CIMjournal

เรื่องที่แพทย์สาขาโรคติดเชื้อ …ควรติดตาม เดือน ก.ย. – ธ.ค. 2568

.
นพ.รุจิภาส สิริจตุภัทร

รศ. นพ. รุจิภาส สิริจตุภัทร
สาขาวิชาโรคติดเชื้อและอายุรศาสตร์เขตร้อน ภาควิชาอายุรศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

 

ข้อมูลด้านโรคติดเชื้อที่น่าสนใจ ได้แก่

1. คำแนะนำในการใช้ยา lenacapavir สำหรับการป้องกันการติดเชื้อ HIV

เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2568 องค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ (U.S. Food and Drug Administration หรือ FDA) ได้อนุมัติยา lenacapavir ซึ่งเป็นยาในกลุ่ม HIV-1 capsid inhibitor ชนิดแรก สำหรับใช้ในการป้องกันก่อนการสัมผัส (preexposure prophylaxis หรือ PrEP) การอนุมัตินี้อ้างอิงจากผลการทดลองที่แสดงให้เห็นว่าการฉีด lenacapavir ทุก 6 เดือนช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ HIV ได้อย่างมากในกลุ่มประชากรที่หลากหลาย

ขณะนี้ คณะกรรมการ International Antiviral Society – USA (IAS – USA) ได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการใช้ยา lenacapavir สำหรับ PrEP ดังนี้

คำแนะนำหลัก
  • Lenacapavir ได้รับการแนะนำให้ใช้สำหรับทุกคนที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อ HIV จากการมีเพศสัมพันธ์
  • การให้ยา lenacapavir ทำโดยการฉีดใต้ผิวหนัง (subcutaneous injection) จำนวน 2 ครั้ง ทุก 6 เดือน โดยในวันที่เริ่มยา ผู้ป่วยควรได้รับยาแบบเม็ด (oral tablets) 2 เม็ดทันที และอีก 2 เม็ดในวันถัดไป
  • ควรตรวจ HIV antigen/antibody testing ภายใน 7 วันก่อนเริ่มใช้ยา lenacapavir สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงในการสัมผัสเชื้อเมื่อเร็ว ๆ นี้ แนะนำให้ตรวจ HIV viral load testing เพิ่มเติมด้วย
  • แนะนำให้ตรวจหาการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ (sexually transmitted infections) ในช่วงเริ่มต้นการรักษา และควรตรวจ HIV antigen/antibody testing อย่างน้อย ทุก 6 เดือน หลังจากนั้น เช่นเดียวกับ PrEP แบบเม็ด (oral PrEP)
  • หากการฉีดยาครั้งต่อไปล่าช้าหรือเร็วขึ้นภายใน 14 วัน ไม่จำเป็นต้องใช้ยาแบบเม็ดเพิ่มเติม
  • อาการปุ่มนูน (nodules) บริเวณที่ฉีดพบบ่อยและสามารถคงอยู่ได้นานกว่า 1 ปี แต่ไม่ค่อยเป็นสาเหตุให้ต้องหยุดยา
  • Lenacapavir ได้รับการแนะนำให้ใช้ใน สตรีมีครรภ์
  • ควรระวังปฏิกิริยาระหว่างยา (drug – drug interactions) โดยเฉพาะกับยาในกลุ่ม CYP 3A4 inhibitors และ inducers ซึ่งยาในกลุ่มหลังอาจต้องมีการให้ยา lenacapavir เสริม

นอกจากนี้ คณะกรรมการ IAS – USA ยังแนะนำให้ใช้ยา tenofovir alafenamide (TAF)/emtricitabine สำหรับ HIV PrEP ในผู้หญิง cisgender (ผู้หญิงที่มีเพศสภาพตรงกับเพศกำเนิด) ด้วย

ที่มา Landovitz RJ, et al. Preexposure Prophylaxis for HIV: Updated Recommendations From the 2024 International Antiviral Society-USA Panel. JAMA. 2025 Aug 19;334(7):638-639. doi: 10.1001/jama.2025.11410.


2. ผลกระทบของการใช้ยา PrEP ต่ออัตราการติดเชื้อ HIV จากข้อมูลระดับรัฐในสหรัฐอเมริกา

การวิเคราะห์ข้อมูลระดับรัฐในสหรัฐอเมริกา ชี้ให้เห็นว่าการใช้ยา PrEP ที่เพิ่มขึ้นมีความสัมพันธ์โดยตรงกับการลดลงของอัตราการติดเชื้อ HIV รายใหม่อย่างชัดเจน โดยทีมนักวิจัยได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลตั้งแต่ปี ค.ศ. 2012 ถึง 2022 เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างอัตราการใช้ PrEP กับจำนวนผู้ติดเชื้อ HIV รายใหม่ในแต่ละรัฐ

ผลการศึกษาที่สำคัญ
  • แนวโน้มการเปลี่ยนแปลง: ตลอดระยะเวลา 10 ปี อัตราการใช้ PrEP โดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากน้อยกว่า 1% เป็น 26% ในขณะที่อัตราการวินิจฉัย HIV รายใหม่ลดลงจาก 13.0 เหลือ 10.6 รายต่อประชากร 100,000 คน
  • ความแตกต่างในแต่ละรัฐ: รัฐที่มีอัตราการใช้ PrEP สูง เช่น New York State มีจำนวนผู้ติดเชื้อ HIV รายใหม่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ในทางกลับกัน รัฐทางตอนใต้หลายแห่งซึ่งส่วนใหญ่ยังไม่ได้ขยายการครอบคลุมของโครงการ Medicaid พบว่ามีอัตราการใช้ PrEP ต่ำ และยังคงมีอัตราการติดเชื้อรายใหม่ที่สูงอย่างต่อเนื่อง

ผลการศึกษานี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเข้าถึงยา PrEP ในวงกว้างเพื่อเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของ HIV ในระดับประชากร

ที่มา Sullivan PS, et al. Association of state-level PrEP coverage and new HIV diagnoses in the USA from 2012 to 2022: an ecological analysis of the population impact of PrEP. Lancet HIV. 2025 Jun;12(6):e440-e448. doi: 10.1016/S2352-3018(25)00036-0.


3. การให้ยา linezolid ในขนาดที่เหมาะสมสำหรับรักษาวัณโรคดื้อยา

การศึกษาแบบ meta-analysis ล่าสุดที่รวบรวมข้อมูลจากผู้ป่วยแต่ละราย (individual patient data) ชี้ให้เห็นว่าการใช้ยา linezolid ในรูปแบบ 2 ขั้นตอน (two-stage approach) ให้ผลการรักษาสำเร็จสูงสุดและมีผลข้างเคียงน้อย

Linezolid เป็นยาสำคัญในสูตรการรักษาวัณโรคแบบ all-oral treatment regimens สำหรับวัณโรคดื้อยาไรแฟมปิซิน (rifampin-resistant TB หรือ RR-TB) และวัณโรคดื้อยาหลายขนาน (multidrug-resistant TB หรือ MDR-TB) ร่วมกับยาอื่น ๆ เช่น bedaquiline, pretomanid, delamanid, fluoroquinolones, หรือ clofazimine อย่างไรก็ตาม linezolid มักมีผลข้างเคียงที่สำคัญ เช่น ปลายประสาทอักเสบ (neuropathy) และการกดไขกระดูก (myelosuppression) โดยเฉพาะเมื่อใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานเพื่อรักษาวัณโรค

เพื่อเปรียบเทียบขนาดยา Linezolid ที่เหมาะสมที่สุด ทีมนักวิจัยได้รวบรวมข้อมูลจาก 8 การศึกษา ซึ่งประกอบด้วยการทดลองแบบสุ่มและมีกลุ่มควบคุม (randomized controlled trials) 4 การศึกษา และการศึกษาเชิงสังเกตการณ์ (prospective studies) 4 การศึกษา โดยมีผู้ป่วยทั้งหมด 945 ราย และแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มตามรูปแบบการให้ยาที่แตกต่างกัน:
  • กลุ่มที่ 1: ได้รับยา 600 mg เป็นเวลา 8 สัปดาห์
  • กลุ่มที่ 2: ได้รับยา 600 mg เป็นเวลา 16 สัปดาห์ จากนั้นลดเหลือ 300 mg เป็นเวลา 8 สัปดาห์
  • กลุ่มที่ 3: ได้รับยา 600 mg เป็นเวลา 39 สัปดาห์
  • กลุ่มที่ 4: ได้รับยา 1200 mg เป็นเวลา 25 สัปดาห์

ผลการวิเคราะห์พบว่าอัตราความสำเร็จในการรักษาแตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยกลุ่มที่ 1, 2, 3 และ 4 มีอัตราความสำเร็จอยู่ที่ 59.1%, 90.4%, 91.3% และ 96.0% ตามลำดับ

เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ 2 ซึ่งเป็นเกณฑ์อ้างอิง กลุ่มที่ 1 และ 3 มีอัตราความสำเร็จต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญ (adjusted sub-distribution hazard ratio (aSHR), 0.24 และ 0.36 ตามลำดับ) ในขณะที่กลุ่มที่ 4 แม้จะมีอัตราความสำเร็จไม่ต่างจากกลุ่มที่ 2 อย่างมีนัยสำคัญ แต่กลับมีอัตราการเกิดผลข้างเคียงรุนแรง (≥grade 3) สูงกว่าอย่างชัดเจน (aSHR, 2.29)

การให้ยา linezolid ในขนาด 600 mg ต่อวัน เป็นเวลา 16 สัปดาห์ และลดขนาดยาเหลือ 300 mg เป็นเวลา 8 สัปดาห์ เป็นรูปแบบการรักษาที่เหมาะสมที่สุด เมื่อพิจารณาทั้งในด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการรักษาวัณโรคดื้อยาหลายขนานและวัณโรคดื้อยาไรแฟมปิซิน (MDR/RR-TB)

ที่มา Kwak N, et al. Optimal dosing and duration of linezolid for the treatment of multidrug-resistant and rifampicin-resistant tuberculosis: An individual patient data meta-analysis. Eur Respir J. 2025 Jul 17:2500315. doi: 10.1183/13993003.00315-2025.


4. แนวทางการดูแลรักษาโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะชนิดซับซ้อนฉบับปรับปรุงใหม่

สมาคมโรคติดเชื้อแห่งอเมริกา (Infectious Diseases Society of America หรือ IDSA) ได้ปรับปรุงแนวทางเวชปฏิบัติฉบับปี 2025 สำหรับการจัดการโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะชนิดซับซ้อน (complicated urinary tract infection, cUTI) โดยมีการกำหนดการจำแนกประเภทของโรคใหม่และให้คำแนะนำที่เป็นขั้นตอนสำหรับการเลือกยาปฏิชีวนะ การเปลี่ยนไปใช้ยากิน และการกำหนดระยะเวลาการรักษาที่สั้นลง

การจำแนกประเภทใหม่ของ UTI
  • Uncomplicated UTI: หมายถึงการติดเชื้อที่จำกัดอยู่เฉพาะในกระเพาะปัสสาวะของผู้หญิงหรือผู้ชายที่ไม่มีไข้
  • Complicated UTI: หมายถึงการติดเชื้อที่ลุกลามเกินกระเพาะปัสสาวะในผู้หญิงหรือผู้ชาย ซึ่งรวมถึงภาวะต่อไปนี้: โรคกรวยไตอักเสบ (pyelonephritis) การติดเชื้อที่มีไข้หรือมีภาวะแบคทีเรียในกระแสเลือด (febrile or bacteremic UTI) และ การติดเชื้อที่เกี่ยวข้องกับสายสวนปัสสาวะ (catheter-associated UTI หรือ CAUTI)

ทั้งนี้ แนวทางฉบับนี้ไม่ได้ครอบคลุมถึงโรคต่อมลูกหมากอักเสบจากแบคทีเรีย (bacterial prostatitis) โรคถุงอัณฑะอักเสบ (epididymitis), หรือโรคอัณฑะอักเสบ (orchitis)

แนวทางการเลือกยาปฏิชีวนะเบื้องต้นสำหรับ cUTI
แนะนำใช้แนวทางแบบ 4 ขั้นตอนเพื่อเลือกยาปฏิชีวนะเบื้องต้นสำหรับผู้ป่วย:
  1. ประเมินความรุนแรงของอาการป่วย: พิจารณาว่าผู้ป่วยมีภาวะ sepsis หรือไม่
  2. พิจารณาปัจจัยเสี่ยงของผู้ป่วยแต่ละรายต่อเชื้อดื้อยา: เพื่อเลือกยาที่ครอบคลุมเชื้ออย่างเหมาะสม
  3. ประเมินปัจจัยเฉพาะอื่น ๆ ของผู้ป่วย: เพื่อลดความเสี่ยงของผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ เช่น การแพ้ยา ข้อห้ามใช้ยา หรือปฏิกิริยาระหว่างยา
  4. พิจารณาข้อมูลความไวของเชื้อต่อยาปฏิชีวนะในพื้นที่ (local antibiogram): ขั้นตอนนี้ แนะนำในผู้ป่วยที่มีภาวะ sepsis

คำแนะนำในการเลือกยา:
สำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะ sepsis: ยาที่แนะนำในเบื้องต้น ได้แก่ cephalosporins รุ่นที่ 3 หรือ 4, carbapenems, piperacillin-tazobactam หรือ fluoroquinolones

สำหรับผู้ป่วยที่ไม่มีภาวะ sepsis แต่ต้องให้ยาทางหลอดเลือดดำ (IV): ยาที่แนะนำคือ cephalosporins รุ่นที่ 3 หรือ 4, piperacillin-tazobactam หรือ fluoroquinolones แต่ไม่แนะนำให้ใช้ carbapenems เพื่อควบคุมการใช้ยาอย่างสมเหตุสมผล (antibiotic stewardship)

สำหรับผู้ป่วยนอกที่เหมาะสมกับการรักษาแบบกิน: ยาที่แนะนำคือ fluoroquinolones หรือ trimethoprim-sulfamethoxazole

ข้อควรระวัง: ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยา fluoroquinolones หากผู้ป่วยเคยได้รับยาในกลุ่มนี้ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อการดื้อยา

การจัดการการรักษาและระยะเวลา:
การเปลี่ยนจากยาฉีดเป็นยากิน: ในผู้ป่วยที่เริ่มการรักษาด้วยยาฉีดทางหลอดเลือดดำ ควรเปลี่ยนไปใช้ยาที่สามารถรับประทานได้ทันทีที่อาการทางคลินิกดีขึ้นและผู้ป่วยสามารถรับยากินได้

ระยะเวลาการรักษาทั้งหมด:
สำหรับผู้ป่วย cUTI ที่อาการดีขึ้นทางคลินิก ควรได้รับการรักษาด้วยยาในกลุ่ม fluoroquinolone เป็นเวลา 5-7 วัน หรือยาที่ไม่ใช่กลุ่ม fluoroquinolone เป็นเวลา 7 วัน

สำหรับผู้ป่วย cUTI ที่มีภาวะแบคทีเรียแกรมลบในกระแสเลือดร่วมด้วยและอาการดีขึ้นทางคลินิก แนะนำให้รักษาด้วยยาเป็นเวลา 7 วัน แทนที่จะเป็น 14 วัน

ที่มา Trautner BW et al. Complicated urinary tract infections (cUTI): Clinical guidelines for treatment and management. IDSA. 2025 Jul 17. (https://www.idsociety.org/practice-guideline/complicated-urinary-tract-infections)

 

งานประชุมสาขาโรคติดเชื้อที่น่าสนใจ เดือนพฤษภาคม – สิงหาคม 2568

 

ICPIC 2025

International Conference on Prevention and Infection Control (ICPIC) 2025 | 16 – 19 September 2025, Geneva, Switzerland

 

EACS 2025

European AIDS Conference 2025 |  15 – 18 October 2025, Paris, France

 

IDWEEK 2025

IDWeek 2025 |  19 – 22 October 2025, Atlanta, Georgia, USA

 

WSPID 2025

World Congress of the World Society for Pediatric Infectious Diseases (WSPID) 2025 |  28 – 31 October 2025, Bangkok, Thailand

 

APCCMI 2025

Asia Pacific Congress of Clinical Microbiology and Infection (APCCMI) 2025 |  2 – 4 November 2025, Bangkok, Thailand

 

CROI 2026 Conference on Retroviruses and Opportunistic Infections (CROI) 2025 | 22 – 15 February 2026, Denver, Colorado, USA

 

ESCMID Global 2026

ESCMID Global 2026  | 17 – 21 April 2026, Munich, Germany

 

ASM Microbe 2026

ASM Microbe 2026  | 4 – 8 June 2026, Washington, DC, USA

 

ISAAR 2026

International Symposium on Antimicrobial Agents and Resistance (ISAAR) 2026  | 12 – 14 June 2026, Hong Kong

 

PDPA Icon

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

บันทึก