“ประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย เราจะมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขามากขึ้น แนวโน้มค่ารักษาพยาบาลจะเพิ่มขึ้น จากเทคโนโลยี
ในการรักษาใหม่ ๆ ซึ่งจะเป็นความหวังของคนไข้ในปัจจุบัน”
ศ. ดร. พญ. ปวีณา สุสัณฐิตพงษ์
สาขาวิชาโรคไต ภาควิชาอายุรศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
กรรมการบริหาร สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย
แรงบันดาลใจในการเลือกเรียนแพทย์ โดยเฉพาะสาขาโรคไต
เป็นคนจังหวัดนครปฐม แต่เข้ามาเรียนชั้นมัธยมที่โรงเรียนสตรีวิทยา โดยนั่งรถตู้ไปกลับ กรุงเทพฯ – นครปฐม ต้องตื่นแต่เช้าทุกวัน จึงไม่ได้เรียนพิเศษใด ๆ เพิ่มเติม เป็นคนที่ชื่นชอบวิชาคณิตศาสตร์ ชอบคิดวิเคราะห์ข้อมูลตัวเลข และคุณพ่อก็มีธุรกิจส่วนตัว ทำให้เมื่อสอบเทียบได้ และมีโอกาสได้สอบ entrance ครั้งแรก ตอน ม.4 จึงได้เลือกคณะเศรษฐศาสตร์ และสอบได้ที่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แต่ไม่ได้เรียน เนื่องจากคุณพ่อมาพูดคุยด้วยและบอกว่าอยากให้เป็นแพทย์ เพื่อที่จะได้เป็นคนดูแลสุขภาพของคนในครอบครัวในอนาคต จึงเรียนชั้น ม.5 ต่อและสอบใหม่อีกครั้ง โดยสามารถสอบเข้าเรียนต่อได้ที่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในระหว่างเรียนแพทย์ เป็นคนที่ตั้งใจเรียนอย่างมาก เนื่องจาก คุณพ่อเป็นคนสอนว่าเวลาทำอะไร ให้ทำสิ่งนั้นให้เต็มที่ เพราะเมื่อเวลาผ่านไปแล้ว เราจะไม่เสียใจ แต่พอเสาร์อาทิตย์ก็จะกลับบ้านที่นครปฐม ใช้เวลาอยู่กับครอบครัว ชอบทำอาหารและขนมกับคุณแม่ และสนิทกับคุณแม่มาก ๆ การแบ่งเวลาในระหว่างเรียน ทำให้เราไม่เครียดจนเกินไปและสามารถคว้าเกียรตินิยมอันดับที่ 1 ได้ ในตอนเรียนจบที่ คณะแพทยศาสตร์
ได้เริ่มสนใจเรียนสาขาอายุรศาสตร์ ตั้งแต่ตอนเป็น Extern เนื่องจากอายุรศาสตร์เป็นสาขาที่ต้องใช้กระบวนการคิดและการเรียนรู้อย่างเป็นระบบ และแม่นยำ ผสมผสานความรู้ทั้งชั้นปรีคลินิกและคลินิกที่ได้เรียนมาตลอด 6 ปี มากที่สุด เมื่อเรียนจบก็ตัดสินใจไปเป็นแพทย์ใช้ทุน สาขาอายุรศาสตร์ ที่คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ระหว่างที่เรียนอายุรศาสตร์ คิดว่าอยากจะเรียนสาขาเฉพาะทางเพิ่มเติมต่อ ซึ่งในตอนนั้นได้ตัดสินใจที่จะเรียนต่อยอดด้านไต เนื่องจากระหว่างฝึกอบรมได้มีโอกาสดูแลคนไข้ที่เป็นโรคฉี่หนูและมีภาวะไตวายฉับพลัน มีระดับโพแทสเซียมสูงมาก จนหัวใจหยุดเต้นมาที่ห้องฉุกเฉิน ซึ่งเราได้กู้ชีวิตเขา (CPR) ให้ฟื้นขึ้นมา ก็ได้ช่วยใส่สายล้างไตทางหน้าท้องแบบฉุกเฉินให้คนไข้ จำได้ว่าคืนนั้นไม่ได้นอนเพราะต้องคอยดูแลเปลี่ยนน้ำยาล้างไตให้เขาตลอดทั้งคืน ต่อมาค่าการทำงานของไตดีขึ้น หยุดการฟอกไตได้ ผู้ป่วยได้กลับบ้านในเวลาต่อมา จำได้ว่าวันที่คนไข้ได้กลับบ้าน คนไข้ได้พาครอบครัวซึ่งคือภรรยาและลูกที่ยังเล็กอยู่ มาขอบคุณเราที่ช่วยผู้นำครอบครัวเขาให้รอดชีวิต ทำให้ตัวเองมองว่าการรักษาคนไข้ไตวายให้หายได้ เป็นเรื่องที่มหัศจรรย์มาก จึงตัดสินใจกลับมาเรียนสาขาวิชาไต ที่คณะแพทย์ จุฬาฯ หลังเรียนจบ ก็ได้รับโอกาสจาก ศ. นพ. สมชาย เอี่ยมอ่อง ซึ่งอาจารย์เป็นหัวหน้าหน่วยโรคไตในขณะนั้น ทาบทามให้เป็นอาจารย์ที่จุฬาฯ และได้ตอบรับอาจารย์ทันที เนื่องจากเป็นคนชอบสอบน้อง ๆ แพทย์อยู่แล้ว และยังได้มีโอกาสเรียนรู้เพิ่มเติมในหลาย ๆ เรื่อง

เป้าหมายที่มีการตั้งไว้ในการเป็นแพทย์และการใช้ชีวิตในด้านอื่น ๆ
เป้าหมายแรก การเป็นครูแพทย์ที่ดี จะรู้สึกภูมิใจมาก ๆ ถ้ามีใครมาบอกว่า ลูกศิษย์อาจารย์จบออกไปแล้วดูแลคนไข้ดีจังเลย หรือมีแพทย์ที่เรียนจบจากเราไป แล้วกลับมาบอกว่าโชคดีจังเลยที่ได้เรียนกับอาจารย์ หรือบอกว่าเห็นเราเป็น Role model เป็นต้น ความภูมิใจนี้อาจไม่ได้อยู่ในรูปของตัวเงิน แต่เป็นการบ่งบอกถึงคุณค่าของงานที่เราทำ เหมือนกับที่อาจารย์แพทย์ผู้ใหญ่บอกว่า การเป็นแพทย์ได้ดูแลรักษาคนไข้ก็เหมือนกับการทำบุญ และการได้เป็นครูแพทย์และสอนแพทย์ เพื่อให้ออกไปดูแลคนไข้จำนวนมากยิ่งขึ้น เหมือนกับการทำบุญที่มากกว่า
เป้าหมายที่สอง คือ การให้บริการคนไข้ที่โรงพยาบาลรัฐบาล มีคนชวนไปอยู่เอกชนเยอะมาก สมัยก่อนก็มีไป แต่ปัจจุบันไม่ได้ไปที่ไหนเลย เข้าใจว่าเรื่องเงินสำคัญสำหรับทุกคน แต่ตัวเองให้น้ำหนักไปที่คุณค่าของสิ่งที่ทำ การได้ดูแลคนไข้ที่อาจจะไม่ได้มีโอกาสเข้าถึงการรักษา เนื่องจากข้อจำกัดเรื่องค่ารักษา มันทำให้เราภูมิใจและดีใจเมื่ออาการดีขึ้น ปัจจุบันก็เลยอยู่แต่ที่จุฬาฯ ทุกวันนี้คนไข้อาจจะรอตรวจนาน และก็มีถามว่าหมอไปตรวจที่ไหนบ้าง จะตามไปรักษา บอกว่าไม่มีค่ะ ขอเป็นที่ รพ.จุฬาลงกรณ์ นะคะ รอนานนิดหนึ่งนะคะ และรู้สึกภูมิใจที่มีคนไข้บอกว่าอาการดีขึ้นเยอะเลย หรือรู้สึกโชคดีที่ได้มารักษากับอาจารย์
เป้าหมายที่สาม คือ การทำงานวิจัยให้ได้ดี ต้องเข้าใจก่อนว่าการทำงานวิจัยนั้น จะทำให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมการรักษาใหม่ ๆ ให้กับคนไข้ คนไข้ทุกคนมีความหวังเสมอว่าเขาจะหาย เขาจะดีขึ้น ในทางตรงข้าม ถ้าเราไม่มีการวิจัยเลย การรักษาในอดีตที่ผ่านมา ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี ก็จะเหมือนเดิม อะไรที่ยังรักษาไม่ได้ ก็จะยังทำไม่ได้เช่นเดิม จึงได้ตั้งเป้าหมายงานวิจัยไว้ดังนี้ 1) ต้องได้ตีพิมพ์ เพื่อบอกโลกนี้ว่าอะไรดีและอะไรไม่ดี อะไรควรทำต่อหรือหยุดทำ 2) ต้องมีคนอ้างอิงงานเรา ถ้ามีคนอ้างอิงมาก แสดงว่าเขาเชื่องานเรา ต่อยอดจากงานเรา 3) ต้องอยู่ใน guideline ระดับประเทศหรือระดับนานาชาติ ซึ่งแสดงว่างานวิจัยของเราสามารถนำไปใช้ในวงกว้าง 4) ต้องทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนโยบาย ทำให้สนใจที่จะทำวิจัยระดับประเทศมากขึ้น และตอนนี้ได้ทำหน้าที่เป็นประธานวิจัยของสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย เพื่อผลักดันงานวิจัยร่วมกันของสถาบันฝึกอบรมอายุรแพทย์โรคไตทั้ง 14 สถาบัน ให้เกิดผลในเชิงนโยบายระดับประเทศและผลงานเป็นที่ยอมรับจากต่างประเทศ
“เขาฟอกไตมานานกว่า 25 ปี
และวันหนึ่งเขามาบอกเราว่า
เขาไม่ขอล้างไตแล้ว
เขารู้สึกปวดกระดูกค่อนข้างมาก
ซึ่งเกิดจากภาวะ
โรคกระดูกผิดปกติจากโรคไต
ซึ่งตอนนั้นเราก็ไม่มีวิธีการ
รักษาอะไรที่ดีกว่าที่ทำอยู่แล้ว”
ถามว่าแรงจูงใจในการทำวิจัยมาจากอะไร ก็มีหลายปัจจัย แต่หนึ่งในแรงจูงใจมาจากคนไข้ไตรายหนึ่ง ที่เขาฟอกไตมานานกว่า 25 ปี และวันหนึ่งเขามาบอกเราว่า เขาไม่ขอล้างไตแล้ว เขารู้สึกปวดกระดูกค่อนข้างมากซึ่งเกิดจากภาวะโรคกระดูกผิดปกติจากโรคไต ซึ่ง 10 – 20 ปีที่แล้ว เราก็ไม่มีวิธีการรักษาอะไรที่ดีกว่าที่ทำอยู่แล้ว” ต่อมาคนไข้ได้เขียนหนังสือ “ไตวายอย่างไรให้มีความสุข” มาให้ พร้อมกับบริจาครายได้จากงานฌาปนกิจให้กับหน่วยโรคไต เป็นแรงจูงใจให้เราทำงานวิจัยเพื่อกลับมารักษาคนไข้ให้ดีกว่านี้ให้ได้

สิ่งที่รู้สึกภูมิใจในการทำอาชีพแพทย์มา
ภูมิใจเรื่องแรก น่าจะเรื่องการได้รับรางวัลอายุรแพทย์รุ่นใหม่โดดเด่นของราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย ซึ่งรางวัลนี้จะมีการประเมินทั้ง 3 ด้าน 1) การครองตน โดยต้องดำเนินวิชาชีพแบบมีศีลธรรม คนอื่น ๆ เห็นเราเป็นต้นแบบให้กับเขาได้ 2) การครองคน โดยต้องเป็นผู้นำที่ดี คนที่ทำงานร่วมกับเรารู้สึกมีความสุขและพร้อมที่จะเป็นลมใต้ปีกให้เรา และ 3) ครองงานคือ ต้องจัดสรรและให้น้ำหนักงานให้สอดคล้องกับคุณค่าของงาน รางวัลนี้จะมีคณะกรรมการร่วมคัดเลือก มีการสัมภาษณ์จากอาจารย์ผู้ใหญ่ 7 – 8 ท่าน มีการสัมภาษณ์ 7 ระดับ ตั้งแต่หัวหน้างาน แพทย์ที่เป็นเพื่อนร่วมงาน ทีมงานที่เป็นลมใต้ปีกให้เรา เช่น พยาบาล เภสัช เจ้าหน้าที่ที่ทำงานร่วมกับเรา และคนไข้ในฐานะแพทย์ที่ดูแล รางวัลนี้จึงเป็นรางวัลที่ภูมิใจอย่างมาก เนื่องจากมันเป็นผลสะท้อนจากการประพฤติ ปฏิบัติ จากผู้คนรอบตัวเรามาตลอดระยะเวลาการเป็นอาจารย์แพทย์อย่างแท้จริง
“Top 2% ในการประเมิน
ผลงานวิจัยของนักวิจัยทั่วโลก
มา 3 ปี ติดต่อกันแล้ว
มี citation มากกว่า
7,000 ผลงาน งานวิจัย
อยู่ใน Guideline ของการรักษา
คนไข้ทั่วโลก”
ภูมิใจเรื่องที่สอง เกี่ยวกับการทำวิจัย สามารถติดอันดับผู้วิจัย top 2% ในการประเมินผลงานวิจัยของนักวิจัยทั่วโลกมา 3 ปี ติดต่อกันแล้ว มี citation มากกว่า 7,000 ผลงาน งานวิจัยอยู่ใน Guideline ของการรักษาคนไข้ทั่วโลก เริ่มจากการที่เราอยากทำงานวิจัยเพื่อหาวิธีใหม่ ๆ มาดูแลคนไข้ ปัจจุบันมองย้อนหลังกลับไป เราทำให้คนไทยมีชื่อเสียงอยู่ในเวทีโลกทางด้านงานวิจัย และเป็นตัวอย่างให้กับแพทย์รุ่นใหม่ ๆ ด้วย
ภูมิใจเรื่องที่สาม ได้รับเชิญให้มีส่วนร่วมในการเขียน consensus และ guideline ของสมาพันธ์แพทย์โรคไตของโลก (KDIGO-CKD-MBD) ที่ประเทศสเปน ซึ่งเกิดจากงานวิจัยในด้านความผิดปกติของกระดูกในผู้ป่วยโรคไตตลอด 17 ปี ที่ผ่านมา จนทำให้เป็นที่รู้จักและยอมรับจากผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้จากแพทย์ทั่วโลก
ถ้าจะสื่อสารกับแพทย์รุ่นใหม่ ๆ
ก็ต้องบอกว่าให้หาความสุข
ที่แท้จริงของตัวเองก่อนว่าคืออะไร
และกำหนดตรงนั้นเป็นเป้าหมาย
พร้อมมุ่งมั่นทำเพื่อให้ได้
ตามเป้าหมายนั้น
เป้าหมายที่สำเร็จ เกิดจากอะไร
- เป็นคนมีเป้าหมายที่ชัดเจน และมุ่งมั่นมากพอในการทำเรื่องนั้น ๆ อาจจะเป็นเพราะรู้ว่าตัวเองทำอะไรแล้วมีความสุข ซึ่งที่ทำอยู่ปัจจุบันนี้แหละคือ ความสุข เพราะฉะนั้นจะไม่ค่อยรู้สึกเหนื่อย แต่รู้สึกอยากจะทำให้ดียิ่งขึ้นไปอีก วิธีนี้เราจะใกล้เคียงกับการทำทุกวันให้มีความสุข ถ้าจะสื่อสารกับแพทย์รุ่นใหม่ ๆ ก็ต้องบอกว่าให้หาความสุขที่แท้จริงของตัวเองให้เจอก่อนว่าคืออะไร บางคนอยากสอน อยากเรียนต่อต่างประเทศ อยากทำวิจัย บางคนอยากให้บริการชุมชน หรืออื่น ๆ ก็กำหนดตรงนั้นเป็นเป้าหมายและมุ่งมั่นทำเพื่อให้ได้ตามเป้า
- เป็นคนประเมินตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่า สิ่งที่เราทำนั้น อยู่ในเป้าหมายที่เรากำหนดไว้ หรือเราทำแล้วมีความสุขไหม ถ้าไม่มีความสุข เราอาจถอยออกมา เพื่อไปทำในสิ่งที่มีคุณค่า หรือเรามีความสุขมากกว่าได้ การถอยออกมาหรือเปลี่ยนวิธีการทำ ไม่ใช่ความล้มเหลว หรือความผิดพลาด ประสบการณ์ที่ได้รับมีคุณค่าเสมอ ในการพัฒนา ปรับปรุง แก้ไข ในครั้งต่อ ๆ ไป
- เป็นคนใช้หลักการจัดลำดับการทำงานแบบของตนเอง โดยงานทำลำดับแรกคือ งานที่ทุกคนรอเราทำหรือตัดสินใจแล้วเขาถึงจะไปต่อได้ งานแบบนี้ต้องรีบทำและส่งต่อให้เร็วที่สุด ลำดับต่อมาคือ งานสำคัญ และเราต้องทำคนเดียว จะวางแพลนทำล่วงหน้าไว้เลย อย่างงาน lecture ซึ่งจะทำเสร็จล่วงหน้าอย่างน้อย 1- 2 เดือน 3) ไม่จำเป็นต้องมีเราในทุกที่ก็ได้ นั่นหมายถึง งานหลาย ๆ งานมีคนทำได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องมีเราไปเกี่ยวข้องก็ได้ เราไม่ได้เก่งหรือถนัดได้ในทุก ๆ เรื่อง บางเรื่องก็มีคนทำได้ดีหรือเหมาะสมกว่า 4) งานที่ทำแล้วไม่มีประโยชน์อะไร เช่น การเล่น social platform ต่าง ๆ การดูสื่อออนไลน์ที่ไม่ได้ประโยชน์ ตนเองอาจเลือกไม่ทำ และเอาเวลาไปทำอย่างอื่นมากกว่า เช่น ออกกำลังกาย
“คนเราต่อให้เก่งแค่ไหน
ก็ไม่เก่งได้ในทุกเรื่อง
บางเรื่องลองทำกี่ครั้งก็แล้ว
ไม่สำเร็จหรือไม่ได้ดี
งานนั้นก็อาจไม่ใช่ทางของเรา
ก็ให้หาสิ่งที่ตนเองถนัด
แล้วทำแทน”
บางครั้งเป้าหมายไม่สำเร็จเกิดจากอะไร แก้ไขอย่างไร
ขอตอบเป็นภาพกว้าง ๆ ในการเลือกทำงานซึ่งจะส่งผลถึงโอกาสสำเร็จว่า คนเราต่อให้เก่งแค่ไหน ก็ไม่เก่งได้ในทุกเรื่อง บางเรื่องลองทำกี่ครั้งก็แล้ว ไม่สำเร็จหรือไม่ได้ดี งานนั้นก็อาจไม่ใช่ทางของเรา ก็ให้หาสิ่งที่ตนเองถนัดแล้วทำแทน อย่างมีการเปรียบเปรยว่า เราจะเอาเวลาไปกลบหลุม หรือเติมเนินให้สูงมากกว่ากัน หรือถ้าให้เลือกระหว่างเด็ดดอกฟ้ากับเด็ดดอกหญ้า ถ้าเราอยากจะเด็ดดอกฟ้า เราก็ต้องเลือกจุดที่แข็งที่สุดของเรา แล้วมุ่งมั่น ฝึกฝน พัฒนาตัวเอง เพื่อต่อยอดไปให้สูงที่สุด อย่างเป็นแพทย์ก็ต้องฝึกตรวจ สะสมประสบการณ์ในการดูแลรักษาคนไข้ให้มาก เช่นเดียวกัน หรือถ้าอยากจะพัฒนาเด็กสักคน หลังจากเรารู้ว่าจุดเด่นและจุดด้อยของเขาคืออะไร เราควรเลือกเสริมจุดเด่นของเขา เพื่อให้เขาไปให้ไกลมากที่สุดในเรื่องนั้น ๆ ขณะที่จุดด้อย หากเรามีเวลา เราจะค่อย ๆ ปรับแก้ หรือไม่ก็เลือกที่จะไม่ทำงานนั้น โดยให้คนที่ถนัดและสามารถทำได้ดีกว่าเป็นคนทำ
ตัวเองได้นำหลักการนี้มาใช้ โดยเปิดโอกาสให้คนอื่นเข้ามาช่วยในเรื่องที่ไม่ถนัด เช่น เคยลองเล่นเกมส์ในคอมพิวเตอร์แล้ว ไม่ถนัด ไม่มีความสุข ก็หยุดเล่น ปล่อยให้คนอื่นเขาเล่นไป หรืออย่างเรื่องรถ ตนเองไม่ถนัดเป็นได้แค่คนใช้รถอย่างเดียว ก็จะมีครอบครัวทั้ง พี่ชาย น้องสาว คุณพ่อคุณแม่ช่วยกันมาดูแลเรื่องรถให้ ส่วนตัวเองชอบเลี้ยงเด็ก ก็ช่วยเขาเลี้ยงหลาน ช่วงเสาร์อาทิตย์ เป็นต้น ก็ในเมื่อเราทำเองแล้วสู้เขาไม่ได้ ก็ไม่แปลกที่จะเปิดโอกาสให้เขาช่วย ส่วนเราก็ลุยงานบางอย่างของเรา ที่รอเราอยู่หรืองานที่ยังไม่มีใครทำได้ เราต้องเป็นคนเริ่มทำ เป็นต้น
กลับเข้าสู่เรื่องที่ยังทำไม่สำเร็จ ก็คือ เรายังไม่สามารถทำให้ผู้ป่วยโรคไตวายลดลงได้ ปัจจุบันผู้ป่วยโรคไตมีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับโรคในกลุ่ม NCDs ซึ่งส่วนใหญ่มีสาเหตุจากพฤติกรรมการดำเนินชีวิตที่ผิด ไม่ว่าจะเป็นการรับประทาน การออกกำลังกาย การพักผ่อน ซึ่งก็ต้องหาสาเหตุและแก้ไขกันต่อไป อีกเรื่องก็คือ ในการรักษาเรายังไม่สามารถบอกให้คนไข้ทำตามเราได้ทั้งหมด อย่างที่ผ่านมาเราสั่งยาไป คนไข้บางคนก็ไปเปิดหาข้อมูลสั้น ๆ ทางสื่อโซเชียล แล้วก็ไม่ได้ทำตามที่เราบอก มาเจอกันทีก็จะบอกว่า กินตัวไหนไม่กินตัวไหนเพราะไปฟังในสื่อโซเชียลมา เคสแบบนี้ยังมีอยู่เรื่อย ๆ ที่ผ่านมาก็ได้พยายามใช้เวลาอธิบายในแต่ละเคสอย่างเต็มที่ แต่ก็อาจจะยังได้ผลไม่ได้ดีมากเท่าไหร่ ในอนาคต หากมีสื่อหรือบุคลากรที่มีความสามารถในการสื่อสารและเข้าถึงคนไข้ได้มากขึ้นอาจจะช่วยให้ปัญหาเหล่านี้น้อยลงได้

มีวิธีบริหารความเครียด หรือ Work life balance ของตัวเองอย่างไร
ทำ 2 เรื่องหลัก ๆ อย่างวันธรรมดาก็จะมีการออกกำลังกาย สัปดาห์ละ 3 ครั้ง ๆ ละ 1 ชม. โดยประมาณ ส่วนใหญ่จะเลือกใช้วิธีเปิด You tube แล้วเต้นแอโรบิคอยู่ที่คอนโด ให้เหงื่อมันออกซึม ๆ เบิร์นแคลอรีสัก 400 – 500 kcal กำลังดี แล้วไปอาบน้ำ หาอะไรกินเล็กน้อยแล้วก็เปิดคอมฯทำงานต่อ ก็ถือว่าได้พักและผ่อนคลายแล้ว ส่วนเสาร์อาทิตย์ก็กลับบ้านไปอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ เจอพี่น้อง พาหลานเที่ยว จนบางครั้งโดนทักว่าเป็นคุณแม่อยู่บ่อย ๆ การใช้เวลาอยู่กับครอบครัวสำหรับตนเองเสมือนการชาร์จแบตให้กลับมาสดชื่น และพร้อมสำหรับการทำงานในสัปดาห์ต่อไป สิ่งที่อยากแนะนำน้อง ๆ แพทย์ก็คือว่า ให้หาให้เจอว่าเราอยู่กับใคร สภาพแวดล้อมแบบไหน แล้วจะมีพลังบวก ก็พยายามอยู่ใกล้คนหรือสภาพแวดล้อมแบบนั้น ๆ เพื่อจะให้มีพลังบวกแล้วกลับไปทำงานต่อได้
บุคคลต้นแบบในการดำเนินชีวิตหรือการทำงาน
ท่านแรก ศ. นพ. สมชาย เอี่ยมอ่อง อาจารย์เปรียบเสมือนคุณพ่อในวงการหมอไต อาจารย์เป็นผู้ให้โอกาสตนเองได้เรียน และเปิดโอกาสให้เป็นอาจารย์ในสาขาโรคไตที่จุฬาฯ อาจารย์สอนและลงรายละเอียดให้เกือบทุกเรื่องที่จำเป็น ทั้งการเรียนการสอน การทำวิจัย อาจารย์เน้นการทำเรื่องที่ยาก ๆ ให้กลายเป็นเรื่องง่าย ซึ่งจำเป็นมากสำหรับการเป็นอาจารย์ที่ดี จำได้ว่าอาจารย์ได้ส่งงานให้ตนเองเขียนตั้งแต่เป็น Fellow และได้แก้งานเขียนกันทุกเช้า อาจารย์คือ ผู้ให้กำเนิด ผู้ปลุกปั้น สร้างตัวเองขึ้นมาจากแท้จริง ทุกวันนี้อาจารย์ก็คอยให้คำแนะนำดี ๆ อยู่ตลอด

มีวันนี้ได้ เพราะมีอาจารย์คอยช่วยเหลือมาโดยตลอด
ท่านที่สอง ศ. นพ. เกื้อเกียรติ ประดิษฐ์พรศิลป์ อาจารย์เปรียบเสมือนพี่ เวลามีข้อสงสัยอะไรไปถาม อาจารย์จะฝึกให้เราไปวิเคราะห์มาก่อน หลัก ๆ จะให้เราไปทำ Root cause analysis มาว่า มันมีทางเลือกอะไรบ้าง แต่ละทางเลือกมีข้อดีข้อเสียอย่างไร แล้วมาช่วยกันหาคำตอบที่ดีที่สุดกัน อีกเรื่องคือ อาจารย์แนะนำให้เห็นว่าหลาย ๆ เรื่อง เราไม่ต้องลงรายละเอียด โฟกัสที่การวิเคราะห์ Root cause ของเรื่องนั้น ๆ ซึ่งสิ่งที่อาจารย์สอนทำให้เราจัดการเวลาได้ดีขึ้น ลดการเสียเวลากับรายละเอียดลง
ท่านที่สาม ศ. นพ. เกรียง ตั้งสง่า อาจารย์เป็นต้นแบบให้ตัวเองเรื่อง contribution อาจารย์ทำงานจิตอาสาหาเงินบริจาคให้กับหน่วยไต มาช่วยผู้ป่วยที่ไม่มีเงิน อาจารย์เป็นประธานการคัดเลือกยา ผลักดันให้ยาดี ๆ เข้าไปอยู่ในบัญชียาหลัก เพื่อให้ผู้ป่วยเข้าถึงได้มากขึ้น ซึ่งสิ่งที่ตนเองทำงานวิจัย เพื่อจะไปผลักดันนโยบายในอนาคต ก็ได้รับแรงสนับสนุนมากจากท่านอาจารย์ อาจารย์ยังสอนให้ตัวเองเห็นว่า เราควรเริ่มด้วยความคิดดี ปรารถนาดีแล้วลงมือทำ แม้ว่าผลที่ได้อาจไม่เป็นอย่างที่คิด ก็ไม่สำคัญเท่าไร ดีกว่าเรากลัวและไม่กล้าที่จะทำในสิ่งที่คิดว่าดี
มองการแพทย์ของเมืองไทยว่าอย่างไร และแพทย์รุ่นใหม่ควรทำอย่างไร
- การแพทย์เมืองไทยจะเหมือนอเมริกันโมเดล จากปัจจุบันที่คนไข้มักจะมองหาแพทย์เฉพาะทางหรือ specialties อนาคตก็จะมีแพทย์ที่ชำนาญเรื่องที่ลึกมากขึ้นไปอีก เรียกว่าเป็น super หรือ very super specialties และคนไข้เองก็มีแนวโน้มจะมองหาและเลือกใช้บริการกับแพทย์แบบนี้ คำแนะนำสำหรับแพทย์รุ่นใหม่ก็คือ เราต้องหาให้เจอว่า เรามีความสุขกับการทำอาชีพแพทย์ในสาขาไหน แล้วหาโอกาสเรียนต่อเพื่อที่จะได้ทำงานในสาขานั้น แต่ส่วนตัวอยากให้มีระบบที่มีแพทย์ primary doctor ร่วมกับคนไข้ช่วยกันป้องกันไม่ให้เกิดโรคต่าง ๆ หรือถ้าเกิดโรคแล้วก็ชะลอไม่ให้รุนแรง หรือไม่เป็นโรคที่ต่อเนื่องตามมา ถ้าเป็นแบบนี้ค่าใช้จ่ายจะไม่สูง สามารถกระจายงบไปดูแลคนไข้ในระยะต้น ๆ เป็นจำนวนมากได้
สำหรับแพทย์ที่ดีในมุมมองส่วนตัว ไม่ใช่มีความสามารถรักษาโรคหายาก แต่ต้องสามารถ prevent คนไข้ไม่ให้เป็นโรคได้ เช่น ทำอย่างไรคนไข้เบาหวานจะไม่เป็นโรคไต ทำอย่างไรคนไข้โรคไต จะไม่ต้องล้างไต และกลับไปใช้ชีวิตอย่างปกติ เป็นต้น - การแพทย์เมืองไทยจะเกิด gap หรือช่องว่างระหว่างแพทย์รุ่นเก่า รุ่นกลาง กับแพทย์รุ่นใหม่มากขึ้น เนื่องจากแต่ละรุ่นโตมาด้วยสภาพแวดล้อมในแต่ละด้านที่ต่างกัน ช่องว่างระหว่างรุ่นนี้จะส่งผลตั้งแต่ตอนเรียน จนกระทั่งจบไปทำงาน การเรียนรู้แนวความคิดและยอมรับความเห็นที่แตกต่างกัน จะทำให้ช่องว่างเหล่านี้ลดลง
- การแพทย์แต่ละสาขาจะมีการพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ ๆ โดยจะมีการนำเทคโนโลยี เช่น Digital/AI/Robot ยาและเครื่องมืออุปกรณ์การแพทย์ใหม่ ๆ มาใช้งานมากขึ้น หากแพทย์ไม่ได้ติดตามหาความรู้และศึกษาอย่างต่อเนื่อง ภายใน 3 – 5 ปี ความรู้ที่มีอยู่เดิมอาจใช้ไม่ได้ แพทย์ต้องแบ่งเวลาไปศึกษาหาความรู้ใหม่ ๆ อยู่ตลอดสำหรับเทคโนโลยี AI/Robot ที่กำลังเข้ามา แพทย์ต้องปรับตัวโดยให้การดูแลคนไข้แบบมี empathy, engagement มีการคิดอย่างเป็นระบบ และสื่อสารให้คนไข้มีส่วนร่วมในการรักษาไปกับเรา อย่ารักษาแต่ diseases ไม่เช่นนั้นเทคโนโลยีจะแย่งงานเรา
- แพทย์ในระบบรัฐบาลอาจจะลดลง เนื่องจากปัจจัยต่าง ๆ มากมาย เช่น ภาระงานที่ค่อนข้างมาก สวัสดิการที่ลดลง อาจจะส่งผลต่อระบบสาธารณสุขของไทยในภาพรวมในอนาคต

ถ้าให้เลือกปรับปรุงเพื่อที่จะทำให้การแพทย์ไทยดีกว่าเดิม อยากปรับปรุงเรื่องใด เพราะอะไร
- ให้ความรู้กับคนไข้ เน้นให้คนไข้ดูแลสุขภาพด้วยตัวเอง เพราะการดูแลตัวเองที่ดีเป็นพื้นฐานสำคัญ ของการมีสุขภาพกายใจที่ดีได้ โดยไม่ต้องพี่งยา (life style modification)
- ปรับงบประมาณมาให้ความสำคัญกับการป้องกันโรคให้มากขึ้น เดิมเราให้น้ำหนักกับการรักษามาก ทำให้เกิดค่าใช้จ่ายที่สูง ขณะที่จำนวนผู้ป่วยยังมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างเรื่องฉีดวัคซีนในผู้สูงอายุตัวเองเห็นว่าควรเป็นสวัสดิการหรือฟรีในวัคซีนที่จำเป็น
- ปรับให้การรักษาทางการแพทย์ของเรา เป็นไปตามระดับอาการให้ชัดเจนขึ้น เช่น ระดับรุนแรงน้อย อาจจะเน้นให้แพทย์ทั่วไป ดูแล ระดับรุนแรงปานกลาง อาจจะเน้นให้อายุรแพทย์ ดูแล ระดับรุนแรงมาก เน้นไปที่อายุแพทย์เฉพาะทาง ดูแล คนไข้ก็จะถูกกระจายกันไปตามอาการ ลดความหนาแน่นลง แพทย์ก็จะได้มีเวลาพูดคุยรักษากับผู้ป่วยแต่ละราย ได้ละเอียด ลึก ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
- เพิ่มบุคลากรสายสนับสนุน เช่น พยาบาล ผู้ช่วยพยาบาล เภสัชกร นักกำหนดอาหาร เพื่อให้ดูแลแบบองค์รวมสามารถทำได้อย่างต่อเนื่อง
- พิจารณา เรื่องระบบร่วมจ่าย หรือ Copay เพื่อลดภาระทางสาธารณสุขของประเทศ ในกรณีที่คนไข้บางราย สามารถร่วมรับผิดชอบได้ เพื่อแบ่งปันให้ผู้ที่ขาดแคลนมากกว่า

