ผศ. นพ. พนิต ทักขิญเสถียร
สาขาวิชาโรคติดเชื้อ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
สรุปเนื้อหาการประชุมใหญ่ประจำปี 2568 ครั้งที่ 29 โดย สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย วันที่ 4 พฤษภาคม 2568
ต่อมน้ำเหลืองบริเวณคออักเสบเฉียบพลัน
ต่อมน้ำเหลืองบริเวณคออักเสบเกิดได้จากหลายสาเหตุทั้งไวรัส แบคทีเรีย เป็นต้น โดยสาเหตุแสดงดังตารางที่ 1
ตารางที่ 1 สาเหตุของต่อมน้ำเหลืองอักเสบเฉียบพลัน
การดูแลรักษาเบื้องต้น
- หากผู้ป่วยมีต่อมน้ำเหลืองอักเสบทั้งสองข้าง มักเกิดจากเชื้อไวรัสแนะนำให้สังเกตอาการ
- หากผู้ป่วยมีต่อมน้ำเหลืองอักเสบข้างเดียว โดยปกติมักเกิดจากเชื้อ S.aureus และ S.pyogenes มากที่สุด ยกเว้นมีประวัติการติดเชื้อในช่องปาก ฟันผุจะมีโอกาสติดเชื้อกลุ่ม anaerobic bacteria มากขึ้น ดังนั้นจึงแนะนำให้
- หากไม่มีประวัติติดเชื้อในช่องปากหรือฟันผุร่วมด้วยแนะนำให้ cephalexin ขนาด 25-50 มก./กก./วัน
- หากมีประวัติติดเชื้อในช่องปากหรือฟันผุร่วมด้วยแนะนำให้ amoxicillin-clavulanate โดยให้รูปแบบที่มีปริมาณ clavulanate มาก (เช่น ขนาด 228 และ 457 มก./5 มล. หรือ 1 กรัม/เม็ด) เพื่อให้มีสัดส่วนที่มากพอในการรักษาเชื้อ S.aureus ขนาด 40 – 50 มก./กก./วันของ amoxicillin
- โดยควรซักประวัติการสัมผัสสัตว์ เช่น แมวข่วนหรือกัด ร่วมด้วยซึ่งอาจเป็นสาเหตุของเชื้ออื่น ๆ ที่พบได้ไม่บ่อย และจำเป็นต้องให้ยาปฏิชีวนะที่ต่างออกไป
- หากผู้ป่วยมีอาการรุนแรง เช่น ไข้สูง ก้อนมีขนาดใหญ่ มีโอกาสเป็นฝีหนอง แนะนำตรวจทางห้องปฏิบัติการเพิ่มเติม ได้แก่ CBC, hemoculture, throat swab culture หรือ rapid test for S.pyogenes (หากสงสัย) ultrasound หรือ CT-scan บริเวณต่อมน้ำเหลืองและทำ needle aspiration ส่งตรวจเชื้อ (กรณีที่สงสัยเป็น
ฝีหนอง) และให้ยาปฏิชีวนะรูปแบบฉีดเข้าหลอดเลือดดำ
การติดเชื้อ community-acquired Methicillin-resistant S.aureus (CA-MRSA) และ hospital-acquired MRSA (HA-MRSA) ในประเทศไทย
เชื้อ S.aureus เป็นสาเหตุของการติดเชื้อที่ผิวหนังและเนื้อเยื่ออ่อนที่พบบ่อยในเด็ก นอกจากนี้ยังสามารถกระจายไปยังกระแสเลือด (septicemia) ลิ้นหัวใจอักเสบ ปอดอักเสบ เป็นต้น จากข้อมูลการศึกษาในประชากรเด็กที่ได้รับการรักษาในโรงพยาบาลระดับตติยภูมิในประเทศไทย พบว่า การติดเชื้อ S.aureus เกือบทั้งหมดเป็น (Methicillin-sensitive S.aureus) พบว่าร้อยละ 7.7 เป็นเชื้อ MRSA โดยเป็น HA-MRSA และ CA-MRSA ร้อยละ 5.94 และ 1.61 ตามลำดับและมีแนวโน้มลดลง1 โดยความเสี่ยงในการได้รับเชื้อ HA-MRSA ได้แก่ การมีโรคเรื้อรังที่ต้องเข้ารับรักษาในโรงพยาบาลเป็นประจำ มีประวัตินอนรักษาตัวหรือผ่าตัดในโรงพยาบาล การใส่สายสวนหลอดเลือดดำ ใส่ท่อช่วยหายใจ การมีบุคคลในครอบครัวเป็นบุคลากรทางแพทย์หรือทำงานในสถานพยาบาล เป็นต้น ส่วนความเสี่ยงของการติดเชื้อ CA-MRSA ยังพบได้น้อย แนะนำให้ซักประวัติการเดินทางไปต่างประเทศหรือพื้นที่ที่พบเชื้อ CA-MRSA มากหรือการสัมผัสหรือคลุกคลีกับผู้ที่มีเชื้อ CA-MRSA เป็นเชื้อประจำถิ่น ดังนั้นภาพรวมยังแนะนำให้ยากลุ่ม anti-staphylococcus penicillin เช่น clozacillin, dicloxacillin หรือ 1st generation cephalosporin ได้แก่ cefazolin และ cephalexin เป็นลำดับแรก หากมีความเสี่ยงในการติดเชื้อ MRSA และการติดเชื้อมีความรุนแรงพิจารณาให้ vancomycin เพิ่มเติมระหว่างรอผลยืนยัน
การติดเชื้อ Streptococcus pneumonia ที่รุนแรงหรือมีความเสี่ยงในการดื้อยา
การติดเชื้อ S.pneumoniae ที่มีความรุนแรง ได้แก่ การติดเชื้อในเยื่อหุ้มสมอง การติดเชื้อในกระแสเลือดแบบรุนแรง ปอดอักเสบรุนแรงที่มีหนองในเยื่อหุ้มปอด (severe pneumonia with empyema) เป็นต้น แนะนำให้ vancomycin ร่วมกับยากลุ่ม 3rd generation cephalosporin เช่น ceftriaxone และสามารถหยุดได้ หากพบว่าเชื้อมีความไวต่อยากลุ่ม 3rd generation cephalosporin2
- Pintip S. Noppon W, Watsamon J, et al. Trend of methicillin-resistant Staphylococcus aureus infections among Thai pediatric patients. Chula Med J. 2024;68:161-72.
- Committee on Infectious Diseases, American Academy of Pediatrics. Streptococcus pneumoniae.In: Kimberlin DW, Banerjee R, Barnett ED, Lynfield R, Sawyer MH, editors. Red Book : 2024-2027 Report of the Committee on Infectious Diseases. Itasca, IL: American Academy of Pediatrics;2024.