CIMjournal
WLB-Marathon-Run

WLB: เมื่อก่อนจมกับความคิดว่า เราออกกําลังกาย หรือเล่นกีฬาไม่ได้มาเป็น 10 ปี จนวันหนึ่ง เพียง Just do it ก็พบว่าตัวเองทําอะไรได้มากกว่าที่คิด


นพ. ธนิต ประสพโภคากร (หมออาร์ม)

แพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู
ฝ่ายการแพทย์ บริษัทยาและวัคซีนระดับโลก

 

Work life balance ในมุมมองของหมออาร์มสำคัญมากไหม

นพ. ธนิต ประสพโภคากรก่อนอื่นขอแนะนำตัวก่อนว่าชื่อจริง นพ. ธนิต ประสพโภคากร ชื่อเล่นอาร์ม จบแพทยศาสตร์ จากคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เคยศึกษาด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟู คณะแพทยศาสตร์ ม.เชียงใหม่ ปัจจุบันย้ายมาทำงานทางด้านการแพทย์ให้กับบริษัทยาและวัคซีนระดับโลก ที่มีสาขาอยู่ในประเทศไทย

Work life balance สําคัญมากสําหรับอาชีพแพทย์ ต้องบอกก่อนว่าในความเห็นส่วนตัว มันไม่ใช่เป็นเทรนด์ที่มาแล้วไป หรือไลฟ์สไตล์ที่ใครชอบก็ค่อยทำ แต่มันคือสิ่งจำเป็นในการดำเนินชีวิต โดยจัดแบ่งเวลาในการทำงานกับการทำเรื่องอื่น ๆ เช่น เรื่องส่วนตัว เรื่องครอบครัว ให้สมดุลกัน โดยถ้าสมดุลแล้ว จะทำให้สุขภาพกายใจเราดี การทํางานก็จะดีไปด้วย ส่วนคนที่จัดแบ่งเวลาไม่ดี เช่น ทำงานจนไม่ได้พักผ่อน ไม่ได้ออกกำลังกาย วันหนึ่งเราก็จะมีปัญหาสุขภาพ อาจเป็นออฟฟิศซินโดรม โรคอื่น ๆ รวมถึงปัญหาความสัมพันธ์ต่าง ๆ ตามมา

สมัยเรียนแพทย์ประจำบ้าน อาจารย์แพทย์รูมาโตเคยเล่าว่า มีคนไข้เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยและเป็นโรคแพ้ภูมิตัวเอง ชอบทำงานดึก ๆ ไม่ยอมแบ่งให้ใครทำงาน แพทย์ก็เตือนแล้วว่า ถ้าโหมงานหนักพักผ่อนน้อย โรคจะกำเริบ ร่างกายจะยิ่งแย่ลง คนไข้ก็ไม่เชื่อ ภายหลังอาการหนักจนต้องเข้าไอซียู อาจารย์แพทย์ก็บอกว่า เห็นไหม วันที่คุณล้มป่วย ก็มีแต่ครอบครัวที่ปกติคุณไม่ได้ไปหาเขา ไม่ได้มีเวลาอยู่กับเขา มาคอยป้อนข้าวป้อนน้ำคุณ ในขณะคนที่คุณให้เวลาอยู่กับเขากับการทำงาน เขาก็ไม่ได้ช่วยอะไรคุณ เพราะเขาก็มีภาระงานอยู่ เลยเป็นข้อเตือนใจว่า เราต้อง balance ระหว่างชีวิตทำงานและครอบครัวให้ดี


มุมมองหมออาร์ม หมอคิดว่า แพทย์โดยรวมมี  Work life balance ดีพอหรือยัง

ผมคิดว่าหมอบางท่านอาจทํางานหนักเกินไป หมอใหม่ ๆ บางโรงพยาบาลก็งานเยอะอยู่แล้ว แต่ต้องรับเวรเพิ่มอีก บางทีก็เวรดึกต้องอดหลับอดนอน บางคนเลือกเวรเพิ่มเติมเสาร์อาทิตย์ อย่างแพทย์เฉพาะทางบางสาขาก็อาจหนักอย่างหมอศัลย์ หมอหัวใจ หมอออร์โธฯ ที่ผ่าแล้วต้องติดตามคนไข้อย่างใกล้ชิด หรือมีอาจารย์แพทย์หลาย ๆ ท่าน เคยบอกว่างานเยอะ ไม่ค่อยได้พักผ่อนทั้งดูแลคนไข้ สอน ทำวิจัย และอื่น ๆ ไม่ค่อยมีเวลาส่วนตัว คิดว่ามีจำนวนพอสมควรที่เน้น Work life แต่ไม่ balance ชีวิตส่วนอื่น


ในส่วนของหมออาร์ม มีปัญหา work life balance ไหม และจัดการอย่างไร

ต้องออกตัวก่อนว่า ตอนนี้ไม่ได้ทำโรงพยาบาลแล้ว และยังไม่มีครอบครัว ก็มีคุณพ่อคุณแม่ที่ต้องดูแล แต่ท่านยังแข็งแรง ปัญหาในการจัดแบ่งเวลาก็จะมีไม่มาก แต่งานปัจจุบันเป็นการทำงานกับต่างชาติ โดยเฉพาะชาติที่อยู่คนละ time zone ก็จะมีปัญหา ต้องนัดประชุมช่วงกลางคืนบ่อย ให้เอเชีย ยุโรป อเมริกา เข้าพร้อมกันได้ ยิ่งถ้าช่วงที่มีกิจกรรมมาก เช่น มีการออก product ใหม่ ก็จะนัดประชุมบ่อย เราก็ต้องทํางานล่วงเวลา โดยรวมก็มีปัญหาแบบออฟฟิศซินโดรม ปวดหลัง ปวดคอ ปวดบ่า อยู่บ้าง แต่ไม่ได้เป็นอุปสรรคการทำงาน


หมออาร์มมีหลักในการบริหารเวลาอย่างไร

ส่วนตัวเริ่มจากเซตเป้าหมายก่อน เป้าหมายเรื่องงานคืออะไร เป้าหมายเรื่องส่วนตัวคืออะไร อย่างเป้าหมายเรื่องงานก็จะดูว่าเป็นอะไร วัดผลโดยใช้ KPI อะไร ใช้เวลาทำในช่วงไหน ส่วนเป้าหมายส่วนตัวตอนนี้ให้ความสำคัญกับการวิ่งมาราธอน โดยตอนนี้วิ่งครบ 6 สนามมาราธอนหลักของโลก หรือที่เรียกว่า 6 World Marathon Majors แล้ว คือ Tokyo, Boston, London, Berlin, Chicago และ New York  ตอนนี้จะมีประกาศเพิ่มเป็น 9 สนาม สนามที่รับรองเพิ่มอีก 1 สนาม คือ Sydney ก็เป็นเป้าหมายที่จะทยอยวิ่งจนครบ สำหรับการบริหารเวลานั้นเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะต้องหาเวลาซ้อมวิ่งต่อเนื่อง 3 – 4 เดือน ก่อนแข่ง

 

“จริง ๆ แล้ว ตอนเด็กไม่ค่อย
มีความมั่นใจในการเล่นกีฬา
รู้สึกว่าทำไม่ได้ดี

จนถึงขั้นคิดว่าตัวเอง
เป็นคนมีปมด้อย
ออกกำลังกาย
หรือเล่นกีฬาไม่ได้”


สาเหตุที่เลือกการวิ่ง

จริง ๆ แล้ว ตอนเด็กเป็นคนไม่ค่อยออกกําลังกาย และไม่ค่อยมีความมั่นใจในการเล่นกีฬาด้วย รู้สึกมือไม้แขนขามันไม่ค่อยจะประสานกัน เคยเตะฟุตบอล ตีแบด ก็รู้สึกว่าทำไม่ได้ดี เล่นนิดหน่อยก็รู้สึกเหนื่อย จนถึงขั้นคิดว่าตัวเองเป็นคนมีปมด้อย คิดว่าออกกำลังกาย หรือเล่นกีฬาไม่ได้ มาวันหนึ่งตอนนั้นเรียนอยู่เชียงใหม่ เห็นเขาประกาศงานวิ่งเชียงใหม่มาราธอน สัก 13 ปีก่อน เราจําได้ว่าช่วงนั้นมีหนังเรื่องรัก 7 ปี ดี 7 หน ในหนังก็มีฉากวิ่งมาราธอนด้วย ตัวเองก็ไปวิ่งเป็นครั้งแรก คิดว่าได้เท่าไรก็เท่านั้น ก็ใช้วิธีเดิน ๆ วิ่ง ๆ จนเข้าเส้นชัยที่ระยะ 10 กิโลได้ เลยก็คิดว่า เด็กอ้วนคนนี้ก็ออกกำลังกายได้เหมือนกันนะ

WLB-Marathon-Run

อาจเป็นเพราะไลฟ์สไตล์ และสภาพเมืองเชียงใหม่มีส่วนผลักดันให้ตนเองวิ่งด้วย เพราะมหาวิทยาลัยตั้งอยู่เชิงดอยสุเทพ มีสนามกีฬา สวนสาธารณะ อยู่ใกล้กันหมด ไปแรก ๆ ก็ตกใจมาก แบบหมอเค้าเรียนเสร็จ กลับหอเปลี่ยนชุดไปวิ่ง จากสวนดอก ไปในมช. บางคนก็ปั่นจักรยานขึ้นดอยสุเทพ เสาร์อาทิตย์ปั่นจักรยานไปดอยอินทนนท์กัน สภาพแวดล้อมมันเอื้อให้การออกกำลังมาก ๆ

  “พอวิ่ง 10 กิโลแรกได้
ความคิดมันเปลี่ยน
จากที่ว่าเราเล่นกีฬาไม่ได้ 

มาคิดว่าถ้าเป็นวิ่งเราก็ทำได้
ไม่ต้องไปแข่งกับใคร
แข่งกับตัวเองก็พอ”


พอวิ่งระยะ 10 กิโลแล้ว มาวิ่งระยะมาราธอนได้อย่างไร ใช้เวลากี่ปี

พอวิ่ง 10 กิโลแรกได้ ความคิดมันเปลี่ยน จากก่อนหน้าที่เราคิดว่าเราเล่นกีฬาไม่ได้  มาคิดว่าถ้าเป็นกีฬาวิ่งเราก็ทำได้ ไม่ต้องไปแข่งกับใคร แข่งกับตัวเองก็พอ หลังจากนั้นว่างก็คว้ารองเท้าออกไปวิ่งตลอด ปีถัดมาก็มาลงวิ่งระยะ 21 กิโล คราวนี้เริ่มมีเพื่อน เริ่มชวนกันลงงานวิ่ง ทั้ง 10 กิโล 21 กิโล สลับกันไป ลงมาราธอนแรกของชีวิต คือ บางแสนมาราธอนปี 2017 จำได้ว่าตอนจบ ร้องไห้เลยแบบไม่คิดว่าเราจะทำได้มาก่อน รวมเวลาตั้งแต่เริ่มวิ่งงานแรกจนลงมาราธอนคือ 4 ปี  

“ในระหว่างวิ่งช่วง
เจอปีศาจกม.ที่  32 – 35
จะมีอาการปวดล้าขา
ตะคริวมักจะเกิด
จะมีความคิดมาบอก
ให้เราหยุดได้แล้ว
พอได้แล้ว
เราต้องหาเหตุผลมาตอบ
กับตัวเองอยู่ตลอด”


การวิ่งมาราธอนแรกสำเร็จ มันเปลี่ยนความคิดอะไรไปบ้าง

เอาจริง ๆ มันเป็นอีก milestone ในชีวิตตัวเองเลย เพราะวิ่งระยะสั้นบางทีเราไปเดิน ๆ วิ่ง ๆ โดยไม่ต้องซ้อม ถ้าร่างกายแข็งแรงก็ทำได้ แต่การวิ่งมาราธอนโดยเฉพาะมาราธอนแรก มันต้องเตรียมร่างกาย ต้องซ้อมอย่างจริงจัง ต้องแบ่งเวลา แต่ละอาทิตย์ แต่ละเดือนจะซ้อมอย่างไร ต้องค่อย ๆ เพิ่มระยะวิ่งไปเรื่อย ๆ ระหว่างนั้นเราต้องเจอคำถาม “ทำไม” กับตัวเองตลอด เช่น ทำไมต้องมาลำบาก ทำไมต้องมาทรมานตัวเอง ทำไม  3 – 4 ทุ่มต้องลุกขึ้นวิ่ง ทำไมไม่ไปกิน ไปทำสิ่งที่อยาก และในระหว่างวิ่ง จะเจอสิ่งที่เรียกว่า ปีศาลกิโลเมตรที่  32 – 35 จะมีอาการปวดล้าขา จะมีความคิดมาบอกให้เราหยุดได้แล้ว พอได้แล้ว สรุปคือ เราก็ต้องหาเหตุผลมาตอบกับตัวเองอยู่ตลอด เพื่อที่จะไม่ให้เราหยุด เพราะมันคือการยอมแพ้ แต่เราไม่ยอมแล้ววิ่งจนจบ


ช่วงก่อนวิ่งมาราธอน มีวิธีการซ้อมและเตรียมตัวอย่างไร

ต้องออกตัวก่อนว่า เราไม่ใช่นักกีฬานะ ชอบใช้คำว่ามนุษย์ออฟฟิศไปวิ่งฟูล เพราะต้องทำงานจันทร์ถึงศุกร์ เราก็ใช้ตอนเลิกงานซ้อมวิ่งสัปดาห์ละ 2 – 3 วัน มีว่ายน้ำ และเล่นเวทเสริมกล้ามเนื้อขาบ้างเป็นบางวัน ส่วนเสาร์อาทิตย์ก็เลือก 1 วัน วิ่งยาว ๆ เช่น 10, 14, 18 และ 20 ไปเรื่อยเรื่อย จนถึงก่อนวิ่งจริง ต้องให้ได้ระยะ 30 – 32 กิโล สองครั้ง เป็นต้น ประมาณนี้ต่อเนื่องกันไป 3 – 4 เดือน ถ้าซ้อมไม่ถึงไปวิ่ง ร่างกายอาจพัง หรือบาดเจ็บจนไปวิ่งไม่ได้

หลังจากงานวิ่งที่ Chicago แล้วตนเองก็ได้เป็น pacer ของ Nike+ Run Club Bangkok ได้มีโอกาสช่วยงานหลายอย่าง เช่น ดูแลนักวิ่งใน club เป็น staff งานวิ่งของ Nike และการได้ไปร่วมกับพี่ตูน ในโครงการก้าวคนละก้าว ภาคใต้ จากตรังถึงภูเก็ต รวมถึงร่วมซ้อมกับกลุ่มวิ่งของอ้วยอันรันเนอร์ด้วย โดยรวมแล้วทำให้มีการซ้อมที่เป็นระบบมากขึ้น

WLB-Marathon-Run


จากมาราธอนบางแสน ไปถึง World Marathon Majors ได้อย่างไร

หลังวิ่งมาราธอนแรกจบ ก็รู้สึกมั่นใจขึ้นแล้วว่าอย่างเราเนี่ย ก็วิ่งมาราธอนได้ พอดีแบรนด์ BMW เขาเป็นสปอนเซอร์งานวิ่งมาธอนที่ Berlin แล้วเขามีโควตาพิเศษให้ลูกค้า เราก็รีบลงทะเบียนใช้สิทธินั้น หลังจากนั้นเขาก็ทยอยส่งข้อมูลมาให้เรา เช่น เส้นทาง จุดหลัก ๆ ในเมือง ระเบียบวิธีต่าง ที่สำคัญโปรแกรมซ้อมด้วย เราก็เริ่มฝึกซ้อมตามโปรแกรมที่เขาให้มาเลย

“สภาพบรรยากาศจะแบบ
เหมือนปิดเมือง
เพื่อมาจัดวิ่งกันเลย
คนเกือบทั้งเมืองออกมาเชียร์
บางบ้านก็ตั้งโต๊ะแจกน้ำ
แจกขนม ถือป้ายให้กำลังใจ
เหมือนใครทำอะไรได้
ก็มาช่วยกัน”


จากมาราธอนแรกในไทย ไป 6 World Marathon Majors ได้อย่างไร

หลังจากได้ไปวิ่งงาน Major แล้วประทับใจมาก งานมาราธอนมีหลายสนาม หลายประเทศ แต่การเป็นสนามมาราธอนหลัก ๆ ของโลกต้องมีมาตรฐานในระดับต้น ๆ มีประวัติมาอย่างยาวนาน อย่างตอนเราวิ่งที่ไทยปล่อยตัวกันตี 3 – 4 แล้วก็วิ่งไปแบบเหงามาก ชาวบ้านยังไม่ตื่นกัน พอชาวบ้านตื่น งานวิ่งก็จบเสร็จเก็บของกันแล้ว แต่ที่ Berlin ซึ่งเขาจัดกันมา 50 ปีแล้ว มีนักวิ่งเป็น 100 ชาติจากทั่วโลก หลายหมื่นคน สภาพบรรยากาศจะแบบเหมือนปิดเมืองเพื่อมาจัดวิ่งกันเลย คนเกือบทั้งเมืองออกมาเชียร์ มีคนมานั่งจิบกาแฟ จิบเบียร์เชียร์กัน บางบ้านก็ตั้งโต๊ะแจกน้ำแจกขนม บางบ้านก็ถือป้ายให้กำลังใจ เหมือนใครทำอะไรได้ก็มาช่วยกัน ยิ่งใกล้ ๆ เส้นชัย คนก็จะยิ่งออกมาเยอะมากๆ ระดับหลายหมื่นจนถึงแสนคน เราก็รู้สึกประทับใจตั้งแต่วิ่งงานแรก ว่าบรรยากาศมันต่างจากที่ไทยมากเลย

WLB-Marathon-Run

สำหรับ World Marathon Major จะมีทั้งหมด 6 สนาม ใน 6 เมืองทั่วโลก นักวิ่งที่วิ่งได้ครบ จะได้เหรียญ Six star finisher หรือที่เรียกกันเล่นๆ ว่าเหรียญ “พอนเดอริง” จากรูปร่างที่คล้ายโดนัท ซึ่งเป็นความฝันของนักวิ่งทั่วโลก เราก็รู้สึกว่า ถ้าจากเด็กที่คิดว่าเล่นกีฬาไม่ได้ มาวิ่งมาราธอนจนครบ 6 สนามหลักของโลกได้ มันต้องยอดเยี่ยมแน่ ๆ ก็ตัดสินใจที่จะทำตามความฝันตั้งแต่นั้นมา


ประสบการณ์ 6 World Marathon Majors เป็นอย่างไร

พอเสร็จจาก Berlin แล้วไปต่อ Chicago Marathon 2019 เปลี่ยนจากวัฒนธรรมยุโรปเป็นวัฒนธรรมอเมริกัน ก็ได้วิ่งผ่านทุกย่านของเมืองเลย ย่านดาวน์ทาวน์ ไชน่าทาวน์ ย่านไนต์คลับ สวนนอกเมือง แต่ละจุดกองเชียร์จะต่างกันไป อย่างดาวน์ทาวน์ก็คือคนทั่วไป ไชน่าทาวน์ก็เป็นคนเอเชีย ผ่านย่านไนต์คลับก็มีตั้งเวทีร้องเพลง ประมาณนี้ ต่อมาปี ค.ศ. 2020 โควิดระบาด หยุดกิจกรรมระหว่างประเทศไป 3 ปี เราก็หยุดวิ่ง 3 ปี พอกลับมาจัด เราก็ไป Tokyo Marathon 2023 วัฒนธรรมญี่ปุ่นจะค่อนข้างเรียบร้อย แบบไม่ค่อยโวยวาย บางส่วนก็ถือป้ายเชียร์ พอผ่านโซนวัดก็มีตีกลอง ผ่านโรงเรียนก็จะมีเด็กนักเรียนมาตั้งวงโยธวาทิต บางย่านก็จะมีคนแต่งตัวเป็นไอดอล มีร้องเพลงคาราโอเกะ อย่างนี้ งานต่อมาไป New York Marathon 2023 วัฒนธรรมอเมริกัน จะเชียร์มันมาก จุดสตาร์ทจะเริ่ม Staten Island แล้วก็แบบวิ่งข้ามสะพาน 3 – 4 สะพาน ได้ผ่านทุกย่านของนิวยอร์กทั้ง Queens Brooklyn Bronx Manhattan สนามจะเป็นเนินซึม ๆ ยาว ๆ เหมือนเราได้วิ่งชมเมือง ส่วนตัวชอบที่นี่มากสุด เพราะโอกาสน้อยมากที่เขาจะปิดสะพานหลาย ๆ สะพานให้ได้วิ่ง และได้วิ่งในเขต Manhattan จนมาจบที่ Central Park จากนั้นก็มาต่อที่ London Marathon ปี 2024 คนอังกฤษเชียร์กันมันมาก นึกภาพเวลาเชียร์บอลเลย แล้วเขามีให้สกรีนชื่อนักวิ่งบนเสื้อด้วย เวลาวิ่งไปไหน คนเห็นก็จะเรียกชื่อ ตะโกนเรียกให้กำลังใจ และสนามสุดท้ายที่ Boston Marathon 2025 สนามนี้เรียกว่ายากที่สุด มีเนินเขาชื่อ Heartbreak hill หรือเนินใจสลาย ที่ระยะ 32 โล ซึ่งนักวิ่งก็ล้ากันหมดแล้ว แล้วต้องมาวิ่งขึ้นเนินชันๆ 3 – 4 เนิน ทำให้คนส่วนใหญ่ถอดใจ เลยเรียกว่าเนินใจสลาย ส่วนบรรยากาศมันมีความขลังของมันสมกับการเป็นสนามมาราธอนแรกของโลกที่จัดมา 129 ปี เหมือนแบบจิตวิญญาณทั้งเมืองโฟกัสที่งานนี้เป็นหลักเลย ปิดถนนล่วงหน้า 2 วัน ประดับประดาบ้าน ร้านค้า โรงแรม ติดธงห้อยป้ายงานมาราธอนไปทั่ว และหลังเราวิ่งจบ ได้เหรียญมา เวลาเราห้อยเหรียญเดินในเมือง คนทั้งเมืองก็จะแสดงความยินดีกับเรา congrats ไปตลอดทาง อีกวันเราเดินทางกลับที่สนามบิน เจ้าที่สนามบิน ลูกเรือก็แสดงความยินดีกับเราตลอด ขนาดกัปตันยังประกาศแสดงความยินดีกับนักวิ่ง เหมือนมันเป็นวัฒนธรรมของเค้าไปแล้ว และเราก็ภูมิใจที่วิ่งสำเร็จ

 

“อากาศหนาว ตะคริวขึ้นเป็นพัก ๆ
ขาจะลากไม่ไหว
เหลืออีกสัก 5 – 6 โล
พอดี Pacer ตามหลังเรา
มาบอกว่าเหลือระยะอีกนิดเดียว
เขาจะวิ่งไปด้วย เราก็ไปต่อ
ปรากฏว่าเข้าเส้นชัยพร้อม
Pacer ที่ 3 ชม. 59 นาที
ได้ Sub 4 แรก”

ประทับใจงานวิ่งที่ไหนมากที่สุด เพราะอะไร

งานวิ่งที่ Chicago ปี ค.ศ. 2019 ตอนนั้นซ้อมมาแบบบ้าน ๆ แล้วมาตั้งใจจะทำ Sub 4 หรือจบมาราธอนภายในเวลา 4 ชั่วโมง ก่อนเริ่มวิ่งก็ไปแนะนำตัวกับ Pacer 4.00 แต่พอเริ่มวิ่ง คนเยอะมากๆ ก็เลยวิ่งแซง Pacer ไปก่อน เราก็วิ่งไปเรื่อยๆ จนถึงระยะ 32 โล อากาศหนาว ตะคริวเริ่มจะขึ้น ขาแทบจะก้าวไม่ออก คิดว่าจะหยุดแล้ว ไปต่อไม่ไหว เหลืออีกสัก 5 – 6 โล ปรากฎ Pacer ตามหลังเรามา เขาจำเราได้ ก็มาเรียก บอกว่าเหลืออีกนิดเดียว ไปด้วยกัน we will finish sub 4 together  แล้ว pacer เค้าให้กำลังใจคนไปเรื่อย ๆ พยายามเรียกทุกคน มัน powerful มาก ๆ เราก็มีกำลังใจ วิ่งไปกับเค้าเรื่อย ๆ ปรากฏว่าเข้าเส้นชัยพร้อม Pacer ที่ 3 ชม. 59 นาที เป็น Sub 4 ครั้งแรกของชีวิต พอเข้าเส้นชัย ร้องไห้แล้ว กระโดดกอดเค้าเลย ขอบคุณจนไม่รู้จะขอบคุณยังไง

WLB-Marathon-Run

อีกงานคือ Boston ปี ค.ศ. 2025 ซึ่งป็นสนามสุดท้าย ก็ประทับใจทั้งสนามแข่งและเมืองที่มีความขลัง และคนที่จะได้ Six star จะได้ใบมาแปะข้างหลังเสื้อวิ่ง ว่าวันนี้จะได้เหรียญ Six star finisher เวลามีใครวิ่งผ่านเรา ก็จะ congrats เราล่วงหน้า มีคนแสดงความยินดีกับเราตลอดทางที่วิ่งเลย พอเข้าเส้นชัยรับเหรียญ Boston แล้ว ก็ไปที่ซุ้มของ World Marathon Majors เขาก็จะเช็คว่าเราวิ่งครบ และพาไปรับเหรียญ ตอนจังหวะที่เห็นเหรียญตรงหน้า ความรู้สึกมันตื้นตันมาก ตลอด 7 ปีที่ไล่ตามความฝันมา มีล้ม มีสะดุด เกือบจะไม่ได้ไปต่อ แต่เราก็ยังคงวิ่งต่อไปจนมาถึงวันนี้ ตอนนั้นกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ คนรอบๆหยุดและปรบมือให้เราหมดเลย เป็น moment ที่คงจำไปตลอด


มาราธอนให้อะไรกับชีวิต

ให้ข้อคิดที่ว่า อย่าจำกัดตัวเองว่าทําไม่ได้ ก่อนที่จะทำอย่างจริงจัง ตัวเองจมอยู่กับความคิดที่ว่าเราออกกําลังกายไม่ได้ เราเล่นกีฬาไม่ได้มาเป็น 10 ปี จนวันหนึ่งแค่ just do it ทำให้รู้ว่า เราทําอะไรได้มากกว่าที่คิด


ฝากข้อคิดในเรื่อง Work life balance และการเล่นกีฬา

ฝากให้ปรับตัวเองให้มี Work life balance ที่สมดุล จะได้มีสุขภาพกายและใจที่ดี พร้อมในการดูแลผู้ป่วย หรือทำงานได้ยาว ๆ และสำหรับบางคนที่รู้สึกว่าการปรับเปลี่ยนตัวเองมันเป็นเรื่องยาก ก็อยากจะบอกว่า Just do it นะ ให้ลองทำอย่างจริงจังก่อน ลองออกจากเซฟโซนของตัวเองดู ก็จะเห็นโลกใบใหม่ ๆ อย่างตัวเองทํางานในโรงพยาบาลมาก่อน ก็มีความสุขดี รู้สึกชีวิตมั่นคงดี แต่วันหนึ่งก็ตัดสินใจก้าวออกมาจากเซฟโซนของตัวเอง ไม่รู้ว่าอนาคตเป็นอย่างไร แต่อย่างน้อยก็รู้สึกว่าเราทำงานที่ทำอยู่ปัจจุบันก็ได้ด้วย เช่นเดียวกับการเล่นกีฬา ถ้าเราตั้งใจทำจริง ๆ จากที่เคยคิดว่าทำไม่ได้ ปัจจุบันก็ทำได้ และยังจะคงวิ่งต่อไปเรื่อย ๆ ครับ

 

 

PDPA Icon

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

บันทึก