

สวัสดีค่ะ เพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ชาวกุมารแพทย์ วันนี้ทีม บก. เรามีข่าวความเคลื่อนไหวทางวิชาการในช่วงนี้ มาให้ชาวกุมารแพทย์ได้อัพเดทกัน ขณะเดียวกัน ในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ทางราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย ได้ประกาศเรื่องคำแนะนำการดูแลผู้ป่วยเด็กที่มีไข้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นที่มีความเห็นแตกต่างกันเรื่องการเช็ดตัวลดไข้ในเด็ก กล่าวโดยย่อ คือ ยังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ที่สนับสนุนว่า ต้องเช็ดตัวเด็กเป็นประจำในทุกครั้งที่มีไข้ แต่การเช็ดตัวเป็นทางเลือกหนึ่งที่อาจพิจารณาใช้ร่วมกับการให้ยาลดไข้ ซึ่งอาจจะช่วยให้ไข้ลงเร็วขึ้นและสบายตัวขึ้นในช่วงแรก โดยเฉพาะในเด็กที่ไข้สูงและแสดงอาการไม่สบายตัวจากไข้ ที่สำคัญคือ ต้องเช็ดตัวอย่างถูกวิธีและนุ่มนวล ห้ามใช้น้ำเย็นหรือแอลกอฮอล์ ห้ามเช็ดอย่างรุนแรง อนึ่ง ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานแสดงว่าการให้ยาลดไข้หรือการเช็ดตัวสามารถป้องกันการชักจากไข้สูงได้ ท่านสามารถอ่านคำแนะนำฉบับเต็มได้ที่ https://www.thaipediatrics.org/?p=5844
สถานการณ์โรคหัดในต่างประเทศและประเทศไทย: สัญญาณเตือนการระบาดจากการขาดวัคซีน
ในปี พ.ศ. 2568 หลายประเทศทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย กำลังเผชิญกับการกลับมาระบาดของโรคหัด โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กที่ยังไม่ได้รับวัคซีน MMR หรือได้รับไม่ครบตามเกณฑ์ที่แนะนำ ประเทศสหราชอาณาจักรและสหรัฐฯ พบการระบาดในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในกลุ่มประชากรที่มีความครอบคลุมวัคซีนลดลง สำหรับประเทศไทย แม้จำนวนผู้ป่วยยืนยันโรคหัดในช่วงมกราคม – เมษายน 2568 จะลดลงเมื่อเทียบกับปี 2567 แต่ยังมีการรายงานผู้ป่วยอย่างต่อเนื่องในภาคใต้ และมีแนวโน้มพบผู้ป่วยเพิ่มขึ้นในจังหวัดอื่น ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ซึ่งส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับวัคซีน MMR ครบถ้วนตามเกณฑ์ รวมถึงพบผู้ป่วยโรคหัดจากประเทศเพื่อนบ้านที่เดินทางเข้ามารักษาในประเทศไทย และมีการยืนยันสายพันธุ์ไวรัสหัดจากต่างประเทศ ซึ่งเชื่อมโยงกับสถานการณ์ระบาดในประเทศเวียดนามและกัมพูชา สถานการณ์นี้ตอกย้ำถึงความสำคัญของการให้วัคซีน MMR อย่างครบถ้วนตามช่วงวัย โดยเฉพาะในเด็กเล็กซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงสูง หากความครอบคลุมวัคซีนต่ำกว่าร้อยละ 95 จะไม่สามารถป้องกันการระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การป้องกันการติดเชื้อ RSV ในเด็ก
การติดเชื้อไวรัส Respiratory syncytial virus (RSV) เป็นสาเหตุสำคัญของโรคทางเดินหายใจในเด็กเล็ก โดยเฉพาะทารกแรกเกิดและเด็กที่มีความเสี่ยงสูง แนวทางการป้องกันในปัจจุบันประกอบด้วย 2 แนวทางหลัก ได้แก่ วัคซีนสำหรับหญิงตั้งครรภ์ และภูมิคุ้มกันชนิดออกฤทธิ์ยาว (long-acting monoclonal antibody) สำหรับทารก เพื่อป้องกันโรครุนแรงจาการติดเชื้อ RSV
- วัคซีน RSV สำหรับหญิงตั้งครรภ์
- วัคซีน Abrysvo ได้รับการขึ้นทะเบียนในประเทศไทย
- แนะนำให้ฉีดในช่วงอายุครรภ์ 32 – 36 สัปดาห์ เพื่อให้เกิดการถ่ายทอดภูมิคุ้มกันผ่านรกสู่ทารก ช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ RSV ในช่วงแรกเกิด
- Long-acting monoclonal antibody ภูมิคุ้มกันชนิดที่มีในประเทศไทย ได้แก่ Nirsevimab
- ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทยได้ให้คำแนะนำการใช้ Nirsevimab ดังนี้
- สำหรับทารกแรกเกิดและทารกในฤดูกาลแรกของการระบาดของ RSV เพื่อป้องกันโรคทางเดินหายใจจากเชื้อ RSV ที่อาจรุนแรงในวัยแรกเริ่มของชีวิต
- สำหรับเด็กอายุไม่เกิน 24 เดือนที่ยังคงมีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อ RSV เช่น เด็กที่มีโรคประจำตัวบางอย่าง (เช่น โรคหัวใจ โรคปอดเรื้อรัง หรือภูมิคุ้มกันบกพร่อง)
- ให้โดยการฉีดเข้ากล้ามเพียงครั้งเดียวต่อฤดูกาล โดยใช้ขนาดยาตามน้ำหนักตัว
- แนะนำให้เริ่มฉีดในช่วงเดือนมิถุนายน – ตุลาคมของทุกปี โดยพิจารณาตามฤดูกาลระบาด และปัจจัยเสี่ยงของผู้ป่วยแต่ละราย อ่านคำแนะนำฉบับเต็ม https://www.thaipediatrics.org/?p=5133https
- ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทยได้ให้คำแนะนำการใช้ Nirsevimab ดังนี้
แนวทางปฏิบัติโรค Nephrotic Syndrome ในเด็กฉบับใหม่ เจาะเนื้อหาสำคัญ KDIGO 2025
ในปีนี้ KDIGO ได้มีการปรับแนวเวชปฏิบัติเกี่ยวกับการรักษา nephrotic syndrome (NS) ในเด็ก ให้สอดคล้องกับ International Pediatric Nephrology Association (IPNA) guideline 2023 และหลักฐานใหม่ โดยใจความสำคัญ คือ
- ผู้ป่วย NS อายุ 1 – 12 ปี ที่มีการทำงานของไต (eGFR) ปกติ ไม่มีประวัติหรือภาวะต่อไปนี้ ความดันเลือดสูง ภาวะ hematuria ประวัติโรคไตวายในครอบครัว ลักษณะของ syndromic feature และ extrarenal manifestation สามารถพิจารณาให้ยา prednisolone ได้ โดยไม่จำเป็นต้องทำ kidney biopsy ก่อนให้การรักษา
- การรักษาด้วย oral glucocorticoids เมื่อวินิจฉัย NS ครั้งแรก
- ขนาดยา prednisolone 60 mg/m2/day หรือ 2 mg/kg/day (สูงสุด 60 mg/day) ทุกวัน เป็นเวลา 4 สัปดาห์ หรือ 6 สัปดาห์ ตามด้วย prednisolone 40 mg/m2/day หรือ 1.5 mg/kg/day (maximum 40 mg/day) วันเว้นวัน เป็นเวลา 4 สัปดาห์ หรือ 6 สัปดาห์ (รวมทั้งหมด 8 หรือ 12 สัปดาห์)
- หากผู้ป่วยมีการตอบสนองต่อการรักษา แนะนำให้หยุด prednisolone ทันที หลังรักษาครบ 8 หรือ 12 สัปดาห์ โดยไม่มีความจำเป็นต้องค่อย ๆ ลด (taper dose) เนื่องจากไม่สามารถลด frequent relapse NS ได้
- ไม่แนะนำการให้ prednisolone เพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำของโรค (relapse NS) ในผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อทางเดินหายใจทุกราย แต่พิจารณาให้ low dose prednisolone 5 mg/kg/day วันละครั้ง ช่วงสั้น ๆ ได้ในผู้ป่วยเด็กที่เป็น frequent relapse NS หรือ steroid-dependent NS ที่กำลังได้รับ prednisolone และมีประวัติ relapse NS ตามหลังการติดเชื้อบ่อย ๆ
อ่านบทความฉบับเต็ม https://kdigo.org/wp-content/uploads/2025/04/KDIGO-2025-Guideline-for-Nephrotic-Syndrome-in-Children.pdf
การรักษาโรคติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรังในเด็ก
- ปัจจุบันองค์การอนามัยโลกและองค์กรต่าง ๆ ในต่างประเทศแนะนำให้รักษาโรคติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรังในเด็กทุกคนตั้งแต่อายุ 3 ปีขึ้นไป ไม่ว่าผล liver function test จะปกติหรือไม่ก็ตาม และไม่ต้องตรวจชิ้นเนื้อตับ แนะนำให้ใช้ยาต้านไวรัส (direct-acting antivirals) ชนิดกินที่ใช้รักษาได้ครอบคลุมทุกสายพันธุ์ เช่น Sofosbuvir/velpatasvir เป็นเวลา 12 สัปดาห์ ในประเทศไทย บัญชียาหลักแห่งชาติประกาศให้ใช้ยา Sofosbuvir/velpatasvir รักษาเด็กติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีตั้งแต่อายุ 12 ปีหรือน้ำหนักมากกว่าหรือเท่ากับ 30 กก. โดยใช้ขนาดยาเท่ากับผู้ใหญ่
- การตรวจคัดกรองเชื้อไวรัสตับอักเสบซีในเด็ก ทารกที่เกิดจากมารดาที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีควรได้รับการตรวจ anti-HCV antibody ที่อายุ 18 เดือน หากได้ผลบวก ควรตรวจยืนยันด้วย HCV RNA ต่อไป หรือตรวจ HCV RNA ตั้งแต่อายุ 2 – 6 เดือน เพื่อการวินิจฉัยตั้งแต่เริ่มแรก นอกจากนี้ ควรตรวจคัดกรองการติดเชื้อในเด็กและวัยรุ่นที่เป็นกลุ่มเสี่ยง หรือมีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี
อ่านคำแนะนำเพิ่มเติม
https://www.who.int/publications/i/item/9789240052734
https://www.fispghan.org/index.php/world-hepatitis-day
Update PALS guideline 2025
ในปีนี้ American Heart Association and American Academy of Pediatrics ประกาศแนวทางปฏิบัติ Pediatric Advanced Life Support (PALS) ฉบับใหม่ ข้อมูลสำคัญที่กุมารแพทย์ควรทราบ ได้แก่
- Peri-cardiac arrest
- แนะนำให้ใช้ pediatric early warning system (PEWS) เพื่อ early recognition ในผู้ป่วยทุกรายที่รักษาในโรงพยาบาล
- ผู้ป่วยที่มีหัวใจเต้นช้า (bradycardia ร่วมกับ hemodynamic ไม่คงที่ หลังจากช่วยหายใจและให้ออกซิเจนแล้ว แนะนำเริ่มทำการ cardiopulmonary resuscitation (CPR) ได้เลย
- Intra-cardiac arrest มีหลายหัวข้อที่สำคัญ ได้แก่
- สามารถ CPR โดยเริ่มจาก “CAB” หรือ “ABC” ก็ได้ สิ่งที่สำคัญคือ การช่วยหายใจและกดหน้าอกให้มีประสิทธิภาพ
- การช่วยหายใจ แนะนำให้ใช้ bag-mask ventilation ในผู้ป่วยที่หัวใจหยุดเต้นนอกโรงพยาบาล ส่วนในผู้ป่วยที่หัวใจหยุดเต้นในโรงพยาบาล สามารถเลือกวิธี bag-mask ventilation, tracheal intubation หรือ supraglottic airway โดยที่ต้องไม่รบกวนการกดหน้าอก
- อัตราการช่วยหายใจหลังใส่ท่อช่วยหายใจ แนะนำช่วยหายใจมากกว่า 10 ครั้งต่อนาที หรืออาจช่วยหายใจในอัตราใกล้เคียงกับอัตราการหายใจตามอายุของผู้ป่วย
- Defibrillation แนะนำให้เริ่ม 2 – 4 จูลต่อน้ำหนัก (กิโลกรัม) ในผู้ป่วยที่หัวใจหยุดเต้น และคลื่นไฟฟ้าหัวใจเป็น ventricular tachycardia หรือ ventricular fibrillation
- การประเมินชีพจรเมื่อผู้ป่วยหัวใจหยุดเต้น ในทางปฏิบัติอาจใช้เวลานานและประเมินได้ยาก จึงแนะนำว่า ถ้าผู้ป่วยไม่รู้สึกตัว ไม่หายใจ ร่วมกับไม่มีอาการแสดงของการมีชีวิต (signs of life) สามารถเริ่ม CPR ได้เลย
- หากสามารถวัด arterial blood pressure แนะนำให้ diastolic blood pressure มากกว่า 25 mmHg (เด็กอายุน้อยกว่า 1 ปี) และมากกว่า 30 mmHg (อายุ 1 – 18 ปี) ในขณะทำการ CPR
- Post-cardiac arrest
- แนะนำให้ systolic blood pressure หรือ mean arterial blood pressure มากกว่า percentile ที่ 10 สำหรับช่วงอายุผู้ป่วย
- ควรติดตามปัจจัยทำนายภาวะทางระบบประสาทที่ไม่ดี (poor neurological outcomes) หลังจากหัวใจหยุดเต้น เช่น ม่านตาไม่ตอบสนองต่อแสงหลังจากกู้ชีพสำเร็จที่ 48 และ 72 ชั่วโมง หรือ CT brain พบว่า loss of gray-white matter differentiation ภายใน 24 ชั่วโมง เป็นต้น
อ่านฉบับ preprinted https://ilcor.org/publications/preprint โดยฉบับสมบูรณ์น่าจะออกประมาณปลายปีนี้
งานประชุมสาขากุมารเวชศาสตร์ที่น่าสนใจ ปี 2568
• รายการ Pediatrics Academic Webinar สำหรับแพทย์ ทุกวันพฤหัสบดีที่ 3 ของเดือน เวลา 13.30 – 14.30 น.
• การบรรยายในหัวข้อ A Pediatrician’s Guide to Improving Outcomes in Cow’s Milk Protein Allergy | วันจันทร์ที่ 22 กันยายน 2568 เวลา 12.00 – 13.00 น. ช่องทาง Online คลิกลงทะเบียนและเข้าฟัง https://webinar.stationg.com/mj220925
• The 3rd Ramathibodi Pediatric CRRT Conference 2025 (RPCRRT2025) ที่ ห้องประชุมอรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ และห้องประชุมท่านผู้หญิงวิระยา ชวกุล ชั้น 5 อาคารสิริกิติ์ | วันที่ 23 – 25 ต.ค. 2568
• AAIAT Semi-Annual 2025 “Emerging Trends in Allergy Care” ที่ Nimman Convention Center, Chiang Mai | วันที่ 24 – 25 ต.ค. 2568
• The 14th World Congress of the World Society for Pediatric Infectious Diseases – WSPID 2025 ที่ กรุงเทพฯ | วันที่ 28 – 31 ต.ค. 2568
• The 14th Pediatric GI Days “Practical Approach to Pediatric GI & Liver diseases: Empowering Healthcare Professionals” ที่ โรงแรม Chatrium Grand Bangkok | วันที่ 30 – 31 ต.ค. 2568

• The 20th Asia Pacific Congress of Clinical Microbiology and Infection – APCCMI 2025 ที่ ICONSIAM, Bangkok | วันที่ 2 – 4 พ.ย. 2568




