ปัจจุบัน คณะทำงาน Kidney Disease Improving Global Outcomes (KDIGO) มีแนวทางสนับสนุนการปลูกถ่ายไตจากผู้ให้ที่ติดเชื้อไวรัส Hepatitis C (HCV) ไปยังผู้รับที่ไม่ติดเชื้อได้แล้ว โดยการให้ยาต้านไวรัสสูตร DAA regimen หรือ Direct-acting antiviral กับผู้รับตั้งแต่เนิ่น ๆ ซึ่งจากงานวิจัยหลายฉบับ พบว่ายานี้มีประสิทธิภาพดีและสามารถให้ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังได้ทุกระยะ
สืบเนื่องจากยังมีผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีจำนวนมากในสหรัฐอเมริกา ตามด้วยปัญหาการหาไตเพื่อปลูกถ่ายได้ยาก ผู้ป่วยต้องรอรับไตนาน เสียโอกาสการมีคุณภาพชีวิตที่ดีและลดอัตราการอยู่รอดคณะทำงานของ KDIGO จึงปรับปรุงคำแนะนำแนวทางการรักษาและปลูกถ่ายไตที่เกี่ยวข้องกับผู้ที่ติดเชื้อ HCV จากปี 2018 โดยมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญหลายประการ
ประการแรก คือ แต่เดิมที่การปลูกถ่ายไตจากผู้ให้ที่ติดเชื้อ HCV จะส่งต่อไปเฉพาะผู้รับที่ติดเชื้อเหมือนกัน แนวทางใหม่สนับสนุนให้สามารถนำไตจากผู้ให้ที่ติดเชื้อ HCV ส่งไปยังผู้รับที่ปลอดเชื้อไวรัสได้ โดยอ้างอิงข้อมูลจากการศึกษาใน THINKER-1 trial ซึ่งพบว่า ไม่ได้ส่งผลเสียต่อค่าอัตราการกรองของไต (eGFR) และคุณภาพชีวิตในผู้รับที่ไม่ได้ติดเชื้อ HCV ที่ได้ไตจากผู้ให้มีเชื้อ HCV เมื่อเปรียบเทียบกับไตจากผู้ให้ที่ไม่มีเชื้อ HCV ทั้งนี้ ผู้รับจะต้องเริ่มยาต้านไวรัสสูตร DAA โดยเร็ว หรือรับก่อนเริ่มปลูกถ่ายไตได้ยิ่งดี สำหรับยาต้านไวรัสในผู้ป่วยติดเชื้อ HCV ตัว Sofosbuvir ที่อยู่ใน DAA regimen ซึ่งก่อนนี้ไม่แนะนำให้ใช้ในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะ 4 – 5 และผู้ฟอกเลือด ก็เปลี่ยนคำแนะนำให้ใช้ได้กับผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังในทุกระยะ อีกการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ คือ จากเดิมแนะนำให้แพทย์เจาะชิ้นเนื้อไตเพื่อวินิจฉัยในผู้ป่วยที่ติดเชื้อ HCV ก่อนเริ่ม DAA regimen ได้เปลี่ยนคำแนะนำ โดยไม่จำเป็นต้องทำอีกต่อไปถ้าผู้ป่วยมีอาการแสดงเข้าได้กับไตอักเสบ (Glomerulonephritis) ซึ่งการเจาะชิ้นเนื้อไตอาจไม่เปลี่ยนแปลงการรักษาในผู้ที่ติดเชื้อ HCV อยู่แล้ว
โดยสรุป แนวทางการรักษาจาก KDIGO ฉบับนี้ได้เสนอทางเลือกที่ดีกว่าเดิมสำหรับผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับผู้ติดเชื้อ HCV จะได้รับการรักษาที่รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และปลอดภัยมากขึ้น
เรียบเรียงโดย พญ. สลิล ศิรินาม
ข้อมูลจาก https://www.medscape.com/s/viewarticle/new-kdigo-guideline
