CIMjournal
ความท้าทายในการดูแล วัยรุ่นที่ติดเชื้อเอชไอวี

ความท้าทายในการดูแล วัยรุ่นที่ติดเชื้อเอชไอวี


พญ. ทวิติยา สุจริตรักษ์อ. ดร. พญ. ทวิติยา สุจริตรักษ์
สาขาวิชาโรคติดเชื้อ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

สรุปเนื้อหาจากงานประชุม การอบรมระยะสั้นจัดโดย สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2560

 

ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ความก้าวหน้าทางการรักษาโรคติดเชื้อเอชไอวีด้วยยาต้านไวรัส (antiretroviral therapy) ทำให้การเสียชีวิตและภาวะทุพพลภาพที่เกิดจากโรคติดเชื้อฉวยโอกาส (opportunistic infections) และโรคเอดส์ (acquired immune def iciency syndrome) ลดลงอย่างมากส่งผลให้เด็กที่ติดเชื้อเอชไอวีจากมารดา (perinatally acquired HIV infection) มีอายุยืนยาวขึ้น และสามารถเติบโตเข้าสู่วัยรุ่นได้เช่นเดียวกับเด็กที่ไม่ติดเชื้อเอชไอวี ดังนั้น ในระบบการดูแลรักษาจึงพบวัยรุ่นกลุ่มนี้เพิ่มจำนวนมากขึ้นตามลำดับ ในขณะเดียวกันเนื่องจากปัจจุบันเยาวชนไทยมีพฤติกรรมเสี่ยง (risky behaviors) โดยเฉพาะอย่างยิ่งพฤติกรรมทางเพศที่ไม่เหมาะสมและการใช้สารเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้นเลือดดำเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากได้รับอิทธิพลของวัฒนธรรมทางตะวันตก ทำให้จำนวนวัยรุ่นที่ติดเชื้อเอชไอวีจากการมีพฤติกรรมเสี่ยง (behaviorally acquired HIV infection) มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน

จากรายงานของโครงการโรคเอดส์แห่งสหประชาชาติ (The Joint United Nations Programme on HIV/AIDS, UNAIDS) เกี่ยวกับสถานการณ์โรคติดเชื้อเอชไอวี ประจำปี พ.ศ. 2558 พบว่า ประเทศไทยมีวัยรุ่นอายุ 10-19 ปี ที่ติดเชื้อเอชไอวีจำนวนประมาณ 12,000 ราย คิดเป็นร้อยละ 2.7 ของผู้ติดเชื้อเอชไอวี ทั้งประเทศโดยเป็นวัยรุ่นติดเชื้อรายใหม่ที่ได้รับการวินิจฉัยในปี พ.ศ. 2558 จำนวนประมาณ 1,300 ราย คิดเป็นร้อยละ 18.8 ของผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ทั้งประเทศ (รูปที่ 1) ดังนั้น ในปัจจุบันวัยรุ่นที่ติดเชื้อเอชไอวีจึงถือเป็นกลุ่มประชากรที่มีความสำคัญและควรได้รับความสนใจจากบุคลากรทางการแพทย์เป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นกลุ่มผู้ติดเชื้อที่มีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา

Adolescents Living with HIV

รูปที่ 1

ลักษณะทางคลินิกของวัยรุ่นที่ติดเชื้อเอชไอวีจากมารดามีความแตกต่างกับวัยรุ่นที่ติดเชื้อจากการมีพฤติกรรมเสี่ยงหลายประการ (รูปที่ 2) กล่าวคือ วัยรุ่นที่ติดเชื้อจากมารดานั้นจะเป็นกลุ่มที่ได้รับเชื้อเอชไอวีตั้งแต่แรกคลอด และเริ่มรักษาด้วยยาต้านไวรัสตั้งแต่อายุยังน้อย ดังนั้น ปัญหาในการดูแลวัยรุ่นเหล่านี้มักเกี่ยวข้องกับภาวะแทรกซ้อนระยะยาว (long-term complications) ที่อาจเกิดจากเชื้อไวรัสเอชไอวีโดยตรง และ/หรือผลข้างเคียงของยาต้านไวรัสที่รับประทานมาเป็นระยะเวลานานรวมถึงปัญหาทางด้านจิตสังคม(psychosocial issues) เป็นหลัก สำหรับวัยรุ่นที่ติดเชื้อจากการมีพฤติกรรมเสี่ยงนั้น ส่วนใหญ่มักเป็นกลุ่มที่ได้รับเชื้อเอชไอวีจากการมีพฤติกรรมทางเพศที่ไม่เหมาะสม เช่น การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน (unprotected sexual intercourse) และการสำส่อนทางเพศ (sexual promiscuity) เป็นต้น ดังนั้น ปัญหาที่พบในการดูแลวัยรุ่นกลุ่มนี้มักเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมเสี่ยงดังกล่าว ซึ่งอาจส่งผลกระทบที่เป็นปัญหาทางสุขภาพและปัญหาทางสังคมตามมา

Adolescents Living with HIV

รูปที่ 2

ปัญหาสำคัญในการดูแลวัยรุ่นที่ติดเชื้อเอชไอวีจากมารดา ได้แก่ ภาวะแทรกซ้อนทางคลินิกในระยะยาว (long-term medical complications) ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นกลุ่มโรคไม่ติดต่อ (non-communicable diseases) เช่น

  • โรคทางระบบหัวใจและหลอดเลือด (cardiovascular diseases) เช่น ภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัวระยะที่ยังไม่แสดงอาการ (subclinical arterial stiffness) เป็นต้น
  • ภาวะแทรกซ้อนทางเมตาบอลิก (metabolic complications) เช่น กลุ่มอาการไขมันกระจายตัวผิดปกติ (lipodystrophy syndrome) ภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ (dyslipidemia) และภาวะดื้อต่ออินซูลิน (insulin resistance) เป็นต้น
  • ความบกพร่องทางระบบประสาทและการเรียนรู้ (neurocognitive disorders) เช่น ความบกพร่องของระดับสติปัญญา (low intelligence quotient) ความบกพร่องด้านความจำ (impaired memory skill) และภาษา (language deficit) รวมถึงความบกพร่องด้านการเคลื่อนไหว (impaired motor coordination) เป็นต้น
  • ภาวะมวลกระดูกเสื่อม (adverse bone health) เช่น มวลกระดูกบาง (low bone mineral density) และความบกพร่องของมวลกระดูกสูงสุด (impaired peak bone mass) เป็นต้น
  • โรคไตบกพร่อง (nephropathy) เช่น ภาวะโปรตีนรั่วในปัสสาวะ (proteinuria) ความผิดปกติของเกลือแร่และอิเล็กโตรไลท์ (electrolyte imbalance) ภาวะไตวายเฉียบพลันและเรื้อรัง (acute and chronic kidneydiseases) เป็นต้น

โดยจากข้อมูลการศึกษาในอดีตพบว่าวัยรุ่นที่ติดเชื้อเอชไอวีจากมารดามีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้มากกว่าวัยรุ่นที่มีสุขภาพแข็งแรงดีที่อยู่ในวัยเดียวกัน ซึ่งความผิดปกติเหล่านี้หากไม่รับการวินิจฉัยและให้การรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มแรก อาจส่งผลให้เกิดอาการที่รุนแรง และภาวะทุพพลภาพ (morbidity) ตามมาได้เมื่อวัยรุ่นเหล่านี้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ ปัญหาอื่น ๆ ที่อาจพบในการรักษาวัยรุ่นที่ติดเชื้อจากมารดา ได้แก่ ปัญหาทางสุขภาพจิต (mental health problems) เช่น โรคซึมเศร้า (depression) และโรควิตกกังวล (anxiety disorder) ซึ่งจากข้อมูลการศึกษาในอดีตชี้ให้เห็นว่าประมาณร้อยละ 24 และ 25 ของวัยรุ่นกลุ่มนี้ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรควิตกกังวล และโรคซึมเศร้า ตามลำดับ ซึ่งโรคเหล่านี้หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษาเป็นระยะเวลานาน อาจนำไปสู่การเกิดปัญหาแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่รุนแรงตามมาได้ เช่น การเรียนล้มเหลว การใช้สารเสพติด การก่ออาชญากรรม รวมถึงการฆ่าตัวตายได้ นอกจากนี้ ปัญหาอนามัยการเจริญพันธุ์ (reproductive health problems) เช่น การมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร (premarital sex) การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน (unprotected sex) ถือเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่พบมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา โดยจากการศึกษาก่อนหน้านี้พบว่าอายุเฉลี่ยที่เริ่มมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก คือ 13-15 ปี สำหรับวัยรุ่นชาย และ 14 ปี สำหรับวัยรุ่นหญิง ซึ่งปัญหาเหล่านี้อาจนำไปสู่การตั้งครรภ์ในวัยรุ่น (adolescent pregnancy) และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (sexually transmitted infections) ต่าง ๆ ได้ ปัญหาสำคัญอีกหนึ่งประการในการดูแลวัยรุ่นที่ติดเชื้อเอชไอวีจากมารดา คือ ปัญหาในการส่งต่อวัยรุ่นไปสู่ระบบการดูแลรักษาแบบผู้ใหญ่ (transition to adult health care) โดยทั่วไปวัยรุ่นมักมีความวิตกกังวล เพราะคลินิกผู้ใหญ่มีความแตกต่างกับคลินิกเด็กและวัยรุ่นหลายประการ ทั้งทางด้านทีมผู้ให้บริการ ลักษณะการให้บริการ จำนวนผู้มารอรับบริการ และสภาพแวดล้อมของคลินิก ดังนั้น การเตรียมกระบวนการส่งต่อวัยรุ่นต้องกระทำอย่างเป็นระบบ เพื่อให้การส่งต่อประสบความสำเร็จและราบรื่นมากที่สุด

สำหรับปัญหาสำคัญในการดูแลวัยรุ่นที่ติดเชื้อเอชไอวีจากการมีพฤติกรรมเสี่ยง มักเกี่ยวข้องกับปัญหาอนามัยการเจริญพันธุ์ (reproductive health problems) เป็นหลัก จากข้อมูลการศึกษาในอดีตพบว่าวัยรุ่นกลุ่มนี้เริ่มมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกที่อายุเฉลี่ย 13 ปี สำหรับวัยรุ่นชาย และ 14 ปี สำหรับวัยรุ่นหญิง โดยพบว่าวัยรุ่นอายุ 13-21 ปี มีจำนวนคู่นอนเฉลี่ยมาแล้ว 15 คน และร้อยละ 60 ยังคงมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันแม้จะทราบสภาวะการติดเชื้อของตนเองแล้ว พฤติกรรมเหล่านี้อาจก่อให้เกิดผลเสียตามมามากมาย เช่น การแพร่กระจายเชื้อไวรัสเอชไอวีไปยังคู่นอน การตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ และการทำแท้ง เป็นต้น ดังนั้น กุมารแพทย์ควรเอาใจใส่ในการให้ความรู้และคำปรึกษาเกี่ยวกับอนามัยการเจริญพันธุ์เมื่อวัยรุ่นกลุ่มนี้มารับการรักษาที่คลินิกอย่างสม่ำเสมอ

โดยสรุป การดูแลวัยรุ่นที่ติดเชื้อเอชไอวีนับเป็นความท้าทายอย่างมาก เนื่องจากอาจพบปัญหาระหว่างการดูแลรักษาหลายประการดังที่ได้กล่าวไปแล้ว ดังนั้นแพทย์ทั่วไป กุมารแพทย์ รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์ทั้งหลายที่ดูแลวัยรุ่นกลุ่มนี้ควรตระหนักถึงความสำคัญของปัญหา และผลเสียที่อาจเกิดขึ้นตามมาในระยะยาว และควรมีแนวทางปฏิบัติเพื่อตรวจคัดกรอง วินิจฉัย รักษา ติดตามและป้องกันปัญหาต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างการดูแลรักษา ทั้งนี้เพื่อให้วัยรุ่นเหล่านี้สามารถเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีในอนาคตเช่นเดียวกับผู้ที่ไม่ติดเชื้อเอชไอวี

 

 

 

PDPA Icon

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

บันทึก