CIMjournal

อาจารย์ พญ. จีรันดา สันติประภพ สาขาต่อมไร้ท่อในเด็ก


ถ้าตนเองย้อนเวลากลับไปได้ อยากเรียงลำดับความสำคัญของงานในอาชีพแพทย์ให้ดีกว่านี้

รศ. พญ. จีรันดา สันติประภพ
สาขาวิชาต่อมไร้ท่อและเมแทบอลิซึม ภาควิชากุมารเวชศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
อุปนายก คนที่ 3 และประธานฝ่ายวิชาการ สมาคมต่อมไร้ท่อเด็กและวัยรุ่นไทย

 

แรงบันดาลใจในการเลือกเรียนแพทย์

จบมัธยมจาก รร.สาธิตปทุมวัน จริง ๆ แล้วอยากเรียนสายศิลป์ อยากเรียนอักษรศาสตร์หรือโบราณคดี แต่คุณแม่อยากให้เรียนสายวิทย์ บอกว่ามีทางเลือกเยอะกว่า พอดีมีคุณน้าที่เป็นหมอเด็กจบศิริราช ทําด้านพัฒนาการอยู่ที่อเมริกา คุณน้ามีความสุขกับงานที่ทำมาก เป็นแบบอย่างแพทย์ที่ดีของตนเอง เลยตัดสินใจเรียนวิทย์ตามคุณแม่แนะนำ และสอบติดแพทย์ที่ศิริราช ตอน ม. 5 สำหรับการเรียนแพทย์นั้นช่วงแรก ๆ ยังไม่ชอบ เพราะรู้สึกหนักกับการที่ต้องเรียนแล้วสอบพร้อม ๆ กันหลายวิชา เกือบจะทุกอาทิตย์ แต่พอขึ้นคลินิก ได้เห็นได้พูดคุยกับคนไข้ เห็นการรักษาของอาจารย์แล้วคนไข้ดีขึ้น ก็เริ่มมีความสุขกับการเรียนแพทย์ตั้งแต่นั้นมา

สำหรับสาเหตุที่เลือกเรียนเป็นกุมารแพทย์นั้น ต้องบอกว่าอยากเรียนมาตั้งแต่เป็นนักศึกษาแพทย์ปี 6 ตอนนั้นเรียนหนัก อดหลับอดนอน อยู่เวรตลอด เครียด พอมีเวลาว่างตนเองกับเพื่อน ๆ ก็จะไปที่เนอร์สเซอรี่กัน ไปเล่นกับเด็ก ๆ ที่ถูกทิ้งไว้ที่โรงพยาบาล สมัยก่อนกว่าที่จะส่งต่อไปสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า เด็กบางคนอยู่ที่ศิริราชเป็นปี เด็กกลุ่มนี้คือ กำลังใจที่สำคัญของพวกเรา บางคนเราเห็นตั้งแต่เกิดถึงอายุ 7 – 8 เดือน สมัย 20 กว่าปีก่อนจะไม่มีระเบียบเข้มงวดนัก นักศึกษาแพทย์ที่เคยผ่านวอร์ดเด็ก ก็จะไปขอพี่พยาบาลขอไปเยี่ยมเด็ก ๆ ไปขอเล่น ซื้อของใช้ ซื้อชุดให้ บางครั้งก็อุ้มพาไปเดินเล่นตรงลานพระราชบิดา ไปถ่ายรูปกัน เราก็ไปกันเป็น 10 คนเลย เด็ก ๆ ก็ดูมีความสุขที่มีพวกเราไปเล่นด้วย ก็ประทับใจมาตั้งแต่นั้นว่าทำอะไรเกี่ยวกับเด็ก มันเป็นความสุข มันรู้สึกอิ่มเอมใจ หลังจากจบศิริราช พอไปใช้ทุนที่ รพ.จันทรุเบกษา อาจารย์ที่ศิริราชเห็นเราเรียนดีจบเป็นอันดับ 3 ของรุ่น และอยากเป็นกุมารแพทย์อยู่ด้วย ก็เลยชวนมาเรียนกุมารแพทย์ที่ศิริราช แต่ตอนนั้นอยากไปเรียนเมืองนอกมาก และพี่ชาย 2 คน ก็ได้ทุนเรียนต่อปริญญาโท ปริญญาเอกและอยู่เมืองนอกทั้งคู่ จึงเรียนที่ศิริราชได้ปีเดียว แต่เป็นปีที่ได้ฝึกพื้นฐานรวมถึงหัตถการต่าง ๆ ที่สำคัญ หลังจากนั้นไปเรียนแพทย์ประจำบ้านสาขากุมารฯ ที่ University of Illinois ที่ Chicago ซึ่งรู้สึกว่าไม่ยากเพราะเราเรียนที่เมืองไทยไปบ้างแล้ว ตอนเรียนก็ต้องผ่านทุกวอร์ด แต่มาประทับใจที่สาขาต่อมไร้ท่อ ตอนที่ได้เรียนกับอาจารย์ Prof. Ying T Chang อาจารย์มีความละเอียด รอบคอบ เอาใจใส่กับคนไข้ วิชามีเนื้อหาที่สนุก และตอนเรียนที่ศิริราชก็มีความประทับใจท่านอาจารย์ พญ. ชนิกา ตู้จินดา ซึ่งท่านเป็นกุมารแพทย์ต่อมไร้ท่ออยู่แล้ว จึงตัดสินใจเรียนต่อทางด้านต่อมไร้ท่อเด็ก ที่ Cincinnati Children’s Hospital Medical Center และกลับมาเป็นอาจารย์ที่ศิริราช

“สิ่งที่ภูมิใจก็คือ
การได้มีโอกาสทํางาน
กับอาจารย์ที่เก่ง
มีคุณความดี
เสียสละ มีจิตใจ
ที่
อยากจะช่วยคนไข้สูงมาก”


สิ่งที่รู้สึกภูมิใจในช่วงเวลาที่ผ่านมา

ในช่วงแรกของการทำงาน คงเป็นเรื่องการมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมเพื่อผู้ป่วยเบาหวาน โดยเฉพาะงานค่ายเบาหวาน เป็นคนชอบทำกิจกรรม ชอบทำอะไรที่ไม่เป็นรูปแบบตายตัว ตอนเริ่มทำงานใหม่ ๆ มีความสนุกกับการ create กิจกรรมต่าง ๆ พอได้รับมอบหมายจากท่านอาจารย์ พญ. สุภาวดี ลิขิตมาศกุล ก็รู้สึกสนุกและภูมิใจที่ได้มีส่วนทำให้เด็กเบาหวานและครอบครัวมีความสุข

เรื่องที่สอง การได้มีส่วนร่วมในการทํางาน T1DDAR CN หรือเครือข่ายบริบาลรักษาเบาหวานชนิดที่ 1 และเบาหวานวินิจฉัยก่อนอายุ 30 ปี ประเทศไทย การได้มีโอกาสทํางานกับอาจารย์ที่มีความสามารถ มีความเสียสละ มีจิตใจที่อยากจะช่วยคนไข้สูงมาก ตัวอย่างเช่น อาจารย์ พญ. วรรณี  นิธิยานันท์ อาจารย์ พญ. สุภาวดี ลิขิตมาศกุล อาจารย์ นพ. เพชร รอดอารีย์, อาจารย์ นพ. ชัยชาญ ดีโรจนวงศ์ และอาจารย์รุ่นน้องๆ อาจารย์ พญ. ทิพาพร ธาระวานิช อาจารย์ พญ. ประไพ เดชคำรณ อาจารย์ พญ. พรทิพา อิงคกุล เป็นบรรยากาศการทำงานที่สนุกได้ประสบการณ์ ได้แรงบันดาลใจในการทำงานและการทำวิจัย และช่วยให้การดูแลรักษาผู้ป่วยเบาหวานดีขึ้น

เรื่องที่สาม การได้ทำงานกับ Asia Pacific Paediatric Endocrine Society (APPES) โดยสมาคมฯ นี้ท่านอาจารย์ พญ. ชนิกา ตู้จินดา เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้ง และต้องขอบพระคุณท่านอาจารย์ นพ. สุทธิพงษ์ วัชรสินธุ อาจารย์เป็นอดีตนายกสมาคม APPES อาจารย์กรุณาชวนไปทํางานเป็นกรรมการ APPES มา 8 ปีแล้ว และได้มีโอกาสช่วยงานทางด้านการศึกษา ได้มีโอกาสสอน แลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์กับอาจารย์แพทย์ในเอเชียแปซิฟิก ก็เลยค้นพบว่านี่คือ passion ใหม่ของตัวเอง การได้แลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์กับอาจารย์แพทย์จากประเทศอื่น ๆ ทำให้เห็นว่าแต่ละประเทศ มีการสอน fellow มีการบริหารจัดการการรักษาพยาบาลอย่างไร เป็นการช่วยพัฒนาการทำงานของเรา และมีข้อดีกับการที่ลูกศิษย์เราจะไปเรียนต่อ หรือว่าจะไป elective ต่างประเทศ ช่วยพัฒนาลูกศิษย์เราด้วย

เรื่องสุดท้าย การได้รับรางวัลงานวิจัยคลินิกดีเด่นของศิริราช 2 ครั้งในชีวิต ต้องบอกก่อนว่าตนเองไม่เก่งทางด้านงานวิจัย อาจารย์แพทย์มีภาระงาน 3 ด้าน งานดูแลคนไข้ งานสอน และงานวิจัย ตัวเองไม่ชอบทำงานวิจัย แต่ชอบการดูแลรักษาคนไข้ และการเรียนการสอน งานวิจัยจึงเป็นงานที่รู้สึกว่าเป็นภาระที่ต้องทำ ซึ่งยอมรับว่าไม่เป็นตัวอย่างที่ดีของอาจารย์แพทย์ โดยงานวิจัยแรกที่ได้รับรางวัลเกี่ยวกับภาวะอ้วน มีแรงบันดาลใจมาจากคนไข้คนหนึ่งอายุแค่ 9 – 10 ขวบ มีภาวะอ้วนมากและมารักษากับเราเมื่อ 10 กว่าปีก่อน เราก็รักษาได้สักพักแล้วคนไข้ก็หายไป มีอยู่วันหนึ่งคุณแม่เขาโทรมาบอกว่า ลูกเขาเสียแล้วและมาเข้าฝันถามว่า บอกอาจารย์จีรันดาหรือยังว่าหนูเสียแล้ว คุณแม่ก็บอกนึกว่าฝันไปเอง แต่ฝัน 2 – 3 รอบ ก็เลยตัดสินใจโทรบอกอาจารย์ โดยเด็กมีอาการอ้วนมากจนมีภาวะทางเดินหายใจอุดกั้นและเสียชีวิต เรื่องนี้ทำให้เสียใจมาก และเป็นแรงบันดาลใจ ทำให้ตนเองตั้งใจดูแลเด็กอ้วนจริงจังมากขึ้น ก็ขอทุนจากคณะฯ มาทำโครงการวิจัย โดยทำ intervention ให้เด็กอ้วน 126 คน ทำกิจกรรมกลุ่มเป็นระยะเวลา 1 ปี ซึ่งหลังจาก intervention คนไข้ส่วนใหญ่ภาวะอ้วนลดลง ความชุกของภาวะก่อนเบาหวาน ตับอักเสบ ไขมันผิดปกติ ลดลง ผู้ปกครองและคนไข้รู้สึกว่าเขาได้ประโยชน์มาก ส่วนอีกรางวัลที่ได้รับเป็นผลงานงานวิจัยของ T1DDAR CN เกี่ยวกับผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 เป็นความร่วมมือจากโรงพยาบาล 31 แห่งทั่วประเทศ ทำให้เห็นภาพรวมของผลการรักษาผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 ในระดับประเทศ


ปัจจัยที่นำไปสู่ความสำเร็จ

ปัจจัย 2 ข้อแรก เป็นปัจจัยในตัวเอง ปัจจัยแรก คิดว่าตนเองมีความอดทน ขยันหมั่นเพียรและมีความรับผิดชอบสูง คือสมัยก่อนมีโอกาสให้เราทำงานอะไร เราก็จะทำไม่ปฏิเสธ และก็จะรับผิดชอบงานนั้น ๆ จนเสร็จ ปัจจัยที่สอง การเป็นคนมองโลกในแง่ดี และพร้อมที่จะลุกขึ้นสู้เมื่อเจอปัญหา ส่วนข้อสุดท้ายเป็นปัจจัยภายนอก แต่มีผลต่อความสำเร็จของตัวเองอย่างมากคือ การได้รับโอกาสและความเมตตาจากอาจารย์หลาย ๆ ท่าน อาจเป็นเพราะเรารู้สึกเคารพและศรัทธาในตัวอาจารย์ เรารู้สึกว่าอาจารย์แต่ละท่านเป็นแบบอย่างให้เรา ถ้าอาจารย์ให้ช่วยอะไร เราก็พยายามทำเต็มที่ อีกด้านอาจารย์ทุกท่านก็กรุณาคอยชี้แนะให้การสนับสนุนในเรื่องต่าง ๆ ที่เราทำ รวมทั้งโชคดีที่มีกัลยณมิตรที่คอยเป็นกำลังใจช่วยเหลือในด้านต่างๆ ตลอด 20 กว่าปีของชีวิตการทำงาน


ปัญหาและอุปสรรคในช่วงที่ผ่านมา และวิธีการแก้ไข

อย่างที่เคยเกริ่นก่อนหน้า ตัวเองไม่ชอบการเขียนงานวิจัย ไม่ได้เป็น passion แต่ในฐานะอาจารย์แพทย์แล้ว ต้องทำงานวิจัย ซึ่งหลังจากผ่านมาสิบกว่าปี ก็มีงานวิจัยพอสมควรถึงเวลาขอตำแหน่งทางวิชาการ ต้องมีหนังสือด้วย ซึ่งต้องบอกว่า การเขียนหนังสือสำหรับตัวเองยากกว่าการเขียนงานวิจัยมาก เป็นคนที่ใช้ภาษาไทยไม่สละสลวยเลย ในที่สุดได้จับมือกับอาจารย์ พญ. ระวีวรรณ เลิศวัฒนารักษ์ อายุรศาสตร์ ต่อมไร้ท่อ ร่วมกันเขียนหนังสือเบาหวานในเด็กวัยรุ่นและผู้ใหญ่ตอนต้น ซึ่งเป็นหนังสือเบาหวานที่ครอบคลุมผู้ป่วยเด็กจนถึงผู้ป่วยวัย 30 – 40 ปี เล่มแรกของประเทศไทย โดยมีท่านอาจารย์ นพ. สุทิน ศรีอัสดาพร อดีตหัวหน้าสาขาอายุรศาสตร์ ต่อมไร้ท่อ ศิริราช กรุณาเป็นบรรณาธิการให้ ใช้เวลาเขียนและปรับแก้อยู่ปีกว่าจึงสำเร็จการเขียนหนังสือต้องใช้พลังเยอะมาก ต้องมีความละเอียดถี่ถ้วน ต้องเรียนว่า การมีกัลยาณมิตรคือ อาจารย์ พญ. ระวีวรรณ และท่านอาจารย์สุทินที่กรุณาช่วยเหลือ จึงทำให้สิ่งที่ยากสำเร็จได้ในที่สุด

 

“การช่วยจัดงานประชุมนานาชาติ
การได้สอน แลกเปลี่ยนมุมมอง
กับแพทย์ต่างประเทศ

เป็น passion ของตัวเอง
รู้สึกมีความสุขและเห็นคุณค่า
หลาย ๆ เรื่องของการได้ทำสิ่งเหล่านี้”


ถ้าสามารถแก้ไขปรับปรุงเรื่องก่อนหน้าได้ อยากกลับไปทำในเรื่องใด

เล่าเผื่อเป็นแนวทางให้กับแพทย์รุ่นน้อง ๆ ในการวางแผนชีวิตนะคะ ถ้าตนเองย้อนเวลากลับไปได้ อยากเรียงลำดับความสำคัญของงานในอาชีพแพทย์ให้ดีกว่านี้ ค้นหา passion ของตนเองให้พบ (เร็วขึ้น) คิดว่าจะปรับการทำงานประจำให้ดีขึ้นได้ ตัวเองชอบการตรวจคนไข้กับสอนลูกศิษย์ ต่อมาคือ พบว่าชอบการทํางานที่เป็นระดับนานาชาติ เช่น การช่วยจัดงานประชุมนานาชาติ การสอน fellows school การแชร์มุมมองกับแพทย์ต่างประเทศ ก็เป็น passion ของตัวเอง รู้สึกมีความสุขและเห็นคุณค่าหลาย ๆ เรื่องของการได้ทำสิ่งเหล่านี้

ถ้าเป็นเรื่องอะไรที่คิดรอบคอบแล้วว่าอยากจะทำ ทำแล้วมีความสุขให้ทำไปเลยไม่ต้องรอ พออายุมากขึ้นเรื่องที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้น ทั้งเรื่องงาน เรื่องส่วนตัว เรื่องครอบครัว จะทำให้สิ่งที่เราจะอยากทำมันยากลำบากขึ้น อย่างตัวเองตอนนี้ก็ยอมรับว่างานบางเรื่องดร็อบลงไป เพราะต้องดูแลคุณพ่อประทิน อายุ 91 ปี คุณแม่กุณฑลา อายุ 88 ปี โดยเฉพาะคุณแม่ต้องคอยดูแลตลอด เพราะเกิด emergency ได้ตลอดเวลา ลูกชายกำลังเข้าสู่วัย preteen ก็ยิ่งต้องดูแลใกล้ชิด และลูกก็มีกิจกรรมหลายอย่างมาก

ดังนั้นตอนนี้จะไม่ค่อยได้ทำงานที่บ้านช่วงเย็น หรือ เสาร์อาทิตย์เพราะเป็นเวลาของครอบครัว งานบางอย่างก็อาจจะไม่เสร็จตามเวลา ก็พยายามลดความเป็น perfectionist เพื่อให้งานเสร็จตามกำหนด


ใครคือบุคคลที่เป็นตัวอย่างในการดำเนินชีวิตหรือการทำงาน

ท่านแรกคือ ท่านอาจารย์ พญ. ชนิกา ตู้จินดา อาจารย์เป็นต้นแบบทางด้านความอ่อนโยนการมีเมตตา มีความปรารถนาดีกับลูกศิษย์สูง

ท่านที่สองคือ อาจารย์ พญ. วรรณี นิธิยานันท์ อาจารย์เป็นคนเก่ง เป็นต้นแบบของผู้ที่มีไฟในการทำงาน อาจารย์ต้องการยกระดับการดูแลคนไข้เบาหวานทั่วประเทศ เป็นกำลังสำคัญของ T1DDAR CN

ท่านที่สามคือ อาจารย์ พญ. สุภาวดี ลิขิตมาศกุล อาจารย์เป็นอดีตหัวหน้าสาขาต่อมไร่ท่อเด็ก อาจารย์คอยให้คําแนะนําตนเองมาตั้งแต่เริ่มต้นทำงาน อาจารย์ให้โอกาสแสดงความสามารถ และโอกาสในการทำงานวิจัยที่มีคุณค่า เป็นหัวหน้าที่คอยสนับสนุนอาจารย์รุ่นน้อง ๆ มาตลอด ปัจจุบันอาจารย์เป็นหัวหน้าทีม T1DDAR CN พยายามผลักดันนโยบายต่าง ๆ ที่เกิดประโยชน์กับคนไข้เบาหวาน

สุดท้ายคืออาจารย์ พญ. กุลกัญญา โชคไพบูลย์กิจ ได้มีโอกาสทำงานวิจัยกับอาจารย์ อาจารย์เป็น อาจารย์แพทย์ที่เก่งรอบด้านทั้งการดูแลคนไข้ การสอน และเรื่องของการทำวิจัย อาจารย์ยังกรุณาให้ข้อคิดเรื่องของการใช้ชีวิต โดยเฉพาะเรื่องการมีธรรมะในใจ

 

“ส่วนตัวอาจต้อง back to basics
ให้ความสำคัญกับการตรวจคนไข้
การซักประวัติโดย
ละเอียด
ซึ่งเป็นพื้นฐานที่จะทําให้
แพทย์ไม่พลาด และจะเป็น
ทักษะที่ติดตัวแพทย์ไป
ตลอด”


มองการแพทย์เมืองไทยปัจจุบัน และอนาคตจะเป็นอย่างไร

การแพทย์และสาธารณสุขบ้านเราได้พัฒนาไปมาก และไม่ด้อยกว่าหลายประเทศ แน่นอนว่าอาจมีบางเรื่องที่ยังต้องพัฒนา ส่วนตัวขอพูดถึงการเรียนการสอนและการทำงานของแพทย์ ในแง่ของการเรียนการสอน อาจารย์แพทย์มีความรู้และประสบการณ์สูง มีการสอนที่ได้มาตรฐาน ผู้ป่วยหลากหลายทุกโรค ทำให้แพทย์มีประสบการณ์ และมีความสามารถในการดูแลคนไข้ แต่ตนเองมีความกังวลต่อการทำงานของแพทย์ในปัจจุบันและอาจส่งผลถึงอนาคตอยู่บางเรื่อง

เรื่องแรก การดูแลรักษาปัจจุบัน บางทีส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการมากเกินความจำเป็น เป็นการสิ้นเปลืองเกินไป ส่วนตัวคิดว่าต้อง back to basic ให้ความสำคัญกับการตรวจคนไข้ การซักประวัติโดยละเอียด ซึ่งเป็นพื้นฐานที่จะทําให้แพทย์ไม่พลาด และจะเป็นทักษะที่ติดตัวแพทย์ไปตลอด อีกเรื่อง ความรู้ทางการแพทย์เปลี่ยนแปลงเร็วมาก แพทย์ควรต้องติดตามความรู้ใหม่ ๆ อยู่ตลอด และนำความรู้ต่าง ๆ ที่มีมาฝึกปฏิบัติให้เกิดความชำนาญ เกิดความมั่นใจในการดูแลรักษาคนไข้ด้วย


มีมุมมองต่อเด็กเกิดใหม่น้อยว่าอย่างไร

ยอมรับว่าเป็นเรื่องสำคัญ เพราะปัจจุบันเด็กไทยเกิดน้อยลง ปัญหาคือ ทัศนคติของคนรุ่นใหม่ มองว่าแต่งงานแล้ว อาจจะไม่จําเป็นที่จะต้องมีลูก เพราะหนุ่มสาวหลาย ๆ คู่ ก็ยังลำบากทางด้านเศรษฐานะหรือมีความต้องการใช้ชีวิตทำงาน ชีวิตส่วนตัวให้เต็มที่ก่อน รวมทั้งการเลี้ยงลูกในปัจจุบันมีค่าใช้จ่ายที่แพง และการเลี้ยงลูกในยุค digital world ยากกว่าสมัยก่อนมาก

ในส่วนของกุมารแพทย์ก็ได้มีการปรับการดูแลคนไข้เด็ก ใน 2 ด้าน คือ การขยายช่วงอายุ สมัยก่อนเราดูแลคนไข้ถึงอายุ 15 ปี ปัจจุบันโรงเรียนแพทย์อย่างที่ศิริราช จะรับดูแลคนไข้ใหม่ตั้งแต่เกิดถึงอายุ 18 ปี และถ้าเป็นคนไข้เก่า จะดูแลจนถึงอายุ 21 ปี อย่างคนไข้เบาหวานของตัวเอง บางคนอายุ 30 ปีแล้วก็ยังมาหาอยู่  อีกด้านก็เป็นการมุ่งเน้นไปที่การให้ความรู้บิดามารดาและเด็ก ทำให้เด็กเติบโตมาแบบมีคุณภาพ นอกเหนือจากการดูแลทางด้านสุขภาพอย่างเดียว

“พิจารณาให้มีระบบคนไข้ร่วมจ่าย
หรือ
Co-payment เสริม,
อยากให้กองทุนด้าน
สวัสดิการสุขภาพทั้ง 3 กองทุน
มีความเท่าเทียมกัน,
อยากให้เปิดเพิ่มตำแหน่ง
แพทย์เฉพาะทาง
ตามโรงพยาบาลขนาดใหญ่ “

 


ถ้าเลือกปรับปรุง เพื่อให้การแพทย์ไทยในอนาคตดีขึ้น อยากปรับปรุงเรื่องใด

เรื่องแรก เพื่อให้ระบบสิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้ามีความมั่นคง และเพื่อให้คนไข้มีโอกาสใช้ยานอกบัญชียาหลักได้คงต้องพิจารณาให้มีระบบคนไข้ร่วมจ่าย หรือ Co-payment เสริม ตามความเหมาะสมของคนไข้แต่ละราย

เรื่องที่สอง อยากให้กองทุนด้านสวัสดิการสุขภาพทั้ง 3 กองทุนมีความเท่าเทียมกัน ตอนนี้มีความเหลื่อมล้ำกันในหลาย ๆ เรื่อง โดยเฉพาะชุดสิทธิประโยชน์ เข้าใจว่าแพทย์แต่ละสาขาจะเจอปัญหาคล้าย ๆ กัน อย่างของเบาหวานก็จะเจอปัญหา เช่น อุปกรณ์และแผ่นตรวจระดับกลูโคสไม่ได้เหมือนกันทุกสิทธิ แต่ขณะนี้ กําลังอยู่ระหว่างดำเนินการให้ทุกสิทธิการรักษาได้รับประโยชน์เท่าเทียมกันอยู่

เรื่องที่สาม อยากให้เปิดเพิ่มตำแหน่งแพทย์เฉพาะทางตามโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ทั้งนี้ในปัจจุบัน รพ.ศูนย์ฯ บางแห่ง ยังขาดแพทย์เฉพาะทาง อยากให้มีตําแหน่งเพิ่ม อย่างกุมารแพทย์ต่อมไร้ท่อเด็กไม่ได้มีทุกโรงพยาบาลศูนย์ คนไข้หลายคนยังต้องเดินทางจากต่างจังหวัดนั่งรถไฟมา 7 – 8 ชั่วโมง ต้องเหมารถ 3,000 – 5,000 บาท เพื่อมาศิริราช อยากให้สํารวจความต้องการแพทย์เฉพาะทางตามรพ.ศูนย์ต่าง ๆ เพื่อจะได้ลดความลําบากของคนไข้ที่จะต้องเดินทางเข้ามากรุงเทพฯ

สุดท้าย น่าจะยากสุด แต่ต้องการการแก้ปัญหาคือเรื่อง work load ของแพทย์ที่อยู่ในระบบสาธารณสุข รวมทั้งในโรงเรียนแพทย์หลายแห่ง เพื่อให้แพทย์มีความสุขกับการทำงาน สามารถอยู่ในระบบได้นานๆ ไม่ลาออกก่อนวัยเกษียณ


ฝากข้อแนะนําสำหรับแพทย์รุ่นใหม่

อยากให้แพทย์รุ่นใหม่ ๆ หา passion หรือสิ่งที่ทำแล้วมีความสุขให้เจอ กำหนดเป็นเป้าหมายแล้วค่อย ๆ ทําไป ไม่ต้องกดดันกับตัวเองมาก ถ้ายังไม่สําเร็จตามเป้าหมาย ก็ถอยกลับมาดู ลองมองในแง่บวก แล้วก็เดินหน้าใหม่ เข้าใจว่าการเป็นแพทย์ เหนื่อย และกดดัน บางทีต้องทำงานดึกดื่น มีความเสี่ยงถูกฟ้อง แต่ว่ายังมีเรื่องในแง่บวกสำหรับชีวิตแพทย์อีกมากเช่นกัน

อีกเรื่องที่สำคัญคือ ขอให้อย่าละทิ้งคุณค่าของการเป็นแพทย์คือ การดูแลรักษาผู้ป่วยอย่างเต็มความสามารถ หากยึดคุณค่านี้ แพทย์จะรู้ตนเองว่า ต้องฝึกปฏิบัติให้ชำนาญ ต้องติดตามการรักษาใหม่ ๆ ต้องสื่อสารกับผู้ป่วยให้ครบถ้วน และเมื่อทำสำเร็จแล้วนอกจากจะได้รับผลตอบแทน ยังได้ความสุขใจ อิ่มใจจากการที่ได้ช่วยผู้ป่วยให้หายดี ซึ่งอาจจะหาได้ยากในอาชีพอื่น


ถ้าตนเองย้อนเวลากลับไปได้ อยากเรียงลำดับความสำคัญของงานในอาชีพแพทย์ให้ดีกว่านี้

อีกเรื่องไม่ว่าแพทย์แต่ละคนจะเข้ามาอยู่ในอาชีพนี้เพราะอะไร หรือไปทำงานอยู่ตรงจุดไหน ขอให้อย่าละทิ้งคุณค่าของการทำอาชีพแพทย์คือ การดูแลรักษาผู้ป่วยอย่างเต็มความสามารถ หากยึดคุณค่านี้ จะรู้ว่าตนเองควรต้องทำอะไร เช่น ต้องฝึกปฏิบัติให้ชำนาญ ต้องติดตามการรักษาใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง ต้องสื่อสารกับคนไข้ให้ครบถ้วน เป็นต้น และเมื่อทำสำเร็จ รักษาคนไข้หายดี นอกจากจะได้ผลตอบแทน ยังได้ความสุขใจ ความอิ่มใจ จากการที่ได้ช่วยผู้ป่วยให้หายดี ซึ่งหาได้ยากในอาชีพอื่น

สำหรับตนเอง เรียนแพทย์เพราะคุณแม่อยากให้เรียน ซึ่งตอนเรียนปี 2 – 3 ไม่มีความสุขเลย แต่หลังจากได้เจอคนไข้ก็รู้สึกชอบ รู้สึกว่าแพทย์เป็นอาชีพที่ดี ตัวเองได้ทําสิ่งที่ดี มีประโยชน์ตลอดเวลา ทุกวันนี้ยังมีคุณพ่อคุณแม่ของคนไข้กลับมาหา มาเล่าว่าเขามีความสุขกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับลูกหลังจากได้รับการรักษา ทำให้รู้สึกเหมือนกับเราได้รางวัลในการทำงานอยู่ตลอด นอกจากนี้การทำงานที่ศิริราช แวดล้อมด้วยคนที่มีมุมมอง มีทัศนะคติในการดูแลคนไข้คล้าย ๆ กัน จึงรู้สึกว่า ตนเองโชคดีมากและคิดถูกแล้วที่ตัดสินใจเป็นแพทย์

 

แนะนำอ่านเพิ่มเติม
  1. Let’s get updated สาขาต่อมไร้ท่อ 
  2. Expert interview อาจารย์ พญ. ชนิกา ตู้จินดา
  3. Expert interview อาจารย์ พญ. สุภาวดี ลิขิตมาศกุล
  4. Expert interview อาจารย์ นพ. สุทธิพงศ์ วัชรสินธุ

 

 

PDPA Icon

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

บันทึก