ระดับไบคาร์บอเนตในเลือดต่ำสัมพันธ์กับการเพิ่มความเสี่ยงในการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุ โรคหัวใจและหลอดเลือด และการเสียชีวิตจากโรคมะเร็ง ดังนั้น การทำให้ระดับไบคาร์บอเนตอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม อาจลดความเสี่ยงในการเสียชีวิตในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2
เบาหวานชนิดที่ 2 เป็นโรคเกี่ยวกับเมแทบอลิก เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด และการเสียชีวิตทุกสาเหตุ 2 – 4 เท่า ไบคาร์บอเนตเกี่ยวข้องกับกระบวนการเมแทบอลิก และทำให้เกิดความสมดุลของกรดด่างในร่างกาย มีการศึกษาในหนู พบว่า การที่มีระดับไบคาร์บอเนตต่ำลดการหลั่งอินซูลินจากตับอ่อน นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลว่าระดับไบคาร์บอเนตที่ต่ำสัมพันธ์กับการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุ รวมถึงโรคหัวใจและหลอดเลือดในผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง
มีการศึกษาแบบการเก็บข้อมูลไปข้างหน้า (Prospective cohort study) รวบรวมข้อมูลผู้ป่วยเบาหวานจำนวน 8,163 คน จากการสำรวจการตรวจสุขภาพและโภชนาการแห่งชาติ ของประเทศสหรัฐอเมริกา ปี 1998 – 2018 รวมถึงมีการวิเคราะห์การถดถอยโลจีสติก พบว่า หลังจากติดตามประชากร 8,163 คน มีประชาการเสียชีวิต 2,310 คน (เสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือด 659 คน และเสียชีวิตจากโรคมะเร็ง 399 คน) หลังจากวิเคราะห์พหุตัวแปร (Multivariate) พบว่า ระดับไบคาร์บอเนตในเลือดต่ำสัมพันธ์กับการเพิ่มความเสี่ยงในการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุ โรคหัวใจและหลอดเลือด และการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยพบความเสี่ยงในการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุเพิ่มขึ้น 40% การเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดเพิ่มขึ้น 48% และการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งเพิ่มขึ้น 84% การเปลี่ยนแปลงอัตราการกรองของไตพบความสัมพันธ์ระหว่างระดับไบคาร์บอเนตในเลือดกับการเสียชีวิตคิดเป็น 12.10% และ 16.94% ของการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุ และการเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดตามลำดับ นอกจากนี้ ระดับคอเลสเตอรอลยังสัมพันธ์กับการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุ และการเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือด คิดเป็น 4.7% และ 10.51% ตามลำดับ
การศึกษาประชากรเบาหวานชนิดที่ 2 ในประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่า ระดับไบคาร์บอเนตในเลือดต่ำสัมพันธ์กับการเพิ่มความเสี่ยงในการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุ โรคหัวใจและหลอดเลือด และการเสียชีวิตจากโรคมะเร็ง เนื่องจากเป็นการศึกษาแบบเก็บข้อมูลไปข้างหน้า จึงควรมีการศึกษาแบบสุ่มและมีกลุ่มควบคุม เพื่อดูความสัมพันธ์ของระดับไบคาร์บอเนตในเลือดกับผู้ป่วยเบาหวานที่มีความเสี่ยงสูง
เรียบเรียงโดย พญ. สุภัทรา จงศิริกุล
อ้างอิงข้อมูลจาก https://doi.org/10.1210/clinem/dgac504