“เวลาเจออุปสรรครุนแรง ต้องเรียนรู้ที่จะเผชิญกับมันอย่างมีสติ ไม่เสียใจหรือฟูมฟายเกินไป เพื่อกลับมายืนอีกครั้งอย่างเติบโตขึ้นและสง่างาม”
รศ. นพ. นิธิพัฒน์ เจียรกุล
นายกสมาคมอุรเวชช์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ วาระ 2561 – 2562
บทสัมภาษณ์จากวารสาร IDV ฉบับที่ 74 ปี 2561
แรงบันดาลใจในการเลือกเรียนแพทย์ โดยเฉพาะสาขาโรคปอด
จบมัธยมต้นที่โรงเรียนปทุมคงคา แล้วสอบเทียบเข้ามัธยมปลายที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา เลือกเรียนแพทย์ เพราะมีภาพของคนที่เป็นแพทย์ว่าเรียนเก่ง ชอบช่วยเหลือและทำประโยชน์ให้กับคนอื่น จึงประทับใจ และด้วยความที่เรามีผลการเรียนที่ค่อนข้างดี ครอบครัวก็ปลูกฝัง รวมถึงคุณครูก็มีส่วนช่วยในการสนับสนุนให้เป็นแพทย์ ตอนเอนทรานซ์เลือกแต่แพทย์และอาชีพใกล้เคียงติดที่คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
พอจบ 6 ปี เป็นแพทย์ฝึกหัดส่วนกลาง ที่โรงพยาบาลกลางและโรงพยาบาลตากสิน หลังจากนั้นไปใช้ทุนที่โรงพยาบาลไทรโยค จ.กาญจนบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่ชายแดนพม่า มีชนกลุ่มน้อย กะเหรี่ยง มอญ และพม่า ปะปนกับคนไทย มีโรคแถบเมืองร้อน โดยเฉพาะโรคติดเชื้อ เช่น มาลาเรีย ทำหน้าที่แพทย์ทั่วไป รักษาโรคทั้งทางยาและการผ่าตัดเป็นช่วงที่ให้ประสบการณ์ชีวิตในการเป็นแพทย์ได้ดีทีเดียว รู้ถึงบทบาทของแพทย์ว่าทำอะไรได้บ้าง สามารถดัดแปลงเอาความรู้ในโรงเรียนแพทย์ซึ่งมีความพร้อมหลาย ๆ อย่าง ไปใช้ในสถานที่ที่มีความพร้อมไม่เทียบเท่า จึงต้องเรียนรู้และอาศัยการทำงานเป็นทีมร่วมกับวิชาชีพอื่น อีกทั้งยังต้องอาศัยความร่วมมือของชุมชนด้วย ตอนนั้นมีทีมของคณะเวชศาสตร์เขตร้อน ม.มหิดล ไปทำวิจัยได้เห็นแพทย์ที่ทำงานด้านอายุรกรรมโรคติดเชื้อ ตัวเองเลยรู้สึกชอบ รู้สึกว่าเขามีวิธีคิด มีกระบวนการทำงานที่เป็นระบบก่อนใช้ทุนครบพอดีที่โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา จ.กาญจนบุรี มีทุนอายุรกรรม จึงเลือกกลับมาฝึกอบรมต่อด้านนี้ที่ศิริราชนาน 3 ปี ระหว่างที่เป็นแพทย์ประจำบ้านมีความสนใจด้านโรคติดเชื้อและโรคระบบการหายใจเป็นทุน เมื่อจบออกไปต้องทำหน้าที่ของอายุรแพทย์ทุกอย่าง แต่ที่รับผิดชอบจะเป็นผู้ป่วยวัณโรคและผู้ป่วยวิกฤตอื่น ซึ่งส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับระบบการหายใจเป็นหลัก พอดีที่ศิริราช มีตำแหน่งอาจารย์เกษียณและติดต่อมาเราสนใจ จึงย้ายกลับมารับตำแหน่งเป็นอาจารย์โรคระบบการหายใจ หลังจากไปใช้ทุนที่โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนาครบ 2 ปี
อยู่ที่ศิริราช 2 ปี ได้ไปเพิ่มพูนความรู้ที่ McGill University, Canada นาน 1 ปี ในเรื่องภูมิคุ้มกันของมนุษย์ต่อการติดเชื้อวัณโรค ได้ฝึกทักษะการทำงานทางห้องปฏิบัติการและรู้จักแนวคิดของแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ ที่สนใจงานทางด้านนี้ พอกลับได้ 6 เดือน ที่ศิริราชกำลังจะเปิดโปรแกรมการผ่าตัดเปลี่ยนปอด จึงได้ไปดูงานเพิ่มเติมอีก 3 เดือน ที่ University of Cambridge, United Kingdom เสร็จแล้วกลับมาทำงานเป็นอาจารย์อยู่ที่ศิริราชจนถึงปัจจุบัน
สิ่งที่รู้สึกภูมิใจมากที่สุด
สิ่งที่ภูมิใจจริง ๆ แล้วมีหลายเรื่อง แต่ที่รู้สึกภูมิใจมากที่สุดเริ่มจากได้มีโอกาสเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันการแพทย์เก่าแก่ที่เป็นโรงพยาบาลของแผ่นดิน โรงพยาบาลศิริราชที่ถือกำเนิดมานาน ให้การช่วยเหลือดูแลคนไข้ในทุกชนชั้น ตั้งแต่ระดับรากหญ้า จนถึงระดับชั้นสูง
เรื่องที่สอง ผลพลอยได้ที่มาเป็นส่วนหนึ่งของศิริราช คือ ได้มีโอกาสร่วมทีมดูแลรักษาบุคคลสำคัญ ๆ ไม่ว่าจะเป็นฆราวาส พระสงฆ์ และเชื้อพระวงศ์ ถือเป็นความภูมิใจหนึ่งที่ได้ทำหน้าที่วิชาชีพแพทย์ ควบคู่การมีโอกาสใกล้ชิดคนที่ถือว่าเป็นยอดคนทั้งในทางโลกและในทางธรรม ซึ่งน้อยคนที่จะมีโอกาสเช่นนี้
เรื่องที่สาม เรามีความคิดว่าแพทย์เป็นวิชาชีพที่ช่วยเหลือคนอื่นได้มาก จึงทำหน้าที่แพทย์อย่างเต็มความสามารถ เพื่อช่วยให้คนที่เจ็บป่วยได้พ้นทุกข์และมีความสุข รวมถึงญาติของเขาด้วย เป็นความภูมิใจที่ว่าเกิดมาครั้งหนึ่ง ชีวิตเราได้ทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น
เรื่องที่สี่ การเป็นครูแพทย์มีหน้าที่ผลิตคนมาสืบทอดวิชาชีพ มาทำตามความคิดเรา ซึ่งอยากให้วิชาชีพแพทย์เป็นสิ่งที่มีคุณค่าต่อสังคมไปยาวนาน เรามีหน้าที่ที่จะสร้างคนรุ่นใหม่ จึงพยายามถ่ายทอดเพื่อให้เขามีลักษณะที่เราอยากให้เป็นมากที่สุด
นอกจากนั้นคือ ภูมิใจที่ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งนายกสมาคมอุรเวชช์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ วาระ 2561 – 2562 มีความตั้งใจที่อยากทำให้วิชาชีพแพทย์โรคปอดเป็นที่ยอมรับ เป็นที่เชื่อมั่นของสังคม ให้คนภายนอกไว้ใจเรา ศรัทธาเรา อยากให้เราเข้าไปมีส่วนช่วยดูแลรักษาเขา ขณะเดียวกันก็ตั้งใจที่จะผลิตแพทย์โรคปอดรุ่นหลังให้เป็นผู้เชี่ยวชาญในแบบที่เอื้อประโยชน์กับคนในประเทศให้ได้มากที่สุด สิ่งที่หวังไปไกลว่านั้น คือ สามารถชี้นำสังคมไปในทิศทางที่ถูกต้องเหมาะสมเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพ ระบบการหายใจ ตามคำขวัญของสมาคม ที่มีส่วนในการตั้งไว้ คือ “Committed to Lung Health” หรือ “มุ่งมั่นเพื่อสุขภาวะระบบการหายใจ” โดยอยากให้คนไทย และสังคมไทยได้รับการดูแลรักษา ส่งเสริม และป้องกัน ไม่ให้เกิดการเจ็บป่วยในเรื่องระบบการหายใจ
ปัจจัยที่นำไปสู่ความสำเร็จ
ปัจจัยที่ 1 อดทน คือ การไต่ขึ้นที่สูงในวิชาชีพนั้น ๆ ต้องอาศัยความอดทน ความตั้งใจรับผิดชอบงานในหน้าที่ ขยันทำงาน เรียนรู้ที่จะพัฒนาตัวเองต่อเนื่อง เพื่อให้ไปสู่ความสำเร็จในระดับที่สูงขึ้นไปได้เรื่อย ๆ
ปัจจัยที่ 2 อดกลั้น คือ ในการทำงานโดยเฉพาะในวิชาชีพแพทย์นั้นจะต้องทำงานร่วมกับวิชาชีพอื่น ๆ ต้องเจอกับคนไข้ทนทุกข์ทรมานหลายแบบ เจอญาติผู้ป่วยที่ต้องการเรียกร้อง ต้องรู้จักปล่อยวางบางอย่าง รู้จักที่จะควบคุมอารมณ์ จิตใจตัวเอง อดกลั้นต่อสิ่งยั่วยุต่าง ๆ ทั้งในทางที่ดีและทางที่ไม่ดี
ปัจจัยที่ 3 อดออม คือ การพอประมาณ รู้จักกิน รู้จักใช้ รู้จักแบ่งสันปันส่วน รู้จักเอื้ออาทรต่อผู้อื่น
ตอนอยู่ที่โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา ช่วงนั้นมีผู้อำนวยการเป็นจักษุแพทย์ ก็เคารพนบนอบในฐานะรุ่นพี่ ท่านพูดเสมอว่า “ผลดีเกิดจากงานหนัก” การทำงาน ถ้าไม่เกี่ยงงาน รู้จักอดทนทำงาน จะทำให้เราเรียนรู้มากขึ้น มีความก้าวหน้าทางวิชาชีพ ส่วนในเรื่องชื่อเสียง เงินทอง เมื่อถึงเวลาจะมาเอง ไม่จำเป็นจะต้องสร้างความคาดหวังที่มากหรือเร็วเกินไป สมเด็จพระราชบิดาทรงเคยตรัสไว้ทำนองว่า “เป็นแพทย์ คุณไม่รวยนะ แต่จะพอมีพอกิน ถ้าตั้งใจทำงานช่วยเหลือคนอื่น ชื่อเสียงลาภยศก็จะมาหาเราเอง โดยไม่ต้องไขว่คว้า” มันอาจจะไม่มากเท่าวิชาชีพบางอย่าง แต่รับรองว่าคุณจะไม่อด ไม่ยากลำบากในชีวิตของคุณ ถ้าคุณตั้งใจทำงาน จะค่อย ๆ สั่งสมประสบการณ์และชื่อเสียง
กว่าจะถึงวันที่ประสบความสำเร็จ เจออุปสรรคอะไรบ้าง แล้วเอาชนะอย่างไร
การจะไต่เต้าขึ้นที่สูง ก่อนอื่นต้องสร้างความเชี่ยวชาญที่จะนำไปสู่การยอมรับ ตอนกลับมาเป็นอาจารย์ที่ศิริราชใหม่ ๆ ก็เหมือนกับเป็นหมอบ้านนอกกลับเข้ากรุง ต้องทำงานเกี่ยวข้องปรมาจารย์หลาย ๆ ท่าน บางท่านอาจจะเอ็นดูเรา บางท่านอาจจะยังเฉย ๆ รอดูท่าที บางท่านอาจจะมีความรู้สึกดูถูกดูแคลน ก็เป็นธรรมดาของคนส่วนใหญ่ เราต้องสร้างชื่อเสียงและสร้างการยอมรับขึ้นในท่ามกลางหมู่คนที่เก่ง ๆ การทำให้คนยอมรับต้องพยายามแสดงให้เห็นว่า เราจริงจัง รับผิดชอบงานในหน้าที่ ตั้งใจ เอาใจใส่ดูแลผู้ป่วยและงานที่ได้รับมอบหมาย ต้องอดทน พยายามเรียนรู้ พัฒนาตัวเองขึ้น เพื่อให้ผลของการทำเวชปฏิบัติออกมาดี รวมทั้งเรื่องการเรียนการสอน ให้เขาเห็นว่าเราสามารถทำได้ ต้องใช้เวลา ต้องต่อสู้กับตัวเองเหมือนกัน บางครั้งรู้สึกท้อถอย เบื่อหน่าย รู้สึกทำไมต้องทนอยู่ในสภาพแบบนี้ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นกับทุกวิชาชีพ เวลาที่เราต้องการไต่เต้าขึ้นที่สูง เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ในสังคม หรือระบบการแพทย์ของเราเอง เรื่องระบบอาวุโสและระบบอุปถัมภ์เป็นเรื่องที่หนีไม่พ้น การเคารพผู้อาวุโส ไม่ได้หมายความว่า ผู้อาวุโสพูดซ้ายหันขวาหันจะถูกเสมอ เราควรเคารพผู้อาวุโส โดยเมื่อท่านพูดอะไร บอกอะไร เราต้องคิด และต้องใส่ใจใคร่ครวญให้ดี เนื่องจากเขามีประสบการณ์ หวังดีต่อเรา แต่เราอาจจะไม่ต้องทำทั้งหมด อาจเลือกทำเป็นบางอย่างตามความเหมาะสม ไม่ใช่ว่าเมื่อผู้อาวุโสทักแล้วจะเห็นว่าเป็นเรื่องล้าสมัยไปหมด ระบบอาวุโสมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ส่วนระบบอุปถัมภ์เป็นเรื่องที่ฝังรากลึกในสังคมไทย เป็นเรื่องของการมองคน ส่งเสริมคน หรือใช้คนที่ตัวเองชอบหรือที่ตัวเองควบคุมได้ โดยไม่ตัดสินมาจากผลงานและความสามารถของเขาเป็นหลัก สิ่งนี้พบอยู่ประปรายและเป็นอุปสรรคให้การทำงานของเราบางครั้งไม่ราบรื่น เกิดการสะดุดติดขัด ต้องอาศัยเรื่องของการเจรจา ต่อรอง หรือการประนีประนอม แต่บางอย่างที่เป็นหลักการในเรื่องความถูกต้องก็ประนี ประนอมไม่ได้ บางอย่างเรายอมลดราวาศอกโดยไม่ให้ผิดหลักการ เพื่อทำให้เห็นว่าเป้าหมายใหญ่เป็นสิ่งสำคัญกว่ารายละเอียดปลีกย่อย เมื่องานำเร็จ เขาจะยอมรับเราในภายหลัง
ถ้าย้อนเวลากลับไปแก้ไขได้บางเรื่อง อยากกลับไปทำเรื่องใดมากที่สุด
เราเองไม่มีความรู้สึกที่อยากจะกลับไปเปลี่ยนแปลงอดีต อยากมองอดีตเพื่อเอามาใช้เป็นบทเรียนในการที่จะทำไปข้างหน้า สิ่งที่เราได้มาทั้งที่ดีและไม่ดีในอดีต เป็นประสบการณ์ชีวิตการที่ได้รู้จักเพื่อน รู้จักคนหลาย ๆ แบบ ถือว่าเป็นเรื่องค่อนข้างโชคดี เพื่อนฝูงที่คบหาส่วนใหญ่จะเป็นไปในทางที่ดีหมด การเลี้ยงดูของครอบครัวในวัยเยาว์และชีวิตครอบครัวภายหลังก็ค่อนข้างราบรื่น ชีวิตจึงไม่ค่อยได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับอะไรที่ไม่ดีหรือเสื่อมเสีย มีความสมบูรณ์พอควรตามอัตภาพ จึงให้ความสนใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบันคือ ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด และอนาคตที่ดีก็คงจะน่าตามมาเอง
ใครคือบุคคลที่เป็นตัวอย่างในการดำเนินชีวิตหรือการทำงาน
ท่านแรก คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 พระองค์ท่านเป็นอริยบุคคลทางโลก เป็นแบบอย่างของฆราวาสชั้นสูง เป็นผู้ปกครองที่ทรงทศพิธราชธรรม มีแนวคิดที่อยากจะทำอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และมีความสุขในการใช้ชีวิต ทรงเป็นแบบอย่างแนวคิดหลาย ๆ เรื่อง โดยเฉพาะหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งมีหัวใจหลัก 3 ประการ คือ 1. ความพอประมาณ ทั้งเรื่องของการกินอยู่ การใช้จ่าย และหน้าที่การงาน รวมถึงการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ผู้อื่น 2. ความมีเหตุมีผล รู้จักแยกแยะ รู้จักสรุปบทเรียน รู้จักวิเคราะห์ปรากฏการณ์ที่พบทั้งในชีวิตประจำวันและในหน้าที่การงาน 3. ความมีภูมิคุ้มกันที่ดี คือ ต้องมีคุณธรรม จริยธรรม ซึ่งเป็นตัวควบคุมที่จะทำให้มนุษย์อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข อยู่กับคนอื่นโดยที่ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน มีความคิดที่จะทำให้สังคมและหมู่คณะดีขึ้น พัฒนาขึ้น
ท่านที่สอง คือ พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ) ได้มีโอกาสไปดูแลท่านเมื่อปี พ.ศ. 2534 ซึ่งนอกจากเป็นปราชญ์ในทางธรรมแล้ว ยังเป็นปราชญ์ชาวบ้านที่เรียนรู้ด้วยตัวเองเป็นหลักหลังจบการศึกษาขั้นต้นในระบบโดยเฉพาะภาษาอังกฤษที่แตกฉานจนสามารถสอนคนต่างชาติและแต่งหนังสือเป็นภาษาอังกฤษได้ นอกจากนั้น ยังสนใจค้นคว้าติดตามเรื่องประวัติศาสตร์ และวิถีชีวิตของชุมชน คนที่จะเก่งไม่จำเป็นต้องเรียนสูง หากแต่ต้องตั้งใจศึกษา ค้นคว้า เรียนด้วยตัวเอง
ท่านที่สาม พระเทพวิทยาคม (หลวงพ่อคูณ) ได้ดูแลจนท่านสิ้นที่โคราช ท่านเป็นปราชญ์ชาวบ้านอีกแบบหนึ่ง ต่างไปจากท่านพุทธทาสภิกขุ โดยสามารถปฏิบัติเรียนรู้ในทางธรรมแล้วก็สื่อสารไปได้ถึงคนรากหญ้า ในช่วงเวลาส่วนตัวที่ว่างจากกิจและไม่มีอาการเจ็บป่วยรบกวนมาก ท่านจะเล่าเรื่องและสนทนาด้วยอย่างสนุกและมีอารมณ์ขัน แต่ก็แฝงไว้ด้วยแง่คิดและสอดแทรกเรื่องของหลักธรรมเข้าไปโดยเราไม่รู้ตัว
คติหรือหลักการที่ยึดถือปฏิบัติในการดำเนินชีวิต
ผมยึดหลักปรัชญาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ในเรื่องความพอประมาณ ความมีเหตุมีผล และความมีภูมิคุ้มกันที่ดี เป็นปรัชญาที่คน ๆ หนึ่งผ่านชีวิต ผ่านร้อนผ่านหนาว สรุปมาจากประสบการณ์ที่ต่อเนื่องยาวนานหลายคนก็น่าจะเอาไปใช้เป็นแนวคิดในการครองตนได้
มองการแพทย์ของเมืองไทยว่าอย่างไร ทิศทางในอนาคตเป็นอย่างไร
เรากำลังก้าวสู่สังคมผู้สูงวัยโดยสมบูรณ์ในอีก 5 – 10 ปีข้างหน้า หมายถึง ประชากร 14% ของประเทศอายุเกิน 65 ปีขึ้นไป เมื่อโครงสร้างประชากรเปลี่ยนไป ปัญหาสุขภาพก็ไม่เหมือนเดิม เรื่องของการส่งเสริมสุขภาพ โดยเฉพาะผู้สูงอายุ เพื่อให้พวกเขาได้ใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า ขณะเดียวกันก็จะช่วยให้เกิดการใช้ทรัพยากรสุขภาพเพื่อการดูแลรักษาการเจ็บป่วยที่คุ้มค่าและเหมาะสม การส่งเสริมสุขภาพที่ดีเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้เราลดรายจ่ายสุขภาพที่ไม่จำเป็นลงได้ เป็นเรื่องที่ทางการแพทย์จะต้องเตรียมพร้อม
เรื่องที่สอง ต้องยอมรับความแตกต่างของยุคสมัย คนใน Generation นี้ ที่ไปถึง Generation Z หรือ Generation M ซึ่งอยู่ในโลกของเทคโนโลยีอยู่ในโลกที่เกิดมามีความพร้อมระดับหนึ่ง ไม่ต้องดิ้นรนด้วยตนเอง แต่เป็นยุคที่มีการแข่งขันกันพอสมควร คนรุ่นใหม่ที่จะเข้ามาสืบทอดวิชาชีพแพทย์อาจจะถูกหล่อหลอมมาให้มีความคิดที่มองตัวเองเป็นหลักมากกว่าที่จะมองคนอื่น จะมีทางไหนที่ทำให้เขามีการมองโลกให้กว้าง มีการคำนึงถึงประโยชน์ของผู้อื่นและประโยชน์ของส่วนรวม เป็นเรื่องที่เราต้องทำการบ้านกันอย่างหนัก เพื่อให้คนรุ่นใหม่ที่จะมาสืบทอดวิชาชีพเป็นอย่างที่เราอยากให้เป็น หรือในแบบที่ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนและสังคมให้ได้มากที่สุด การพัฒนาหรือการสร้างแพทย์รุ่นใหม่ขึ้นมา ด้านหนึ่งต้องไม่ให้สูญเสียความเป็นตัวตนใน Generation ของเขา ที่สามารถเรียนรู้เรื่องต่าง ๆ ได้ไว ใช้เทคโนโลยีอย่างคล่องแคล่ว ด้านที่จะพัฒนาเขาได้ คือ ความอดทนอดกลั้น ความมีวินัย การรู้จักยืดหยุ่นในชีวิต เวลาเจออุปสรรครุนแรง ต้องเรียนรู้ที่จะเผชิญกับมันอย่างมีสติ ไม่เสียใจ
หรือฟูมฟายเกินไป เพื่อกลับมายืนอีกครั้งอย่างเติบโตขึ้นและสง่างาม
ข้อแนะนำให้แพทย์รุ่นใหม่ว่าจะสำเร็จต้องทำอย่างไร
สำหรับแพทย์ทั่วไปถ้าเรายึดหลักจริยธรรมทางการแพทย์ การคำนึงถึงประโยชน์ของผู้อื่นเป็นหลัก ให้ความเท่าเทียมกันกับคนไข้ ให้การบริการดูแลรักษาโดยไม่เลือกชนชั้นวรรณะ และคำนึงถึงสิทธิอันพึงมีพึงได้ของเขา เราก็จะสามารถประกอบวิชาชีพแพทย์ไปในแนวทางถูกต้อง เป็นที่ยอมรับของคนอื่น เป็นที่นับหน้าถือตา มีเกียรติ มีชื่อเสียง มีลาภยศ
สำหรับผู้ที่เป็นแพทย์เฉพาะทาง เหมือนมีหมวกเพิ่มขึ้นมาอีก คุณจะต้องเป็นที่ปรึกษาเขาใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะทางนั้นให้เกิดประโยชน์ ในอนาคตสังคมเราเป็นสังคมสูงวัย ทรัพยากรสุขภาพของเราจำกัดลง ค่าใช้จ่ายสุขภาพมากขึ้น มาถึงยุคที่เราจะต้องคำนึงถึง high value care คือ การใส่ใจดูแลที่ให้คุณค่าสูงสุด คำว่า คุณค่าสูงสุดไม่ใช่ว่าต้องใช้จ่ายทรัพยากรเครื่องไม้เครื่องมือสูงสุด แต่จะต้องทำให้คนไข้ของเรามีสุขภาพสมบูรณ์ดี หลีกเลี่ยงอันตรายต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นจากกระบวนการการดูแลรักษาคนไข้ และพยายามลดเวชปฏิบัติที่ฟุ่มเฟือยแต่มีประโยชน์น้อย เช่น การตรวจนั่นตรวจนี่ที่ราคาแพง หรือการทำอะไรซ้ำ ๆ หลายอย่างโดยไม่จำเป็น