CIMjournal

Ready to use: โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์

 

พญ. ทิพาพร ธาระวานิชรศ. พญ. ทิพาพร ธาระวานิช
หน่วยต่อมไร้ท่อและเมแทบอลิซึม ภาควิชาอายุรศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

 

สมาคมผู้ให้ความรู้โรคเบาหวาน พ.ศ. 2541 : https://thaide.org/
วารสารแสงเทียน The Diabetes Educator Newsletter
https://thaide.org/wp-content/uploads/2025/09/Diabetes_Vol26-No4.pdf


บทนำ

โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ (gestational diabetes; GDM) คือ ภาวะน้ำตาลสูงซึ่งวินิจฉัยได้เป็นครั้งแรกในขณะตั้งครรภ์ โดยส่วนใหญ่หมายรวมถึงโรค เบาหวาน หรือความทนน้ำตาลผิดปกติที่เกิดขึ้นก่อนการตั้งครรภ์แต่ไม่เคยได้รับการวินิจฉัยมาก่อน¹ มักเกิดในอายุครรภ์ 24-28 สัปดาห์ แต่ประมาณร้อยละ 30-70 ของผู้ที่เป็น GDM ได้รับการวินิจฉัยก่อนอายุครรภ์ 20 สัปดาห์² สาเหตุการเป็น GDM เกิดจากตับอ่อน ไม่สามารถหลั่งอินซูลินได้อย่างเพียงพอเมื่อเปรียบเทียบกับภาวะดื้อต่ออินซูลินที่เพิ่มขึ้นในขณะตั้งครรภ์ ภาวะนี้มักจะหายหลังคลอด แต่ในอนาคตมารดามีโอกาสที่จะเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้มากกว่า คนปกติ ผู้ที่เสี่ยงต่อ GDM เช่น อายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป อ้วนหรือน้ำหนักเกิน กิจกรรมทางกายน้อย การได้รับควันบุหรี่ (passive smoking) มีบุตรหลายคน เป็น polycystic ovarian syndrome การทำงานของ ไทรอยด์ต่ำ ความดันโลหิตสูงช่วงตั้งครรภ์ เคยเป็น GDM เคยมีประวัติทารกเสียชีวิตในครรภ์/คลอดก่อน กำหนด/congenital malformation/บุตรตัวโต มีประวัติครอบครัวเป็นโรคเบาหวาน² ความชุกของ GDM ทั่วโลกประมาณร้อยละ 14² และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นกว่าในอดีต เนื่องจากความอ้วน และผู้ที่มีภาวะก่อนเบาหวาน (prediabetes) เพิ่มขึ้น


ผลกระทบของ GDM ต่อมารดาและบุตร

ผลกระทบของ GDM ต่อมารดา เช่น เพิ่มความเสี่ยงของครรภ์เป็นพิษ (preeclampsia) โรคเหงือกปริทันต์ คลอดก่อนกำหนด คลอดลำบาก คลอดติดไหล่ การผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง และการตกเลือด หลังคลอด ในระหว่างการตั้งครรภ์พบว่า มารดามีความเครียด กังวล และซึมเศร้า เนื่องจากรู้สึกผิด และความกังวลถึงผลกระทบต่อทารกในครรภ์² หญิง GDM หลังคลอดเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้าเพิ่มขึ้น 4 – 6 เท่า ในอนาคตมารดามีโอกาสเป็นโรคเบาหวานเพิ่มขึ้น มากกว่า 10 เท่า³

ผลกระทบของ GDM ต่อบุตร เช่น ทารกตัวโต ซึ่งอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บระหว่างการคลอด เช่น การบาดเจ็บของ brachial plexus (Erb’s palsy) ทำให้แขนไม่มีแรง หลังคลอดอาจมีภาวะน้ำตาล แคลเซียม และแมกนีเซียมในเลือดต่ำ เลือดข้น ตัวเหลือง โรคกล้ามเนื้อหัวใจ (fetal/neonatal cardiomyopathy) กลุ่มอาการหายใจลำบาก (respiratory distress syndrome) หายใจเร็วหลังคลอดชั่วคราว (transient tachypnea) ภาวะติดเชื้อ การนอนหออภิบาลวิกฤต การเสียชีวิตระหว่างการคลอด (perinatal mortality) และตายคลอด (stillbirth) ในระยะยาวบุตรมีความเสี่ยงของโรคอ้วน ความทนน้ำตาลผิดปกติ (impaired glucose tolerance; IGT) โรคเบาหวานชนิดที่ 2 ความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจและหลอดเลือดมากกว่าคนปกติ3, 4

ผู้ที่ได้รับการวินิจฉัย GDM ตั้งแต่อายุครรภ์น้อยกว่า 20 สัปดาห์มีภาวะแทรกซ้อนของมารดาและทารกมากกว่าผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยที่อายุครรภ์ 24 – 28 สัปดาห์ เช่น ทารกตัวโต คลอดก่อนกำหนด ทารกมีความพิการแต่กำเนิด และอัตราการเสียชีวิตสูงขึ้น ส่วนมารดามีโอกาสเกิดครรภ์เป็นพิษ ฉีดอินซูลินเพื่อควบคุมโรคเบาหวานเพิ่มขึ้น อุบัติการณ์ผ่าตัดท้องคลอด คลอดติดไหล่ ต้องให้ยากระตุ้นการคลอดเพิ่มขึ้น5,6


การวินิจฉัยโรค

สามารถวินิจฉัย GDM ได้จากการตรวจดังนี้1
  1. One-step approach: ตรวจความทนน้ำตาล (oral glucose tolerance test; OGTT) 75 กรัม ในหญิงตั้งครรภ์ทุกรายที่อายุครรภ์ 24 – 28 สัปดาห์ โดยตรวจระดับน้ำตาลที่ 0, 1 และ 2 ชั่วโมง พบว่า ระดับน้ำตาลสูงตั้งแต่ 92, 180 หรือ 153 มก./ดล.ขึ้นไปอย่างน้อย 1 ค่า
  2. Two-step approach: ตรวจคัดกรอง GDM โดยการทดสอบความทนน้ำตาล 50 กรัม หากระดับน้ำตาลที่ 1 ชั่วโมงเท่ากับ 200 มก./ดล. สามารถให้การวินิจฉัย GDM ในขณะที่ระดับน้ำตาล 140 – 199 มก./ดล. ให้ตรวจความทนน้ำตาล 100 กรัม หากระดับน้ำตาลที่ 0, 1, 2 และ 3 ชั่วโมงสูงตั้งแต่ 95, 180, 155 หรือ 140 มก./ดล.ขึ้นไปอย่างน้อย 2 ค่า สามารถให้การวินิจฉัย GDM

หากระดับน้ำตาลช่วงอดอาหารมีค่าตั้งแต่ 126 มก./ดล.ขึ้นไป หรือระดับน้ำตาลหลังการตรวจความทนน้ำตาล 75 กรัมที่ 2 ชั่วโมง มีค่าตั้งแต่ 200 มก./ดล.ขึ้น ไป ให้สงสัยว่าผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวาน (overt diabetes) ควรตรวจซ้ำเพื่อยืนยันโรคเบาหวาน2


ประโยชน์ของการรักษา GDM

การควบคุมระดับน้ำตาลในผู้ที่ได้รับการวินิจฉัย GDM มีผลดีต่อทารกคือ ลดการเสียชีวิต การบาดเจ็บ ระหว่างการคลอด การคลอดติดไหล่ ทารกตัวโต และลดการนอนที่หออภิบาลวิกฤต ผลดีต่อมารดา เช่น ลดการผ่าตัดท้องคลอด และความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์7 เป้าหมายระดับน้ำตาลในเลือดระหว่างการตั้งครรภ์ ดังแสดงในตารางที่ 1

ตารางที่ 1 เป้าหมายระดับน้ำตาลในเลือดระหว่างการตั้งครรภ์1โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์

มีการศึกษาเป้าหมายการควบคุมระดับน้ำตาลที่ต่ำลงมา กล่าวคือ ระดับน้ำตาลช่วงอดอาหาร ≤ 90 มก./ดล. หลังอาหาร 1 และ 2 ชั่วโมง ≤ 130 และ 120 มก./ดล. ตามลำดับ พบว่า สามารถลดการเสียชีวิตของทารก การบาดเจ็บจากการคลอด และการคลอด ติดไหล่ แต่พบว่า ภาวะแทรกซ้อนในมารดา เช่น การตกเลือด เลือดแข็งตัวผิดปกติ (coagulopathy) และภาวะแทรกซ้อนระหว่างการคลอดเพิ่มขึ้น8 ในปัจจุบัน แนวทางเวชปฏิบัติจึงยังคงใช้เกณฑ์เป้าหมายดังตารางที่ 1 ในการดูแลรักษา และหากใช้ยาลดระดับน้ำตาลในเลือด ระดับน้ำตาลไม่ควรต่ำกว่า 60 มก./ดล.


การควบคุมระดับน้ำตาล

  1. การควบคุมอาหาร: แนวทางเวชปฏิบัติโรคเบาหวานของประเทศไทยแนะนำสัดส่วนอาหาร คาร์โบไฮเดรต: โปรตีน: ไขมัน เท่ากับ 50:20:30 และไม่ควรมีคาร์โบไฮเดรตต่ำกว่า 200 กรัมต่อวัน คำนวณ พลังงานที่ควรได้รับในไตรมาสแรกเท่ากับ 32 กิโลแคลอรี่/น้ำหนักตัวอุดมคติหน่วย กก. (ideal body weight; IBW) และในไตรมาสที่ 2 – 3 เท่ากับ 38 กิโลแคลอรี่/IBW ควรรับประทานอาหาร 3 มื้อหลัก และ อาหารว่าง 2 – 3 มื้อ1, 9
  2. การควบคุมให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างเหมาะสม มีผลดีคือ ปริมาณอินซูลินฉีดลดลงและลดอุบัติการณ์ ทารกตัวโต10
  3. การเพิ่มกิจกรรมทางกายโดยออกกำลังกาย แบบแอโรบิกระดับปานกลาง 30 นาทีต่อวัน อย่างน้อย 5 วันต่อสัปดาห์ (อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์) หรือเดินอย่างน้อย 10 – 15 นาทีหลังอาหาร9
  4. การใช้ยา: ผู้เป็น GDM มีโอกาสต้องใช้ยาในการรักษาร้อยละ 25 – 50 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มีความเสี่ยงคือ ดัชนีมวลกายมาก มีประวัติครอบครัวเป็นเบาหวาน เคยเป็น GDM และได้รับการวินิจฉัย GDM เมื่ออายุครรภ์ไม่มาก11 ข้อบ่งชี้ในการให้ยาในการควบคุมระดับน้ำตาลจากการศึกษาต่าง ๆ มีเกณฑ์ ที่แตกต่างกันไป เช่น ระดับน้ำตาลก่อนอาหารเมื่อแรกวินิจฉัยตั้งแต่ 105 มก./ดล.ขึ้นไป หรือหลังการควบคุมอาหาร ระดับน้ำตาลสูงอย่างน้อย 2 ครั้งใน 2 สัปดาห์12 หรือน้ำตาลสูงกว่าเกณฑ์ตั้งแต่ร้อยละ 30 – 40 ขึ้นไปในระยะเวลา 1 สัปดาห์3,13


ยาที่ใช้ในการรักษา GDM

  • อินซูลิน : มีข้อดีในการนำมาใช้ในการรักษา GDM กล่าวคือ มีการใช้อย่างยาวนาน มีประสิทธิภาพสูง ไม่ผ่านรก มีความปลอดภัยในทารก ข้อเสียคือ อยู่ในรูปแบบฉีด ราคาแพงกว่ายากิน และมารดาเสี่ยงต่อภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ3 อินซูลินที่สามารถใช้ได้ในหญิงตั้งครรภ์ที่อยู่ใน pregnancy category class B เช่น regular human insulin (RI), neutral protamine hagedron (NPH), aspart, lispro และ detemir ส่วนอินซูลินที่อยู่ใน pregnancy category class C คือ glargine ส่วนการศึกษาที่ใช้อินซูลิน glulisine, degludec และ glargine U-300 ยังมีไม่มาก สมาคมสูตินรีเวชและสมาคมโรคเบาหวานประเทศสหรัฐอเมริกา แนะนำให้ใช้อินซูลินชนิดออกฤทธิ์เร็ว เช่น aspart, lispro มากกว่า RI เนื่องจากออกฤทธิ์ไว และควบคุมระดับน้ำตาลหลังอาหารได้ดี14 การฉีดอินซูลินสามารถเริ่มที่ ขนาดยา 6 – 10 ยูนิต และเพิ่มยาขึ้นร้อยละ 10 – 20 หากระดับน้ำตาลสูง
  • Metformin: เริ่มให้ในขนาด 500 มก.ต่อวัน 1 สัปดาห์ หลังจากนั้นเพิ่มเป็น 500 มก. เช้า เย็น และ สามารถเพิ่มขนาดยาจนขนาดยาสูงสุด 2,500 – 3,000 มก./วัน วันละ 2 – 3 ครั้งขึ้นกับระดับน้ำตาลในเลือด14 ประโยชน์ของ metformin ใน GDM เช่น บริหารยา สะดวก ราคาถูก งานวิจัย meta-analysis รวบรวมการศึกษาแบบสุ่มพบว่า metformin เมื่อเปรียบเทียบกับอินซูลิน สามารถลดอุบัติการณ์ ครรภ์เป็นพิษ การ กระตุ้นคลอด การผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง ทารกหนักมากกว่า 4 กก. ทารกตัวโต และทารกต้องเข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยวิกฤต ในขณะที่อุบัติการณ์ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำแรกคลอด และทารกตัวเล็ก (small for gestational age; SGA) ไม่แตกต่างกัน15 การติดตามระยะยาวในบุตรที่มารดาได้รับ metformin ขณะอายุ 9 – 11 ปี พบว่า ความอ้วน โรคเบาหวาน พัฒนาการด้านการเคลื่อนไหวและพัฒนาการด้านสังคมไม่มีความแตกต่างจากกลุ่มที่ใช้อินซูลิน16 ข้อเสียของ metformin คือ มีผลข้างเคียงต่อระบบทางเดินอาหารทำให้คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ท้องเสีย หรือท้องอืดท้องเฟ้อ ผู้ที่ได้รับ metformin มีประมาณร้อยละ 14 – 46 ที่ต้องฉีดอินซูลินร่วมด้วย8 โดยพบว่า หากผู้ป่วยมีระดับน้ำตาลช่วงอดอาหารมากกว่า 115 มก. หรือน้ำตาลสูงกว่าเกณฑ์เป้าหมายอย่างน้อยร้อยละ 50 ใน 1 สัปดาห์มักจะต้องใช้อินซูลิน3 ในทางปฏิบัติควร หลีกเลี่ยง metformin ในมารดาที่มีโรคความดันโลหิตสูง ครรภ์เป็นพิษ ทารกโตช้าในครรภ์ (intrauterine growth retardation; IUGR) เนื่องจากอาจเสี่ยงต่อ SGA เนื่องจากรกเสื่อมสภาพ (placental insufficiency)17
  • Glyburide (Glibenclamide) สามารถผ่านรกและกระตุ้นการผลิตอินซูลินจากเบต้าเซลล์ของทารกได้ ซึ่งอาจส่งผลให้ทารกตัวโต และมีไขมันในตัวมากขึ้น การศึกษา meta-analysis พบว่า glyburide สามารถ ควบคุมระดับน้ำตาลในมารดาได้ไม่แตกต่างจากการใช้อินซูลินหรือ metformin แต่ทารกที่เกิดจากมารดาที่ได้รับ glyburide มีน้ำหนักแรกเกิด ความชุกของลูกตัวโต เส้นรอบวงที่ท้อง และหน้าอกมากกว่ากลุ่มที่ใช้อินซูลิน18 จึงไม่แนะนำให้ใช้ glyburide แทนอินซูลิน14
  • ยาเบาหวานชนิดอื่น ๆ เช่น acarbose, dipeptidyl peptidase-4 inhibitor, glucagon-like peptide-1 receptor agonist ยังมีข้อมูลความปลอดภัยไม่เพียงพอที่จะนำมาใช้ในการรักษา ส่วน thiazolidinedione เช่น pioglitazone ไม่ปลอดภัย สำหรับหญิงตั้งครรภ์ 2


การติดตามระหว่างการตั้งครรภ์

ผู้เป็น GDM ระหว่างการตั้งครรภ์ควรมีการติดตามดังนี้

  1. ติดตามระดับน้ำตาลในเลือดสามารถทำได้โดย
    1. ตรวจระดับน้ำตาลปลายนิ้ววันละ 3-4 ครั้ง ในช่วงก่อนอาหารเช้า และหลังอาหาร 1-2 ชั่วโมงนับจากรับประทานอาหารคำแรก หากระดับน้ำตาลได้ตามเป้าหมาย จึงลดความถี่ในการเจาะเลือดลง
    2. ติดเครื่องตรวจน้ำตาลแบบตลอดเวลา (continuous glucose monitoring) ซึ่งอาจมีประโยชน์ คือ ช่วยควบคุมระดับน้ำตาล ลดการเพิ่มขึ้นของน้ำหนัก ระหว่างการตั้งครรภ์ ทารกมีน้ำหนักตัวเหมาะสม เมื่อเปรียบเทียบกับการตรวจน้ำตาลปลายนิ้วด้วยตนเอง อย่างไรก็ตามการตรวจดังกล่าวแพงและยังไม่คุ้มทุนในขณะนี้3
    3. สำหรับการตรวจ A1c, glycated albumin และ fructosamine มีข้อจำกัดในการแปลผลการตรวจในหญิงตั้งครรภ์เนื่องจากมีตัวกวนในระหว่างการตั้งครรภ์ เช่น อายุครรภ์ ดัชนีมวลกาย hemodilution การเปลี่ยนแปลงการทำงานของไต และระดับโปรตีนในเลือด16 จึงไม่แนะนำให้ตรวจใน GDM
  2. น้ำหนักควรเพิ่มขึ้นอย่างเหมาะสมตามตารางที่ 219
    ตารางที่ 2 แสดงเป้าหมายน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นระหว่างการตั้งครรภ์19โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์
  3. ควรตรวจอัลตร้าซาวด์เพื่อประเมินการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ และปริมาณน้ำคร่ำเมื่ออายุครรภ์ 18-20 สัปดาห์กล่าวคือ หากเส้นรอบพุงทารกมากกว่า 75 เปอร์เซ็นต์ไทล์ หรือน้ำหนักทารกตั้งแต่ 90 เปอร์เซ็นไทล์ขึ้นไป แสดงว่า ทารกมีการเจริญเติบโตมากกว่าปกติ (fetal overgrowth)


การคลอด

อายุครรภ์ที่เหมาะสมในการคลอดขึ้นกับระดับน้ำตาล น้ำหนักทารกและภาวะแทรกซ้อน ดังตารางที่ 3

ตารางที่ 3 แสดงอายุครรภ์ที่เหมาะสมในการคลอด9โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์

ควรมีการติดตามระดับน้ำตาลระหว่างการคลอด โดยระดับน้ำตาลที่เหมาะสมควรอยู่ระหว่าง 70 – 120 มก./ดล. หากน้ำตาลมีระดับมากกว่าเป้าหมาย สามารถให้อินซูลินทางหลอดเลือดดำ 1 ยูนิตต่อชั่วโมงคู่กับสารน้ำที่มีน้ำตาล1 หรือฉีดอินซูลิน aspart/lispro เข้าใต้ผิวหนัง ทุก 4 ชั่วโมง หลังคลอดให้หยุดอินซูลิน


หลังคลอด

ให้ตรวจประเมินโรคเบาหวานโดยนัดผู้ป่วยมาทดสอบความทนน้ำตาล 75 กรัม ที่ 4 – 12 สัปดาห์หลังคลอด แต่เนื่องจากพบว่า ผู้ป่วยเพียงร้อยละ 50 เท่านั้น ที่มาเข้ารับการทดสอบนี้ สมาคมสูตินรีเวชประเทศสหรัฐอเมริกาจึงออกคำแนะนำเพิ่มเติมว่า สามารถตรวจความทนน้ำตาลได้ขณะนอนโรงพยาบาลในวันที่ 2 หลังคลอด ซึ่งทำให้สามารถวินิจฉัยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้อย่างรวดเร็ว14 หลังจากนั้นให้นัดผู้ป่วยมาตรวจทุก 1 – 3 ปี พร้อมแนะนำการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อ ป้องกันโรคเบาหวานชนิดที่ 2


บทสรุป

GDM มีผลกระทบต่อมารดาและทารกในระยะสั้นและระยะยาว การตรวจคัดกรองและการดูแลอย่างเหมาะสมโดยทีมสหสาขาจึงมีความสำคัญการดูแลรักษาสามารถทำได้โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และการให้ยา หลังให้การรักษาต้องมีการติดตามระดับน้ำตาล น้ำหนัก และภาวะแทรกซ้อนในมารดาและทารกทั้งในระยะสั้นและระยะยาว หลังคลอดควรมีการสนับสนุนให้มารดาให้นมบุตร และเน้นให้มารดา เห็นความสำคัญถึงการป้องกันโรคเบาหวานหลังคลอด รวมถึงการคัดกรองโรคเบาหวานทุก 1 – 3 ปี อย่างสม่ำเสมอ

 

เอกสารอ้างอิง
  1. สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทยฯ แนวทางเวชปฏิบัติสำาหรับโรคเบาหวาน 2566. กรุงเทพฯ: บริษัท ศรีเมืองการพิมพ์ จำากัด; 2566.
  2. Sweeting A, Hannah W, Backman H, Catalano P, Feghali M, Herman WH, et al. Epidemiology and management of gestational diabetes. Lancet. 2024;404(10448):175-92.
  3. Venkatesh KK, MacPherson C, Clifton RG, Powe CE, Bartholomew A, Gregory D, et al. Comparative effectiveness trial of metformin versus insulin for the treatment of gestational diabetes in the USA: clinical trial protocol for the multicentre DECIDE study. BMJ Open. 2024;14(9):e091176.
  4. Lowe WL, Jr., Scholtens DM, Kuang A, Linder B, Lawrence JM, Lebenthal Y, et al. Hyperglycemia and Adverse Pregnancy Outcome Follow-up Study (HAPO FUS): Maternal Gestational Diabetes Mellitus and Childhood Glucose Metabolism. Diabetes care. 2019;42(3): 372-80.
  5. Immanuel J, Simmons D. Screening and Treatment for Early-Onset Gestational Diabetes Mellitus: a Systematic Review and Meta-analysis. Current diabetes reports. 2017;17(11):115.
  6. Hannah W, Bhavadharini B, Beks H, Deepa M, Anjana RM, Uma R, et al. Global burden of early pregnancy gestational diabetes mellitus (eGDM): A systematic review. Acta Diabetol. 2022;59(3):403-27.
  7. Crowther CA, Hiller JE, Moss JR, McPhee AJ, Jeffries WS, Robinson JS, et al. Effect of treatment of gestational diabetes mellitus on pregnancy outcomes. N Engl J Med. 2005;352(24):2477-86.
  8. Rowan JA, Hague WM, Gao W, Battin MR, Moore MP, Mi GTI. Metformin versus insulin for the treatment of gestational diabetes. N Engl J Med. 2008;358(19):2003-15.
  9. ACOG Practice Bulletin No. 190: Gestational Diabetes Mellitus. Obstet Gynecol. 2018;131(2):e49-e64.
  10. Barnes RA, Flack JR, Wong T, Ross GP, Griffiths MM, Stephens M, et al. Does weight management after gestational diabetes mellitus diagnosis improve pregnancy outcomes? A multi-ethnic cohort study. Diabet Med. 2022;39(1):e14692.
  11. Simmons D, Immanuel J, Hague WM, Teede H, Nolan CJ, Peek MJ, et al. Treatment of Gestational Diabetes Mellitus Diagnosed Early in Pregnancy. N Engl J Med. 2023;388(23):2132-44.
  12. Dunne F, Newman C, Alvarez-Iglesias A, Ferguson J, Smyth A, Browne M, et al. Early Metformin in Gestational Diabetes: A Randomized Clinical Trial. JAMA. 2023;330(16):1547-56.
  13. Harrison RK, Cruz M, Wong A, Davitt C, Palatnik A. The timing of initiation of pharmacotherapy for women with gestational diabetes mellitus. BMC Pregnancy Childbirth. 2020;20(1):773.
  14. Screening for Gestational and Pregestational Diabetes in Pregnancy and Postpartum. Obstetrics & Gynecology. 9900:10.1097/ AOG.0000000000005612.
  15. Wu R, Zhang Q, Li Z. A meta-analysis of metformin and insulin on maternal outcome and neonatal outcome in patients with estational diabetes mellitus. J Matern Fetal Neonatal Med. 2024;37(1):2295809.
  16. Dutta D, Sharma M, Nagendra L, Bhattacharya S, Mohindra R, Yajnik CS. Long-Term Impact on Offspring (5 to 11 Years of Age) of Metformin Use in Pregnancy in Mothers With Diabetes: A Systematic Review and Meta-Analysis. Endocrine Practice. 2024;30(9):854-62.
  17. American Diabetes Association Professional Practice C. 15. Management of Diabetes in Pregnancy: Standards of Care in Diabetes-2024. Diabetes care. 2024;47(Suppl 1):S282-S94.
  18. Tarry-Adkins JL, Aiken CE, Ozanne SE. Comparative impact of pharmacological treatments for gestational diabetes on neonatal anthropometry independent of maternal glycaemic control: A systematic review and meta-analysis. PLoS Med. 2020;17(5):e1003126.
  19. Blumer I, Hadar E, Hadden DR, Jovanovic L, Mestman JH, Murad MH, et al. Diabetes and pregnancy: an endocrine society clinical practice guideline. J Clin Endocrinol Metab. 2013;98(11):4227-49.
PDPA Icon

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

บันทึก