเบาหวานทั่วโลก 366 ล้านคนภายในปี ค.ศ. 2030 ปัจจุบันในประเทศไทยมีผู้เป็นเบาหวานไม่น้อยกว่า 4 ล้านคน การได้รับการดูแลรักษาที่ถูกต้องจะช่วยลดภาวะแทรกซ้อนเรื้อรังได้ เช่น ตา ไต หัวใจและหลอดเลือด ระบบประสาท เป็นต้น การให้ความรู้เพื่อจัดการโรคเบาหวานด้วยตนเอง (Diabetes self-management education and support) เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้ผู้ป่วยมีความรู้ และทักษะในการดูแลตนเองได้ดีขึ้น ปัจจุบันเป็นยุคที่มีความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการดูแลผู้ป่วยเบาหวานจึงเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ และสะดวกมากขึ้น ในบทความนี้จะกล่าวถึงการใช้ระบบข้อมูล และเทคโนโลยีเพื่อการดูแลผู้ป่วยกลุ่มนี้
Mobile health (mHealth) program
การใช้อุปกรณ์พกพา (มือถือ, wearable devices ต่าง ๆ) เข้ามาช่วยในการดูแลผู้ป่วยเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะกระตุ้นให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมในการดูแลตนเองได้ดีขึ้น ปัจจุบันมี mobile applications มากมายเกี่ยวกับโรคเบาหวานในด้านต่าง ๆ ดังนี้
- การติดตามระดับน้ำตาล
- การติดตามเรื่องการรับประทานอาหาร
- การติดตามเรื่องการออกกำลังกาย
- การลดน้ำหนัก
- การรับประทานยา
ตัวอย่าง Apps
- Diabetes pilot
มีระบบการทำงานที่สามารถบันทึกระดับน้ำตาล น้ำหนักตัว อาหารที่รับประทาน ปริมาณยาที่ใช้ และมีรายงานผลเป็นกราฟบอกค่าเฉลี่ยภายในระยะเวลาต่าง ๆ (รูปที่ 1)
.
รูปที่ 1 ตัวอย่างภาพหน้าจอจาก application: Diabetes Pilot
.
- Glooko
เป็น Diabetes management system ที่สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ของบริษัทอื่น ๆ รวมถึงสามารถบันทึกระดับน้ำตาล อาหาร และกิจกรรมต่าง ๆ ได้
.
รูปที่ 2 ตัวอย่างภาพหน้าจอจาก application: Glooko
นอกจากตัวอย่างดังกล่าว ยังมี application อีกมายมายทั้งที่ฟรี และต้องเป็นสมาชิก ดังรูปที่ 3
อย่างไรก็ตาม mHealth apps ต่าง ๆ เหล่านี้ ยังไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ (evidence-based) ที่สนับสนุนว่าการทำงาน และข้อมูลต่าง ๆ ของ apps เหล่านี้สามารถเชื่อถือได้
Sarah Chavez และคณะ ได้ทำการศึกษา Mobile apps for the management of diabetes1 โดยการเลือก Apps ยอดนิยมทั้งใน iTunes และ Google play จากการค้นหาคำว่า “diabetes” และ “diabetes management” โดยมีลักษณะดังนี้ ได้แก่
.
รูปที่ 3 ตัวอย่างภาพ application ในการดูแลผู้ป่วยเบาหวาน
- ไม่เสียเงินค่าบริการ
- เป็น apps สำหรับผู้ป่วย
- ไม่ต้องลงทะเบียน
- เป็นภาษาอังกฤษ
มี apps ที่เข้าเกณฑ์ 89 apps จะถูกประเมินโดยใช้ Mobile App Rating Scale (MARS) ประกอบด้วย 4 ส่วน คือ engagement, functionality,anesthetics, information แต่ละส่วนมีคะแนนเต็ม 5 คะแนน และส่วนที่เป็น diabetes management tasks (การออกกำลังกาย อาหาร การตรวจระดับน้ำตาล การได้รับยาหรือปรับยาอินซูลิน การ feedback และการให้ความรู้) คะแนนเต็ม 6 คะแนน คำนวณคะแนนโดยใช้ interclass correlation coefficient (ICC) ดังตารางที่ 1
ตารางที่ 1 การให้คะแนนสำหรับ application ต่าง ๆ
ค่าเฉลี่ย (Mean) ของคะแนนด้าน functionality = 3.79, aesthetics = 4.43, engagement = 3.15 แต่ด้าน information ได้คะแนนเฉลี่ยเพียง 2.23, total quality = 2.99
ส่วนใหญ่ของ apps เป็นแบบ single task มีเพียงแค่ 4 apps จาก 89 apps เท่านั้นที่เป็น integrated diabetes management tasks ทั้ง 6 ด้าน แต่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งที่เป็น integrated diabetes management tasks อย่างน้อย 4 ด้าน Apps ที่มีคะแนนมากที่สุดคือ Tactio Health: My Connected Health Logbook = 28.61 คะแนน อันดับ 2 คือ ACCU-CHEK 360° Diabetes Mgmt = 25.94 คะแนน
แต่อย่างไรก็ตาม การศึกษานี้ก็ยังมีข้อจำกัด คือ เลือก apps ที่ฟรีเท่านั้นเข้าการศึกษา apps ที่ต้องเสียเงินอาจจะมีคะแนนที่ดีกว่าได้ และคะแนนของ apps ก็ไม่ได้สะท้อนพฤติกรรมที่แท้จริงของผู้ใช้ ในอนาคตยังจำเป็นต้องทำการศึกษาเพิ่มเติม และผู้พัฒนา Application ควรร่วมมือกับผู้ให้บริการทางการแพทย์เพื่อให้ Application นั้น ๆ สอดคล้องกับการดูแลรักษาทางคลินิก
นอกจาก apps ที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว การใช้เทคโนโลยีในการให้การศึกษากับผู้ป่วยก็มีประโยชน์เช่นกัน มีการศึกษาของ B. PrinceKerfoot และคณะเรื่อง A team-based online game improves blood glucose control in veterans with type 2 diabetes2 ทำการศึกษาในผู้เบาหวานชนิดที่ 2 จำนวน 456 คน ใช้ยาลดระดับน้ำตาลชนิดรับประทาน มีระดับ HbA1C ≥ 58.8 mmol/mol แบ่งผู้เข้าการศึกษาเป็น 2 กลุ่ม โดยการสุ่ม กลุ่มหนึ่งได้รับเกมส์ที่เป็นคำถาม และคำตอบเกี่ยวกับ Diabetes self-management education (DSME) และอีกกลุ่มหนึ่งได้รับเกมส์ที่ไม่ใช่ DSME โดยส่งให้ผู้เข้าร่วมการศึกษาทาง e-mail หรือ Mobile apps สัปดาห์ละ 2 ครั้ง เป็นระยะเวลา 6 เดือน วัดผล Primary outcome ดู HbA1C ที่เปลี่ยนแปลงไปในระยะเวลา 12 เดือน ผลคือ กลุ่มที่ได้รับเกมส์ DSME จะมีระดับ HbA1C ลดลง ที่ระยะเวลา 12 เดือน มากกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับเกมส์ DSME (-8 mmol/mol 95%CI -10 ถึง -7, -5 mmol/mol 95% CI -7 ถึง -3 ตามลำดับ, P= 0.048)
รูปที่ 4 ตัวอย่างคำถามใน application เกมส์การดูแลผู้ป่วยเบาหวาน
สรุป
mHealth สามารถช่วยในการรักษาโรคเบาหวาน และสามารถเพิ่มช่องทางในการสื่อสารระหว่างผู้ป่วย และผู้ให้บริการทางการแพทย์ได้เพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลรักษา แต่อย่างไรก็ตาม ยังจำเป็นที่จะต้องมีการศึกษาวิจัยที่จะพิสูจน์ประสิทธิภาพของ apps เหล่านี้ มีการรวบรวม apps เข้ากับระบบรักษาพยาบาลด้านสุขภาพ และต้องมีการให้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือและปลอดภัยสำหรับการใช้ mobile health applications
เอกสารอ้างอิง
- Available from http://doi.org/10.2337/dc17-0853.
- Available from http://doi.org/10.2337/dc17-0310.