การศึกษาที่นำเสนอในงาน ESOC 2021 พบว่า ผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตซิสโตลิค (Systolic blood pressure, SBP) แปรปรวนในระยะเวลาสั้น (Short-term variability) หลังเกิดภาวะเลือดออกในสมอง (Intracerebral hemorrhage) จะสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่จะเกิดความบกพร่องของร่างกายในระยะยาว (Long-term disability) โดยค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของความดัน SBP ที่เพิ่มขึ้นทุก ๆ 10 mmHg จะเพิ่มความความเสี่ยงที่จะเกิดความบกพร่องของร่างกายในระยะยาว 18% ที่ 90 วัน
ภาวะเลือดออกในสมอง เป็นภาวะที่มีความเสี่ยงในการเสียชีวิตสูง โดยผู้ป่วยที่รอดชีวิตส่วนใหญ่จะมีความพิการตามมา ในการศึกษาแบบ Meta-analysis ที่จัดทำก่อนหน้า พบว่า ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของความดัน SBP ที่เพิ่มขึ้นทุก ๆ 10 mmHg จะเพิ่มความความเสี่ยงที่จะเกิดความบกพร่องของร่างกายในระยะยาว 40% ที่ 90 วัน อย่างไรก็ตาม การศึกษาดังกล่าวยังมีข้อจำกัด เนื่องจากบางการศึกษายังไม่ได้มีการปรับตัวแปรจากการที่ผู้ป่วยใช้ยาลดความดันโลหิต จึงมีการศึกษาอีกครั้งโดยเป็นการศึกษาแบบ Randomized controlled trials ที่มีจำนวนผู้ป่วยทั้งหมด 6,221 คน วัดความแปรปรวนของความดัน SBP ในระยะสั้น หาค่า SD ตั้งแต่ 1 – 24 ชั่วโมง แล้วดูผลลัพธ์เป็นค่า modified Rankin Scale (mRS) ที่ 90 – 180 วัน
ผลที่ได้ พบว่า ความแปรปรวนของความดัน SBP ในช่วง 1 – 24 ชั่วโมง สัมพันธ์กันเป็นเส้นตรงกับความบกพร่องของร่างกาย โดยค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของความดัน SBP ที่เพิ่มขึ้นทุก ๆ 10 mmHg จะทำให้ค่า Odds ratio (OR) ของ unfavorable shift ของค่า mRS เท่ากับ 1.18 (P < 0.001) นอกจากนี้ ยังพบว่า การใช้ยาลดความดันโลหิตกลุ่มต่าง ๆ เช่น Alpha/Beta- blockers, CCBs, Magnesium sulfate และ Nitrate ก็ส่งผลต่อความบกพร่องของร่างกายในระยะยาว อย่างมีนัยสำคัญด้วยเช่นกัน
ข้อมูลที่ได้จากการศึกษา พบว่า ความดันโลหิตช่วง 1 – 24 ชั่วโมง หลังเกิดภาวะเลือดออกในสมองเป็นสิ่งสำคัญ โดยในผู้ป่วย Acute ICH และผู้ป่วยที่รักษา intensive blood pressure lowering ควรลดความดันโลหิตลงอย่างระมัดระวังตั้งแต่ต้น และในการบริหารยาควรเป็นแบบหยดยาต่อเนื่อง (Continuous infusion) เพื่อลดความแปรปรวนของความดัน SBP และควรศึกษาประเภทของยาที่เหมาะสม เพื่อลดความบกพร่องของร่างกายในระยะยาว
ขอขอบคุณข้อมูลจาก www.medscape.com
ภาพประกอบ www.freepik.com