.

รศ. นพ. รุจิภาส สิริจตุภัทร
สาขาวิชาโรคติดเชื้อและอายุรศาสตร์เขตร้อน ภาควิชาอายุรศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
ข้อมูลด้านโรคติดเชื้อที่น่าสนใจ ได้แก่
1. คำแนะนำในการใช้ยา lenacapavir สำหรับการป้องกันการติดเชื้อ HIV
เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2568 องค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ (U.S. Food and Drug Administration หรือ FDA) ได้อนุมัติยา lenacapavir ซึ่งเป็นยาในกลุ่ม HIV-1 capsid inhibitor ชนิดแรก สำหรับใช้ในการป้องกันก่อนการสัมผัส (preexposure prophylaxis หรือ PrEP) การอนุมัตินี้อ้างอิงจากผลการทดลองที่แสดงให้เห็นว่าการฉีด lenacapavir ทุก 6 เดือนช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ HIV ได้อย่างมากในกลุ่มประชากรที่หลากหลาย
ขณะนี้ คณะกรรมการ International Antiviral Society – USA (IAS – USA) ได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการใช้ยา lenacapavir สำหรับ PrEP ดังนี้
- Lenacapavir ได้รับการแนะนำให้ใช้สำหรับทุกคนที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อ HIV จากการมีเพศสัมพันธ์
- การให้ยา lenacapavir ทำโดยการฉีดใต้ผิวหนัง (subcutaneous injection) จำนวน 2 ครั้ง ทุก 6 เดือน โดยในวันที่เริ่มยา ผู้ป่วยควรได้รับยาแบบเม็ด (oral tablets) 2 เม็ดทันที และอีก 2 เม็ดในวันถัดไป
- ควรตรวจ HIV antigen/antibody testing ภายใน 7 วันก่อนเริ่มใช้ยา lenacapavir สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงในการสัมผัสเชื้อเมื่อเร็ว ๆ นี้ แนะนำให้ตรวจ HIV viral load testing เพิ่มเติมด้วย
- แนะนำให้ตรวจหาการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ (sexually transmitted infections) ในช่วงเริ่มต้นการรักษา และควรตรวจ HIV antigen/antibody testing อย่างน้อย ทุก 6 เดือน หลังจากนั้น เช่นเดียวกับ PrEP แบบเม็ด (oral PrEP)
- หากการฉีดยาครั้งต่อไปล่าช้าหรือเร็วขึ้นภายใน 14 วัน ไม่จำเป็นต้องใช้ยาแบบเม็ดเพิ่มเติม
- อาการปุ่มนูน (nodules) บริเวณที่ฉีดพบบ่อยและสามารถคงอยู่ได้นานกว่า 1 ปี แต่ไม่ค่อยเป็นสาเหตุให้ต้องหยุดยา
- Lenacapavir ได้รับการแนะนำให้ใช้ใน สตรีมีครรภ์
- ควรระวังปฏิกิริยาระหว่างยา (drug – drug interactions) โดยเฉพาะกับยาในกลุ่ม CYP 3A4 inhibitors และ inducers ซึ่งยาในกลุ่มหลังอาจต้องมีการให้ยา lenacapavir เสริม
นอกจากนี้ คณะกรรมการ IAS – USA ยังแนะนำให้ใช้ยา tenofovir alafenamide (TAF)/emtricitabine สำหรับ HIV PrEP ในผู้หญิง cisgender (ผู้หญิงที่มีเพศสภาพตรงกับเพศกำเนิด) ด้วย
ที่มา Landovitz RJ, et al. Preexposure Prophylaxis for HIV: Updated Recommendations From the 2024 International Antiviral Society-USA Panel. JAMA. 2025 Aug 19;334(7):638-639. doi: 10.1001/jama.2025.11410.
2. ผลกระทบของการใช้ยา PrEP ต่ออัตราการติดเชื้อ HIV จากข้อมูลระดับรัฐในสหรัฐอเมริกา
การวิเคราะห์ข้อมูลระดับรัฐในสหรัฐอเมริกา ชี้ให้เห็นว่าการใช้ยา PrEP ที่เพิ่มขึ้นมีความสัมพันธ์โดยตรงกับการลดลงของอัตราการติดเชื้อ HIV รายใหม่อย่างชัดเจน โดยทีมนักวิจัยได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลตั้งแต่ปี ค.ศ. 2012 ถึง 2022 เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างอัตราการใช้ PrEP กับจำนวนผู้ติดเชื้อ HIV รายใหม่ในแต่ละรัฐ
- แนวโน้มการเปลี่ยนแปลง: ตลอดระยะเวลา 10 ปี อัตราการใช้ PrEP โดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากน้อยกว่า 1% เป็น 26% ในขณะที่อัตราการวินิจฉัย HIV รายใหม่ลดลงจาก 13.0 เหลือ 10.6 รายต่อประชากร 100,000 คน
- ความแตกต่างในแต่ละรัฐ: รัฐที่มีอัตราการใช้ PrEP สูง เช่น New York State มีจำนวนผู้ติดเชื้อ HIV รายใหม่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ในทางกลับกัน รัฐทางตอนใต้หลายแห่งซึ่งส่วนใหญ่ยังไม่ได้ขยายการครอบคลุมของโครงการ Medicaid พบว่ามีอัตราการใช้ PrEP ต่ำ และยังคงมีอัตราการติดเชื้อรายใหม่ที่สูงอย่างต่อเนื่อง
ผลการศึกษานี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเข้าถึงยา PrEP ในวงกว้างเพื่อเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของ HIV ในระดับประชากร
ที่มา Sullivan PS, et al. Association of state-level PrEP coverage and new HIV diagnoses in the USA from 2012 to 2022: an ecological analysis of the population impact of PrEP. Lancet HIV. 2025 Jun;12(6):e440-e448. doi: 10.1016/S2352-3018(25)00036-0.
3. การให้ยา linezolid ในขนาดที่เหมาะสมสำหรับรักษาวัณโรคดื้อยา
การศึกษาแบบ meta-analysis ล่าสุดที่รวบรวมข้อมูลจากผู้ป่วยแต่ละราย (individual patient data) ชี้ให้เห็นว่าการใช้ยา linezolid ในรูปแบบ 2 ขั้นตอน (two-stage approach) ให้ผลการรักษาสำเร็จสูงสุดและมีผลข้างเคียงน้อย
Linezolid เป็นยาสำคัญในสูตรการรักษาวัณโรคแบบ all-oral treatment regimens สำหรับวัณโรคดื้อยาไรแฟมปิซิน (rifampin-resistant TB หรือ RR-TB) และวัณโรคดื้อยาหลายขนาน (multidrug-resistant TB หรือ MDR-TB) ร่วมกับยาอื่น ๆ เช่น bedaquiline, pretomanid, delamanid, fluoroquinolones, หรือ clofazimine อย่างไรก็ตาม linezolid มักมีผลข้างเคียงที่สำคัญ เช่น ปลายประสาทอักเสบ (neuropathy) และการกดไขกระดูก (myelosuppression) โดยเฉพาะเมื่อใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานเพื่อรักษาวัณโรค
- กลุ่มที่ 1: ได้รับยา 600 mg เป็นเวลา 8 สัปดาห์
- กลุ่มที่ 2: ได้รับยา 600 mg เป็นเวลา 16 สัปดาห์ จากนั้นลดเหลือ 300 mg เป็นเวลา 8 สัปดาห์
- กลุ่มที่ 3: ได้รับยา 600 mg เป็นเวลา 39 สัปดาห์
- กลุ่มที่ 4: ได้รับยา 1200 mg เป็นเวลา 25 สัปดาห์
ผลการวิเคราะห์พบว่าอัตราความสำเร็จในการรักษาแตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยกลุ่มที่ 1, 2, 3 และ 4 มีอัตราความสำเร็จอยู่ที่ 59.1%, 90.4%, 91.3% และ 96.0% ตามลำดับ
เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ 2 ซึ่งเป็นเกณฑ์อ้างอิง กลุ่มที่ 1 และ 3 มีอัตราความสำเร็จต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญ (adjusted sub-distribution hazard ratio (aSHR), 0.24 และ 0.36 ตามลำดับ) ในขณะที่กลุ่มที่ 4 แม้จะมีอัตราความสำเร็จไม่ต่างจากกลุ่มที่ 2 อย่างมีนัยสำคัญ แต่กลับมีอัตราการเกิดผลข้างเคียงรุนแรง (≥grade 3) สูงกว่าอย่างชัดเจน (aSHR, 2.29)
การให้ยา linezolid ในขนาด 600 mg ต่อวัน เป็นเวลา 16 สัปดาห์ และลดขนาดยาเหลือ 300 mg เป็นเวลา 8 สัปดาห์ เป็นรูปแบบการรักษาที่เหมาะสมที่สุด เมื่อพิจารณาทั้งในด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการรักษาวัณโรคดื้อยาหลายขนานและวัณโรคดื้อยาไรแฟมปิซิน (MDR/RR-TB)
ที่มา Kwak N, et al. Optimal dosing and duration of linezolid for the treatment of multidrug-resistant and rifampicin-resistant tuberculosis: An individual patient data meta-analysis. Eur Respir J. 2025 Jul 17:2500315. doi: 10.1183/13993003.00315-2025.
4. แนวทางการดูแลรักษาโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะชนิดซับซ้อนฉบับปรับปรุงใหม่
สมาคมโรคติดเชื้อแห่งอเมริกา (Infectious Diseases Society of America หรือ IDSA) ได้ปรับปรุงแนวทางเวชปฏิบัติฉบับปี 2025 สำหรับการจัดการโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะชนิดซับซ้อน (complicated urinary tract infection, cUTI) โดยมีการกำหนดการจำแนกประเภทของโรคใหม่และให้คำแนะนำที่เป็นขั้นตอนสำหรับการเลือกยาปฏิชีวนะ การเปลี่ยนไปใช้ยากิน และการกำหนดระยะเวลาการรักษาที่สั้นลง
- Uncomplicated UTI: หมายถึงการติดเชื้อที่จำกัดอยู่เฉพาะในกระเพาะปัสสาวะของผู้หญิงหรือผู้ชายที่ไม่มีไข้
- Complicated UTI: หมายถึงการติดเชื้อที่ลุกลามเกินกระเพาะปัสสาวะในผู้หญิงหรือผู้ชาย ซึ่งรวมถึงภาวะต่อไปนี้: โรคกรวยไตอักเสบ (pyelonephritis) การติดเชื้อที่มีไข้หรือมีภาวะแบคทีเรียในกระแสเลือด (febrile or bacteremic UTI) และ การติดเชื้อที่เกี่ยวข้องกับสายสวนปัสสาวะ (catheter-associated UTI หรือ CAUTI)
ทั้งนี้ แนวทางฉบับนี้ไม่ได้ครอบคลุมถึงโรคต่อมลูกหมากอักเสบจากแบคทีเรีย (bacterial prostatitis) โรคถุงอัณฑะอักเสบ (epididymitis), หรือโรคอัณฑะอักเสบ (orchitis)
- ประเมินความรุนแรงของอาการป่วย: พิจารณาว่าผู้ป่วยมีภาวะ sepsis หรือไม่
- พิจารณาปัจจัยเสี่ยงของผู้ป่วยแต่ละรายต่อเชื้อดื้อยา: เพื่อเลือกยาที่ครอบคลุมเชื้ออย่างเหมาะสม
- ประเมินปัจจัยเฉพาะอื่น ๆ ของผู้ป่วย: เพื่อลดความเสี่ยงของผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ เช่น การแพ้ยา ข้อห้ามใช้ยา หรือปฏิกิริยาระหว่างยา
- พิจารณาข้อมูลความไวของเชื้อต่อยาปฏิชีวนะในพื้นที่ (local antibiogram): ขั้นตอนนี้ แนะนำในผู้ป่วยที่มีภาวะ sepsis
คำแนะนำในการเลือกยา:
สำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะ sepsis: ยาที่แนะนำในเบื้องต้น ได้แก่ cephalosporins รุ่นที่ 3 หรือ 4, carbapenems, piperacillin-tazobactam หรือ fluoroquinolones
สำหรับผู้ป่วยที่ไม่มีภาวะ sepsis แต่ต้องให้ยาทางหลอดเลือดดำ (IV): ยาที่แนะนำคือ cephalosporins รุ่นที่ 3 หรือ 4, piperacillin-tazobactam หรือ fluoroquinolones แต่ไม่แนะนำให้ใช้ carbapenems เพื่อควบคุมการใช้ยาอย่างสมเหตุสมผล (antibiotic stewardship)
สำหรับผู้ป่วยนอกที่เหมาะสมกับการรักษาแบบกิน: ยาที่แนะนำคือ fluoroquinolones หรือ trimethoprim-sulfamethoxazole
ข้อควรระวัง: ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยา fluoroquinolones หากผู้ป่วยเคยได้รับยาในกลุ่มนี้ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อการดื้อยา
การจัดการการรักษาและระยะเวลา:
การเปลี่ยนจากยาฉีดเป็นยากิน: ในผู้ป่วยที่เริ่มการรักษาด้วยยาฉีดทางหลอดเลือดดำ ควรเปลี่ยนไปใช้ยาที่สามารถรับประทานได้ทันทีที่อาการทางคลินิกดีขึ้นและผู้ป่วยสามารถรับยากินได้
ระยะเวลาการรักษาทั้งหมด:
สำหรับผู้ป่วย cUTI ที่อาการดีขึ้นทางคลินิก ควรได้รับการรักษาด้วยยาในกลุ่ม fluoroquinolone เป็นเวลา 5-7 วัน หรือยาที่ไม่ใช่กลุ่ม fluoroquinolone เป็นเวลา 7 วัน
สำหรับผู้ป่วย cUTI ที่มีภาวะแบคทีเรียแกรมลบในกระแสเลือดร่วมด้วยและอาการดีขึ้นทางคลินิก แนะนำให้รักษาด้วยยาเป็นเวลา 7 วัน แทนที่จะเป็น 14 วัน
ที่มา Trautner BW et al. Complicated urinary tract infections (cUTI): Clinical guidelines for treatment and management. IDSA. 2025 Jul 17. (https://www.idsociety.org/practice-guideline/complicated-urinary-tract-infections)
งานประชุมสาขาโรคติดเชื้อที่น่าสนใจ เดือนพฤษภาคม – สิงหาคม 2568
• International Conference on Prevention and Infection Control (ICPIC) 2025 | 16 – 19 September 2025, Geneva, Switzerland
• European AIDS Conference 2025 | 15 – 18 October 2025, Paris, France
• IDWeek 2025 | 19 – 22 October 2025, Atlanta, Georgia, USA
• World Congress of the World Society for Pediatric Infectious Diseases (WSPID) 2025 | 28 – 31 October 2025, Bangkok, Thailand
• Asia Pacific Congress of Clinical Microbiology and Infection (APCCMI) 2025 | 2 – 4 November 2025, Bangkok, Thailand
• Conference on Retroviruses and Opportunistic Infections (CROI) 2025 | 22 – 15 February 2026, Denver, Colorado, USA
• ESCMID Global 2026 | 17 – 21 April 2026, Munich, Germany

• ASM Microbe 2026 | 4 – 8 June 2026, Washington, DC, USA
• International Symposium on Antimicrobial Agents and Resistance (ISAAR) 2026 | 12 – 14 June 2026, Hong Kong








