ผล meta-analysis พบว่า การใช้ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนทดแทนในระยะสั้นถึงระยะกลางเพื่อรักษาการขาดฮอร์โมนเพศชายนั้น ไม่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด หรืออัตราการเสียชีวิต
อาการหรือภาวะหลายอย่างในบุรุษ เช่น เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ภาวะโลหิตจางที่ไม่พบเหตุอื่น ภาวะกระดูกพรุน เป็นต้น พบว่า เกิดจากการขาดฮอร์โมนเพศชาย และการให้ฮอร์โมนเพศชายเทสโทสเตอโรนทดแทนเป็นการรักษามาตรฐานสําหรับชายที่มีภาวะขาดฮอร์โมนดังกล่าว แต่ผลจากการศึกษาต่าง ๆ ถึงความปลอดภัยต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดเมื่อใช้ฮอร์โมนกลับไม่สอดคล้องกัน
Jemma Hudson และคณะจากประเทศอังกฤษ ได้ทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบและทำ meta-analysisของงานวิจัยแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุม (RCT) ซึ่งตีพิมพ์ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1992 จนถึง ค.ศ. 2018 จำนวน 35 งานวิจัย จาก 9 ประเทศทั่วโลกที่เข้าเกณฑ์ คือ ทำการศึกษาในบุรุษอายุ 18 ปีขึ้นไปที่มีระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนน้อยกว่า 350 ng/dL ได้รับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนทดแทนไม่ว่าจะในรูปแบบใดอย่างน้อย 3 เดือน และมีการเปรียบเทียบกับยาหลอก รวมผู้เข้าร่วมงานวิจัยทั้งหมด 3,431 ราย อายุเฉลี่ย 65 ปี โดยติดตามนานเฉลี่ย 9.5 เดือน พบว่า ในกลุ่มที่ได้ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนและยาหลอกมีทั้งอัตราการเสียชีวิตและความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดไม่แตกต่างกัน โดยในกลุ่มใช้ฮอร์โมนเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด 120 จาก 1,601 เหตุการณ์ ส่วนกลุ่มที่ใช้ยาหลอกเกิด 110 จาก 1,519 เหตุการณ์ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ประกอบด้วย หัวใจเต้นผิดจังหวะ (52 จาก 166 เทียบกับ 47 จาก 176 เหตุการณ์ ในผู้ที่ได้รับฮอร์โมนและได้ยาหลอกตามลำดับ) หลอดเลือดหัวใจตีบ (33 จาก 166 เทียบกับ 33 จาก 176 เหตุการณ์) หัวใจล้มเหลว (22 จาก 166 เทียบกับ 28 จาก 176 เหตุการณ์) และกล้ามเนื้อหัวใจตาย (10 จาก 166 เทียบกับ 16 จาก 176 เหตุการณ์)
การใช้ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนระยะสั้นถึงระยะกลางไม่เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดในบุรุษที่มีภาวะขาดฮอร์โมนเพศชาย งานวิจัยต่อไปอาจต้องขยายถึงการศึกษาถึงผลระยะยาวต่อไป
- https://www.medscape.com/viewarticle/975273#vp_3
- https://www.thelancet.com/journals/lanhl/article/PIIS2666-7568(22)00096-4/fulltext#%20