พญ. กวิตา ตรีเมธา
หน่วยโรคติดเชื้อ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
ศ. พญ. กุลกัญญา โชคไพบูลย์กิจ
หน่วยโรคติดเชื้อ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2561 ที่ผ่านมา ที่จังหวัดสระบุรี มีรายงานผู้ป่วยเด็กอายุ 5 – 7 ปี มีอาการไข้ ไอ ปวดเมื่อย อาเจียน บางรายมีอาการถ่ายเหลวได้รับการวินิจฉัยกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (acute myocarditis) ทั้งหมด 4 ราย มี 1 รายเสียชีวิต อีก 3 รายได้รับการรักษาและกลับบ้านได้ตามปกติ หลังจากตรวจสืบค้นเพิ่มเติม พบว่า ผู้ป่วย 3 รายที่รอดชีวิต ติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A H1N1 2009 ผู้ป่วยทุกรายรวมถึงผู้ที่เสียชีวิตร่วมเล่นด้วยกันอย่างใกล้ชิดทั้งที่โรงเรียน ในชุมชน และบ่อน้ำใกล้บ้าน ทุกรายไม่เคยได้รับวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ได้สรุปสาเหตุสำคัญในการระบาดครั้งนี้ว่า น่าจะเกิดจากการติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ A H1N1 2009 และก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อน คือ โรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (acute myocarditis)
โรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (Acute myocarditis)
มีอาการและอาการแสดง ค่อนข้างหลากหลาย เป็นได้ตั้งแต่อาการเหนื่อยหอบเล็กน้อย หรืออาการเจ็บหน้าอก ไปจนถึงหัวใจล้มเหลว ช็อก และเสียชีวิตได้ นอกจากนี้ โรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบยังอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนระยะยาวตามมา ได้แก่ โรคหัวใจล้มเหลวเรื้อรัง (dilated cardiomyopathy with chronic heart failure) เกิดได้จากหลายสาเหตุทั้งจากการติดเชื้อ และไม่ติดเชื้อ การติดเชื้อที่ก่อให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ อาจเกิดจากติดเชื้อไวรัสโดยตรง หรือจากการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันของร่ายกายต่อการติดเชื้อไวรัส (post-viral mediated responses) เชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบที่พบบ่อย ได้แก่ Coxsackie B, Adenoviris, Parvovirus B19, และ HHV6 ส่วน Influenza ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบได้แม้ว่าจะไม่ได้พบบ่อยนัก
ภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ (Extrapulmonary complications of influenza infection)
การติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ที่รุนแรงส่วนใหญ่ มักก่อให้เกิดอาการทางระบบทางเดินหายใจ ปัจจุบันพบว่า การติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สามารถก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนในระบบอื่น ๆ นอกปอดได้หลายระบบ ในที่นี้จะกล่าวถึงภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญ ดังนี้
ตารางที่ 1 แสดงสาเหตุของโรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบจากการติดเชื้อ1
กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (Myocarditis)
การวินิจฉัยใช้อาการและอาการแสดงของผู้ป่วย ร่วมกับค่า cardiac enzymes ที่สูง และการตรวจ echocardiography มีรายงานว่าประมาณร้อยละ 0.4 ถึง 13 ของผู้ใหญ่ที่ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ และนอนโรงพยาบาล มีภาวะแทรกซ้อนเป็นกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ2 นอกจากนี้ยังพบว่า ในผู้ป่วยที่เป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ จากการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ มักไม่มีอาการทางระบบทางเดินหายใจ มีเพียงร้อยละ 40 ที่ได้รับการวินิจฉัยปอดอักเสบ(pneumonia) ร่วมด้วย2
จากการรวบรวมรายงานการเกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบในผู้ใหญ่อายุระหว่าง 17 – 75 ปี จำนวน 44 ราย พบว่าร้อยละ 70 เกิดจากการติดเชื้อ influenza A (H1N1) pdm09 ร้อยละ 11 เกิดจาก influenza B ร้อยละ 4 เกิดจาก influenza A (H3N2) และที่เหลืออีกร้อยละ 14 ไม่ได้แยก subtype2
ลักษณะการดำเนินโรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ ค่อนข้างหลากหลาย ผู้ป่วยมักมีอาการซึ่งเกิดจากการทำงานของหัวใจผิดปกติแบบเฉียบพลัน ได้แก่ เจ็บหน้าอก หอบเหนื่อย เป็นลมหมดสติ ตรวจร่างกายพบความดันโลหิตต่ำ หรือชีพจรไม่สม่ำเสมอ ส่วนใหญ่ (ร้อยละ 97) มักจะเกิดอาการดังกล่าวประมาณ 4 ถึง 7 วันนับจากเริ่มมีไข้ ส่วนน้อย (ร้อยละ 3) มีอาการช้ากว่านี้ คือ ประมาณ 10 วันขึ้นไป นับจากมีไข้ ผู้ป่วยบางรายอาจมาด้วยภาวะแทรกซ้อนของกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ได้แก่ ภาวะหัวใจล้มเหลว (congestive heart failure) หัวใจเต้นผิดจังหวะ (arryhthmias) และอาจมีน้ำในช่องเยื่อหุ้มหัวใจ (pericardial effusion and cardiac temponade) จากการศึกษาพบว่า ภาวะหัวใจล้มเหลวเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยถึงร้อยละ 84 ของผู้ป่วยกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ มากกว่าครึ่งหนึ่ง (ร้อยละ 62) ต้องได้รับการรักษาด้วยการรักษาขั้นสูง เพื่อช่วยพยุงการทำงานของหัวใจ (advanced cardiac support therapy) อย่างไรก็ตาม แม้ว่าผู้ป่วยจะมีอาการรุนแรง แต่พบว่า การทำงานของหัวใจฟื้นตัวค่อนข้างดี มีรายงานการติดตามค่าการบีบตัวของหัวใจ (ejection fraction) จาก echocardiography พบว่า จะกลับมาปกติภายในระยะเวลา 20 วัน2
การรักษาโรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบจากไวรัสไข้หวัดใหญ่ ในปัจจุบันยังมีความหลากหลาย แม้ว่าจะมีรายงานการให้ intravenous immunoglobulin (IVIg) เป็นส่วนมากถึงร้อยละ 703 แต่อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่าการให้ IVIg มีประโยชน์ ส่วนการใช้ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์นั้น ไม่พบว่ามีประโยชน์เช่นกัน นอกจากนี้ ยังพบว่า มีแนวโน้มในการใช้ลดลง3
โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด (Ischemic heart disease)
มีการศึกษามากมาย พบว่า การติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่เพิ่มอัตราการเกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด โดยสันนิษฐานว่าเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ กระตุ้นให้เกิดจากการอักเสบ (systemic proinflammatory response) ส่งผลให้หลอดเลือดที่มีลักษณะเป็น atherosclerosis อยู่เดิม เกิดการอักเสบและกระตุ้นให้เกิดลิ่มเลือดอุดตันได้ โดยที่อัตราการเกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายที่เป็นครั้งแรกในชีวิต (first MI) จะสูงที่สุดใน 3 วันแรกของการติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ หลังจากนั้นจะค่อย ๆ ลดลง นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาซึ่งพบว่า การได้รับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่สามารถช่วยลดการเกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดได้ มีการศึกษาในผู้ป่วยที่เคยเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ พบว่าผู้ที่ได้รับวัคซีนป้องกันไวรัสไข้หวัดใหญ่ มีอัตราการเกิดกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดซ้ำลดลง ในระยะเวลา 12 เดือนหลังได้รับวัคซีน เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้รับวัคซีน มีการศึกษาเมื่อไม่นานมานี้ พบว่า หลังจากการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ จะมีโอกาสเกิดกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดได้มากกว่าการติดเชื้ออื่นถึง 6.3 เท่า4
โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke)
เช่นเดียวกับโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดการติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง (stroke) ในขณะเดียวกัน การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ก็สามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดสมองได้ นอกจากนั้น การให้ยากลุ่ม neuraminidase inhibitor เช่น oseltamivir อย่างรวดเร็วและทันท่วงที สามารถลดความรุนแรงของภาวะแทรกซ้อนของไข้หวัดใหญ่อย่างโรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด และโรคหลอดเลือดสมองได้
โรคสมองอักเสบ หรือความผิดปกติของสมอง (Influenza-associated encephalitis/ encephalopathy หรือ IAE)
ผู้ป่วยมักจะมีอาการทางสมองภายในไม่กี่วันหลังจากติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ ส่วนใหญ่พบการรายงานโรคนี้ในผู้ป่วยเด็ก ซึ่งได้มีการบรรยายย่อยเป็น spectrum ของกลุ่มโรค ดังนี้
- Acute necrotizing encephalopathy (ANE) จะมีอาการรุนแรงและมีรอยโรคที่สมองหลายตำแหน่ง
- Acute encephalopathy with biphasic seizures and late reduced diffusion (AESD)
- Mild encephalitis/encephalopathy with reversible splenial lesion (MERS) ผู้ป่วยมักจะมีอาการไม่รุนแรง และการพยากรณ์โรคดี
- Posterior reversible encephalopathy syndrome (PRES)
สามารถเกิดอาการได้หลังจากมีอาการไข้ไปแล้วหลายวัน หรือสัปดาห์ Spectrum ดังกล่าวมีรายงานแต่ในผู้ป่วยเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะมาด้วยระดับความรู้สึกตัวลดลง (impair level of consciousness) รองลงมา คือ อาการชัก อาการอื่น ๆ ที่อาจพบได้ ได้แก่ อาการอ่อนแรงครึ่งซีก (hemiplegia) เห็นภาพไม่ชัด (vision loss) ตรวจร่างกายอาจพบ cerebellar sign หรือ opisthotonus ได้
มีการรวบรวมภาวะ IAE ในผู้ใหญ่ 28 ราย พบว่า ร้อยละ 61 ติดเชื้อ influenza A (H1N1) ร้อยละ 14 ติดเชื้อ influenza A (H3N2) ร้อยละ 14 ติดเชื้อ influenza A แต่ไม่ได้แยก subtype และร้อยละ 11 ติดเชื้อ influenza B ผลตรวจน้ำในไขสันหลังของผู้ป่วยเกือบครึ่งหนึ่ง (ร้อยละ 46) ผลปกติ ส่วนน้อย (ร้อยละ 17) มีลักษณะ pleocytosis ร้อยละ 17 มีโปรตีนสูง และมีเพียง 1 ใน 5 (ร้อยละ 21) ที่ตรวจพบสารพันธุกรรมของไวรัส ไข้หวัดใหญ่ในน้ำไขสันหลัง
ภาวะแทรกซ้อนทางตา (Ocular manifestations of influenza infection)
ภาวะแทรกซ้อนทางตาพบได้บ่อยในช่วงที่มีการระบาดของโรคไข้หวัดนก ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะมาด้วยเยื่อบุตาอักเสบ (conjunctivitis) อย่างไรก็ตาม พบว่า สามารถเกิดภาวะแทรกซ้อนดังกล่าวในไข้หวัดใหญ่ในคนได้เช่นกัน มีการศึกษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A (H1N1) pdm09 พบว่า ผู้ป่วยร้อยละ 65 ได้รับการวินิจฉัยเยื่อบุตาอักเสบ (conjunctivitis) ร้อยละ 8 มาด้วย uveal effusion syndrome ร้อยละ 3 มีภาวะเส้นประสาทตาอักเสบ (optic neuritis)
ต่อมน้ำลายอักเสบ (Parotitis)
ในช่วงที่มีการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ในปี ค.ศ. 2014 – 2015 ที่ผ่านมา ของประเทศสหรัฐอเมริกา พบมีการรายงานโรคต่อมน้ำลายอักเสบที่ไม่ได้เกิดจากเชื้อคางทูม (non-mumps viral parotitis) ในผู้ป่วย 320 ราย ค่ากลางอายุของผู้ป่วยอยู่ที่ 14.5 ปี ผู้ป่วยประมาณครึ่งหนึ่งมาด้วยอาการไข้และเจ็บคอ ร้อยละ 67 ของผู้ป่วยมีอาการต่อมน้ำลายอักเสบข้างเดียว พบว่า เชื้อที่เป็นสาเหตุของโรคส่วนใหญ่ คือ เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A H3N2 (156 ราย จาก 210 ราย) รองลงมา คือ เชื้อไวรัส HHV6 และ EBV ตามลำดับ5
การรักษาและการป้องกันการติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่
ยาต้านไวรัสสำหรับโรคไข้หวัดใหญ่
- Oseltamivir ออกฤทธิ์ยับยั้งจำเพาะกับเอนไซม์ neuraminidase ของไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดเอและบี ซึ่งมีความสำคัญในขั้นตอนการเพิ่มจำนวน และหลุดออกจากเซลล์ ทำให้ไวรัสไม่สามารถแพร่กระจายไปสู่เซลล์ใหม่ได้ ควรเริ่มยาโดยเร็วที่สุดภายใน 48 ชั่วโมงแรกของอาการป่วย อย่างไรก็ตาม หากมีอาการรุนแรง หรือมีภาวะแทรกซ้อนแม้ว่ามีอาการเกิน 48 ชั่วโมงแล้ว ยังอาจพิจารณาให้ได้ เนื่องจากสามารถลดระยะเวลาการเจ็บป่วยลงได้ 1 วัน และลดการแพร่กระจายเชื้อไวรัสได้ กลไลการดื้อยา oseltamivir มี 2 กลไก ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมของเอนไซม์ neurominidase ซึ่งทำให้ดื้อยาแบบจำเพาะ (drug-specific resistance) และการเปลี่ยนที่ hemagglutinin ทำให้ยาจัดการเชื้อไวรัสได้น้อยลง ซึ่งสามารถทำให้ดื้อยาต้านไวรัสได้หลายตัว ส่วนใหญ่พบการดื้อยาแบบกลไกแรกที่ตำแหน่ง H275Y ทำให้เชื้อไวต่อยาลดลงมากกว่า 400 เท่า อย่างไรก็ตาม ในประเทศไทย พบรายงานการดื้อ oseltamivir น้อยมาก (น้อยกว่าร้อยละ 1)
- Baloxavir ออกฤทธิ์ยับยั้งการเพิ่มจำนวนของเชื้อไวรัส โดยการยับยั้ง cap-dependent endonuclease ของเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ จากการศึกษาในปัจจุบัน พบว่า baloxavir ค่อนข้างปลอดภัย สามารถช่วยลดระยะเวลาของอาการได้ดีกว่าเมื่อเทียบกับยาหลอก และช่วยลดจำนวนไวรัสในเลือดได้รวดเร็วกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับยาหลอก และ oseltamivir ในผู้ป่วยวัยรุ่นและผู้ใหญ่ที่ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน จึงมีการใช้ยานี้ในกรณีที่เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ดื้อต่อยา oseltamivir6 อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เริ่มพบว่า มีเชื้อไวรัสซึ่งดื้อต่อ baloxavir จากการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัสที่ตำแหน่ง 138T/F
วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ (Influenza vaccine)
ในปัจจุบันวัคซีนที่ได้ผลดีเป็นชนิดเชื้อตาย (inactivated influenza) ซึ่งมีแบบ 3 สายพันธุ์ และ 4 สายพันธุ์ สำหรับวัคซีนชนิด 3 สายพันธุ์ ประกอบด้วยสายพันธุ์เอ 2 สายพันธุ์ และสายพันธุ์บี 1 สายพันธุ์ ประสิทธิภาพโดยรวมของวัคซีนในแต่ละปี ขึ้นกับสายพันธุ์ที่ระบาดว่าตรงกันกับวัคซีนมากน้อยเพียงใด ประสิทธิภาพของวัคซีนแบบ 3 สายพันธุ์ โดยรวมอยู่ประมาณร้อยละ 66 หากดูประสิทธิภาพแยกตามสายพันธุ์ พบว่า สายพันธุ์ A/H1N1 ร้อยละ 60 – 83 สายพันธุ์ A/H3N2 ร้อยละ 51 – 84 และสายพันธุ์ B ร้อยละ 58 – 78 สำหรับวัคซีนชนิด 4 สายพันธุ์ ประกอบด้วยสายพันธุ์เอ 2 สายพันธุ์ และสายพันธุ์บี 2 สายพันธุ์ ทำให้มีข้อดีเหนือกว่าชนิด 3 สายพันธุ์ เนื่องจากภูมิคุ้มกันต่อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์บีทั้งสองชนิด ไม่สามารถ cross protection กันได้ ยกตัวอย่างดังนี้
ตารางที่ 2
สรุปคำแนะนำสายพันธุ์ของเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ในวัคซีนชนิด 3 และ 4 สายพันธุ์ที่ได้มีการประกาศโดย WHO ในปี ค.ศ. 2018 – 2019
จากตารางที่ 2 จะเห็นว่าสายพันธุ์ A ที่คาดว่าจะระบาดในปี ค.ศ. 2018 และ 2019 ยังคงเหมือนกัน แต่สำหรับสายพันธุ์ B พบว่า ในปี ค.ศ. 2019 จะเปลี่ยนสายพันธุ์ B ที่ใส่ในวัคซีนชนิด 3 สายพันธุ์จาก Yamagata lineage เป็น Victoria lineage ดังนั้น ผู้ที่ฉีดวัคซีนชนิด 3 สายพันธุ์ Southern hemisphere ซึ่งมักจะเริ่มฉีดได้ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2018 จะไม่มีภูมิต่อ Victoria lineage ซึ่งระบาดช่วงปลายปี 2018 ไปจนถึงต้นปี 2019 แตกต่างจากผู้ที่ฉีดวัคซีนชนิด 4 สายพันธุ์ ซึ่งจะมีภูมิต่อสายพันธุ์ B ทั้ง 2 lineages แล้ว
ภูมิคุ้มกันจะขึ้นดีเพียงพอที่จะป้องกันโรคหลังจากฉีดวัคซีนไปแล้ว 2 สัปดาห์ สำหรับเด็กที่อายุน้อยกว่า 9 ปี ที่ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ครั้งแรกต้องได้รับการกระตุ้นอีก 1 เข็ม ห่างจากเข็มแรก 1 เดือน สามารถให้วัคซีนได้ในผู้ป่วยที่แพ้ไข่ แม้แพ้แบบ anaphylaxis ก็สามารถให้ได้
เอกสารอ้างอิง
- Kindermann I, Barth C, Mahfoud F, Ukena C, Lenski M, Yilmaz A, et al. Update on myocarditis. Journal of the American college of Cardiology. 2012;59:779 – 92
- Sellers SA, Hagan RS, Hayden FG, Fischer II WA. The hidden burden of influenza: A review of the extrapulmonary complications of influenza infection. Influenza and other respitory viruses. 2017;11;372 – 393
- Ghelani SJ, Spaeder MC, Pastor W, Spurney CF, Klugman D. Demographics, trends, and outcomes in pediatric acute myocarditis in the United States, 2006 to 2011. Circulation cardiovascular quality outcomes. 2012;5:622 – 627
- Kwong JC, Schwartz KL, Campitelli MA, Chung H, Crowcroft NS, Karnauchow T, et al. Acute Myocardial Infarction after Laboratory-Confirmed Influenza Infection. The New England Journal of Medicine. 2018;378;345 – 353
- Elbadawi LI, Talley P, Rolfes MA, Millman AJ, Reisdorf E, Kramer NA, et al. Non-mumps viral parotitis during the 2014-2015 influenza season in the United States. Clinical infectious diseases. 2018;67(4);493 – 501
- Hayden FG, Sugaya N, Hirotsu N, Lee N, Menno D, Hurt AC, et al. Baloxavir Marboxil for uncomplicated influenza in adults and adolescents. The New England journal of medicine. 2018;379(10);913 – 923