
สวัสดีอีกครั้งค่ะ พบกับคอลัมน์ Let’s get updated โรคระบบการหายใจและภาวะวิกฤติระบบการหายใจกันอีกครั้ง สำหรับครั้งนี้เรา ได้รับเกียรติจาก พญ. อินทิรา มัสยวาณิช แพทย์ผู้เชี่ยวชาญฯ สาขาอายุรศาสตร์โรคทางเดินหายใจ โรงพยาบาลตากสิน จะมาช่วยสรุปทบทวนแนวทางเวชปฏิบัติใหม่ ๆ และบทความวิชาการที่เพิ่งตีพิมพ์ 3 เรื่อง ดังนี้
1. 2025 ATS Clinical Practice Guideline: Diagnosis and Management of Community-Acquired Pneumonia (CAP)
Recommendation 1: การตรวจ lung ultrasound (LUS) สามารถเป็นตัวเลือกทดแทนการส่งตรวจ Chest X-ray (CXR) ในการวินิจฉัย CAP ได้หรือไม่?
การตรวจ CXR มี sensitivity ที่ต่ำกว่า CT chest ในการวินิจฉัย CAP และในสถานพยาบาลหลายแห่งไม่สามารถส่งตรวจ CXR ได้ตลอดเวลา มีการศึกษาพบว่า LUS มี sensitivity สูงกว่าหรือเทียบเท่ากับ CXR ในการวินิจฉัย CAP และยังเป็นวิธีการตรวจที่สะดวก คือเป็น point-of-care ultrasound
จากข้อมูล meta-analysis สำหรับการวินิจฉัย CAP พบว่า LUS มี median sensitivity 95% (range 68-100%) และ median specificity 75% (range 0-100%) ในขณะที่ CXR มี median sensitivity 70% (range 16-94%) และ median specificity 55% (range 0-94%) ดังนั้นผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำ ให้ใช้ LUS เป็น alternative imaging of choice ในการวินิจฉัย CAP ได้ แต่ต้องเป็น LUS ที่ทำโดย trained experts เท่านั้น (conditional recommendation)
Recommendation 2: ในผู้ป่วย CAP ที่ตรวจพบ respiratory virus จำเป็นต้องให้ empiric anti-bacterial therapy หรือไม่?
ผู้ป่วย CAP ที่ตรวจพบ respiratory virus จะพิจารณาให้ empirical ATB ตามลักษณะของผู้ป่วยแต่ละประเภท ดังนี้
*โดยที่คำแนะนำทั้งหมดเป็น conditional recommendation, very low-quality evidence*
Recommendation 3: ผู้ป่วย CAP ที่มีอาการคงที่ สามารถลดการให้ยาปฏิชีวนะเป็นระยะเวลาน้อยกว่า 5 วัน ได้หรือไม่
มีการศึกษาที่แสดงว่า ในผู้ป่วย CAP ที่อาการคงที่ การให้ยาปฏิชีวนะระยะสั้น มีประสิทธิภาพในการรักษาไม่แตกต่างจากการให้ยาเป็นเวลานาน และอัตราการเสียชีวิตก็ไม่แตกต่างกัน นอกจากนี้ การให้การยานาน อาจเพิ่มความเสี่ยงการเกิดเชื้อดื้อยา ผลข้างเคียงจากยา และภาวะไตวายเฉียบพลันได้ คำแนะนำสรุปตามตาราง
*** อย่างไรก็ตาม optimal duration ของการให้ ATBs สำหรับผู้ป่วย CAP ยังไม่มีข้อมูลชัดเจน***
Recommendation 4: ควรให้ systemic corticosteroids ในผู้ป่วย CAP ที่นอนโรงพยาบาลหรือไม่?
จาก meta-analysis พบว่าการให้ systemic corticosteroids ใน severe CAP นั้น สามารถลดทั้ง mortality (9.8% versus 15.1%; risk ratio 0.62, 95% CI 0.41 to 0.94) และ Length of stay (LOS) (mean difference -1.53 days, 95% CI -2.14 to -0.91 days) ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ซึ่งแตกต่างจากใน non-severe CAP คำแนะนำสำหรับการให้ steroid มีดังนี้
***ยังไม่มีคำแนะนำสำหรับการรักษาด้วย systemic corticosteroid ในแง่ของชนิด corticosteroid, dose และ duration***
เอกสารอ้างอิง
- Jones BE, Ramirez JA, Oren E, Soni NJ, Sullivan LR, Restrepo MI, et al. Diagnosis and Management of Community-acquired Pneumonia: An Official American Thoracic Society Clinical Practice Guideline. Am J Respir Crit Care Med. 2025.
2. คำแนะนำวัคซีน Respiratory syncytial virus (RSV) สำหรับผู้ใหญ่
Respiratory syncytial virus (RSV) เป็นหนึ่งในสาเหตุของโรคติดเชื้อทางเดินหายใจในเด็กที่พบบ่อย และเป็นสาเหตุหลักของการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลในทารก ส่วนผู้ใหญ่ที่ติดเชื้อ RSV มักมีอาการเพียงเล็กน้อย
หรือไม่มีอาการ โดยอาการที่พบได้บ่อยจะคล้ายกับการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนอื่น ๆ ซึ่งอาจประกอบด้วย น้ำมูกไหล เจ็บคอ ไอ ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย และมีไข้ อาการมักหายได้เองภายใน 1–2 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม RSV สามารถก่อให้เกิดโรครุนแรง และนำไปสู่การเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลได้ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงบางประการ
ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกัน RSV สำหรับผู้ใหญ่ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนในประเทศไทย 2 ชนิด ได้แก่
- วัคซีนชนิด adjuvanted RSVPreF3 ประกอบด้วย antigen คือ prefusion F protein แบบ trimeric ของสายพันธุ์ A 120 ไมโครกรัม และ Adjuvant ชนิด AS01E 50 ไมโครกรัม
ผลการศึกษาระยะที่ 3 ในอาสาสมัครอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป พบประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อ RSV ในทางเดินหายใจส่วนล่าง (lower respiratory tract disease; LRTD) ดังนี้- ในอาสาสมัครทั้งหมด ประสิทธิภาพการป้องกันการติดเชื้อ RSV ในฤดูกาลระบาด (season) ที่ 1 เท่ากับร้อยละ 82.6, ในฤดูกาลที่ 2 ร้อยละ 56.1 และถ้ารวม 2 ฤดูกาล ป้องกันได้ร้อยละ 74.5
- ในผู้ที่มีโรคประจำตัวอย่างน้อย 1 โรค ได้แก่ โรคปอดเรื้อรัง โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคหืด หัวใจวายเรื้อรัง เบาหวาน โรคไตเรื้อรัง และโรคตับเรื้อรัง ประสิทธิภาพการป้องกันการติดเชื้อ RSV ในฤดูกาลระบาดที่ 1 เท่ากับร้อยละ 94.6, ในฤดูกาลที่ 2 ร้อยละ 51.5 และรวม 2 ฤดูกาล ป้องกันได้ร้อยละ 75.1
- ประสิทธิภาพในการป้องกัน LRTD จากการติดเชื้อ RSV รุนแรง ในฤดูกาลระบาดที่ 1 ร้อยละ 94.1,ในฤดูกาลที่ 2 ร้อยละ 64.2 และรวม 2 ฤดูกาล ป้องกันได้ร้อยละ 82.7
- วัคซีนชนิด bivalent RSVpreF ประกอบด้วย antigen คือ prefusion F protein จากเชื้อ RSV 2 สายพันธุ์ ได้แก่ A และ B อย่างละ 60 ไมโครกรัม โดยจากการศึกษาระยะที่ 3 ในอาสาสมัครอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป พบประสิทธิภาพในการป้องกัน LRTD จากการติดเชื้อ ดังนี้
- ในอาสาสมัครทั้งหมด ประสิทธิภาพการป้องกันการติดเชื้อ RSV ในฤดูกาลที่ 1 เท่ากับร้อยละ 88.9, ในฤดูกาลที่ 2 ร้อยละ 77.8 และรวม 2 ฤดูกาล ป้องกันได้ร้อยละ 81.5
- ในผู้ที่มีโรคประจำตัว หรือมีภาวะร่วมอย่างน้อย 1 อย่าง ได้แก่ โรคหัวใจ โรคปอด เบาหวาน โรคตับ โรคไต และผู้ที่สูบบุหรี่ พบประสิทธิภาพการป้องกันการติดเชื้อ RSV ในฤดูกาล ที่ 1 เท่ากับร้อยละ 81.8, ในฤดูกาลที่ 2 ร้อยละ 69.6 และรวม 2 ฤดูกาล ป้องกันได้ร้อยละ 73.5
ข้อมูลจาก real-world study ของวัคซีนทั้ง 2 ชนิด ในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป พบว่า effectiveness ในการลดการมารักษาที่แผนกฉุกเฉินที่จากการติดเชื้อ RSV เท่ากับ ร้อยละ 77 – 79 และประสิทธิผลในการลดการนอนโรงพยาบาลจากการติดเชื้อ RSV เท่ากับร้อยละ 73 – 83
- แนะนำให้วัคซีนชนิดใดก็ได้ในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 75 ปีขึ้นไป
- แนะนำให้วัคซีนชนิดใดก็ได้ในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ถึง 74 ปี ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ RSV ที่รุนแรง เช่น โรคปอดเรื้อรัง โรคหัวใจเรื้อรัง ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องปานกลางถึงรุนแรง โรคเบาหวานที่มี end–organ damage โรคอ้วนที่มี BMI ตั้งแต่ 40 กก./ตร.ม. โรคตับ โรคไตเรื้อรังระยะ 4–5 หรือผู้ที่ได้รับการบำบัดทดแทนไต
- แนะนำให้วัคซีนก่อนเข้าสู่ช่วงที่จะมีการระบาดในประเทศไทย ซึ่งมักจะมีการระบาดช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนพฤศจิกายน อย่างไรก็ตาม สามารถให้ได้ตลอดทั้งปี
- ขนาด 0.5 มล. 1 โดส ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ
- ยังไม่มีคำแนะนำเกี่ยวกับการให้วัคซีนโดสกระตุ้น
- คำแนะนำในหญิงตั้งครรภ์ ให้วัคซีนชนิด bivalent RSVpreF เมื่อมีอายุครรภ์ตั้งแต่ 24–36 สัปดาห์ เพื่อให้เกิดการส่งผ่านภูมิคุ้มกัน (passive immunity) ไปยังทารกในครรภ์ ซึ่งจะป้องกัน LRTD จากการติดเชื้อ RSV ในทารกตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 6 เดือน โดยพบว่าการให้วัคซีนแก่มารดาในช่วงอายุครรภ์ 28–32 สัปดาห์ได้ประโยชน์สูงสุด และแนะนำอย่างยิ่งในกรณีที่คาดว่าทารกจะมีอายุน้อยกว่า 6 เดือน ในช่วงที่มีการระบาด (ช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนพฤศจิกายน) โดยให้วัคซีน RSV ห่างจากวัคซีน Tdap อย่างน้อย 2 สัปดาห์
- ไม่แนะนำให้วัคซีนชนิด adjuvanted RSVPreF3 ในหญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร
- Centers for Diseases Control and Prevention. Respiratory syncytial virus (RSV) immunizations. July 8, 2025 [Internet]
- สมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย. คำแนะนำการให้วัคซีนป้องกันโรคสำหรับผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ, 2568. [อินเทอร์เน็ต].
- Papi A, Ison MG, Langley JM, Lee DG, Leroux-Roels I, Martinon-Torres F, et al. Respiratory syncytial virus prefusion F protein vaccine in older adults. N Engl J Med 2023; 388:595-608.
- Walsh EE, Pérez Marc G, Zareba AM, Falsey AR, Jiang Q, Patton M, et al. Efficacy and safety of a bivalent RSV prefusion F vaccine in older adults. N Engl J Med 2023; 388:1465-77.
- Walsh EE, Pérez Marc G, Falsey AR, Jiang Q, Eiras D, Patton M, et al. RENOIR Trial – RSVpreF Vaccine Efficacy over Two Seasons. N Engl J Med 2024; 391:1459-60.
- Ison MG, Papi A, Athan E, Feldman RG, Langley JM, Lee DG, et al. Efficacy and safety of respiratory syncytial virus (RSV) prefusion F protein vaccine (RSVPreF3 OA) in older adults over 2 RSV seasons. Clin Infect Dis 2024; 78:1732-44.
- Kampmann B, Madhi SA, Munjal I, Simões EAF, Pahud BA, Llapur C, et al. Bivalent prefusion F vaccine in pregnancy to prevent RSV illness in infants. N Engl J Med 2023; 388:1451-64.
3. Updates on the Treatment of Drug-Susceptible and Drug-Resistant Tuberculosis
An Official ATS/CDC/ERS/IDSA Clinical Practice Guideline
สรุปแนวทางการรักษาวัณโรคที่ไวต่อยาและวัณโรคดื้อยา
ข้อมูลการศึกษาใหม่ทำให้มีการปรับสูตรการรักษาวัณโรคทั้งชนิดไม่ดื้อยาและวัณโรคดื้อยา นอกจากจะลดระยะเวลาการรักษาแล้ว ยาสูตรใหม่จะมีประสิทธิภาพ และความปลอดภัยมากขึ้น
การรักษาวัณโรคที่ไวต่อยา (Drug-Susceptible Tuberculosis, DS-TB)
- สำหรับผู้ใหญ่และเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป แนะนำสูตรการรักษาแบบ 4 เดือน คือ 2HPZM/2HPM พบว่ามีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับสูตรมาตรฐาน 6 เดือน (2HRZE/4HR) แต่มีระยะเวลาการรักษาสั้นกว่า ซึ่งช่วยเพิ่มความร่วมมือในการรักษาของผู้ป่วย และลดภาระการกินยา โดยประกอบด้วย
- Intensive phase (2 เดือนแรก) ประกอบด้วยยา isoniazid, rifapentine, pyrazinamide และ moxifloxacin
- Continuation phase (2 เดือนถัดไป): ประกอบด้วยยา isoniazid, rifapentine และ moxifloxacin
- สำหรับเด็กอายุ 3 เดือนถึง 16 ปี ที่เป็นวัณโรคชนิดไม่รุนแรง (Non-severe TB*) แนะนำสูตรการรักษาแบบ 4 เดือน คือ 2HRZE/2HR เพื่อลดระยะเวลาการรักษาและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
- Intensive phase (2 เดือนแรก) ประกอบด้วยยา isoniazid, rifampicin, pyrazinamide และ ethambutol
- Continuation phase (2 เดือนถัดไป): ประกอบด้วยยา isoniazid และ rifampicin
*นิยามของ Non-severe TB ได้แก่ intrathoracic lymph node TB without airway obstruction, uncomplicated TB pleural effusion, paucibacillary and noncavitary disease confined to one lobe of the lungs, or without a miliary pattern
- การรักษาวัณโรคดื้อยา (Drug-Resistant Tuberculosis, DR-TB) สำหรับผู้ใหญ่และเด็กอายุ 14 ปีขึ้นไป แนะนำสูตรยา BPaL และ BPaLM regimen เป็นเวลา 6 เดือน
- BPaL regimen (bedaquiline (Bdq), pretomanid (Pa), linezolid (Lzd)) แนะนำให้ใช้ในผู้ป่วยวัณโรคดื้อยา multidrug-resistant (MDR)/ rifampicin-resistant (RR)-TB ที่มีผลการทดสอบความไวต่อยาของเชื้อ (DST) ว่าดื้อต่อยาในกลุ่ม fluoroquinolones (FQs) หรือมีประวัติ/อาการข้างเคียงจากการใช้ยากลุ่ม FQs และไม่เคยมีประวัติได้รับยา Bdq, Pa หรือ Lzd เป็นเวลานานเกิน 4 สัปดาห์
- BPaLM regimen (bedaquiline (Bdq), pretomanid (Pa), linezolid (Lzd), moxifloxacin (Mfx)) แนะนำให้ใช้ในผู้ป่วยวัณโรคดื้อยา (MDR/RR-TB) ที่ไม่ดื้อต่อยาในกลุ่ม FQs และไม่เคยได้รับการรักษาหรือเคยได้รับการรักษาด้วยยาที่เป็น ส่วนประกอบในสูตร BPaLM ไม่เกิน 4 สัปดาห์
- BPaL และ BPaLM regimen มีข้อควรระวังดังนี้
- ผู้ป่วยต้องไม่ตั้งครรภ์หรืออยู่ในระหว่างการให้นมบุตร
- สามารถใช้ได้ใน non-severe forms of extrapulmonary TB (severe forms เช่น disseminated central nervous system or bone/joint TB)
- ยังไม่มีคำแนะนำให้ใช้ในผู้ป่วยเด็กที่อายุน้อยกว่า 14 ปี
- ผู้ติดเชื้อ HIV สามารถใช้ยาสูตรนี้ได้
- ขนาดของยา linezolid อาจลดขนาดลงเหลือ 300 มก. หรือหยุดการใช้ยาได้ตามอาการไม่พึงประสงค์ภายหลังการรักษาไปแล้ว 8 สัปดาห์ แต่ไม่แนะนำให้หยุดยาหรือปรับขนาดยาในช่วง 9 สัปดาห์แรก ถ้าไม่สามารถใช้ยาได้ในช่วง 9 สัปดาห์แรก แนะนำให้เปลี่ยนสูตรการรักษาเป็น longer individualized regimen
- ระมัดระวังเมื่อมีการใช้ร่วมกับยาอื่น เช่น efavirenz ยาที่มีผลต่อ QTc-prolonged, ยาที่เป็น strong CYP3A4 inducer และ inhibitor, MAOIs, antidepressant, และยาที่มีผลทำให้เกิด myelosuppression
ขนาดและระยะเวลารักษาวัณโรคตามตาราง
เอกสารอ้างอิง
- Saukkonen JJ, Duarte R, Munsiff SS, Winston CA, Mammen MJ, Abubakar I, et al. Updates on the treatment of drug-susceptible and drug-resistant tuberculosis: an official ATS/CDC/ERS/IDSA clinical practice guideline. Am J Respir Crit Care Med. 2025; 211(1):15–33.
งานประชุมสาขาระบบทางเดินหายใจที่น่าสนใจ ปี 2568
• ERS Congress 2025 | September 27 – October 1, 2025 – Amsterdam, Netherlands
• CHEST 2025 | October 19 – 22, 2025 – Chicago, IL, USA
• APSR 2025 | November 13 – 16, 2025 – Manila, Philippines
• APRC 2026 | Fabruary 4 – 7, 2026 – Bangkok, Thailand





