ระดับไขมันในกล้ามเนื้อต้นขา (Intramuscular fat) ที่สูงจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว โดยความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นนี้ ไม่สัมพันธ์กับปัจจัยเสี่ยงทาง Cardiometabolic อื่น ๆ และค่าดัชนีมวลกาย ซึ่งการวัดระดับไขมันในกล้ามเนื้อต้นขาอาจเป็นหนทางสู่การลดภาวะหัวใจล้มเหลวของผู้ป่วยในอนาคตได้
ความอ้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงในการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว เป็นที่ทราบกันดีว่าไขมันที่สะสมในกล้ามเนื้อนั้นสัมพันธ์การเกิดภาวะแทรกซ้อนทางหัวใจและหลอดเลือดได้ จึงเป็นที่มาของการศึกษานี้ว่าไขมันในกล้ามเนื้อต้นขาที่สูงอาจนำไปสู่ภาวะหัวใจล้มเหลว
ประชากรที่ใช้ในการศึกษาทั้งหมด 2,399 คน มีอายุระหว่าง 70 – 79 ปี และไม่เคยมีประวัติเป็นโรคหัวใจล้มเหลวมาก่อน ใช้ computed tomography ในการวัดระดับไขมันในกล้ามเนื้อ (Intramuscular fat) และไขมันระหว่างกล้ามเนื้อ (Intermuscular fat) ของต้นขา ค่าเฉลี่ยของระยะเวลาที่ติดตามผลการรักษาอยู่ที่ 12 ปี มีอุบัติการณ์การเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว 485 เหตุการณ์ พบว่าระดับไขมันในกล้ามเนื้อต้นขาที่สูงสัมพันธ์กับความเสี่ยงสูงในการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และต้องเป็นภาวะหัวใจล้มเหลวชนิดบีบตัวน้อย (Heart failure with reduced ejection fraction) ซึ่งต่างจากระดับไขมันระหว่างกล้ามเนื้อต้นขาที่ไม่สัมพันธ์กับการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวชนิดใดเลย โดยกลุ่มที่มีระดับไขมันในกล้ามเนื้อต้นขาสูงจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว 34% เมื่อเทียบกับกลุ่มที่มีระดับไขมันในกล้ามเนื้อต้นขาต่ำ และความเสี่ยงนี้ไม่สัมพันธ์กับความเสี่ยงทาง Cardiometabolic อื่น ๆ ข้อสันนิษฐานน่าจะเกิดจากการที่ไขมันในกล้ามเนื้อต้นขากระตุ้นให้เกิดการอักเสบ เกิดภาวะดื้ออินซูลิน (Insulin resistance) ซึ่งเป็นต้นเหตุทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวตามมา อาหารไขมันโดยเฉพาะกรดไขมันอิ่มตัว (Saturated fatty acid) จะเพิ่มการสะสมของไขมันในกล้ามเนื้อ และทำให้เกิดภาวะดื้ออินซูลินเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่อาหารที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวชนิด Monounsaturated fatty acid กลับเป็นตัวที่ทำให้ระดับไขมันในกล้ามเนื้อลดลงแทน
ในอนาคตระดับปริมาณไขมันในกล้ามเนื้อต้นขาอาจมีบทบาทสำคัญเพื่อใช้ในการติดตาม เฝ้าระวัง และลดการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวที่ตามมาได้
ข้อมูลจาก J Am Coll Cardiol HF. 2022;10:485-493, 494-497.