โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ (Atrial fibrillation, AF) เป็นประเด็นความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ และโรคอัมพาตที่สำคัญ แต่ปัจจุบันยังไม่ได้อยู่ระบบคะแนนความเสี่ยงก่อนผ่าตัด หากบรรจุโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ เข้าไปในระบบคะแนนจะทำให้การจัดกลุ่มความเสี่ยง การดูแลและป้องกันความเสี่ยง ทำได้แม่นยำ และได้ประโยชน์สูงขึ้นจากเดิม
การประเมินความเสี่ยงโรคหัวใจก่อนผ่าตัดที่ไม่ใช่การผ่าตัดหัวใจ ในปัจจุบันมีระบบคะแนนที่ใช้หลายตัวแปรเพื่อความแม่นยำ ระบบที่นิยมใช้กันมาก คือ Revised Cardiac Risk Index (RCRI) ใช้บอกโอกาสการเกิดอันตรายจากโรคหัวใจขณะผ่าตัด และหลังผ่าตัด ในปัจจุบันมีข้อมูลที่ระบุว่าหากมี Atrial fibrillation จะเพิ่มโอกาสการเสียชีวิตหลังผ่าตัดในเดือนแรกสูงถึง 30% แต่ยังเป็นการคิดความเสี่ยงโรคเดี่ยว ยังไม่ได้ประเมินว่าร่วมกับปัจจัยอื่น ๆ ของโรคหัวใจตาม RCRI
ผู้วิจัยทำการศึกษาย้อนหลังจากปี 2015 – 2019 ในผู้ป่วยผ่าตัดที่ไม่ใช่โรคหัวใจ จำนวนประมาณแปดล้านคน โดยแบ่งเป็นกลุ่มที่เป็น AF ประมาณ 1.1 ล้านคน และกลุ่มที่มีข้อมูลพื้นฐานใกล้เคียงกลุ่มแรก แต่ไม่ได้เป็น AF ประมาณ 1.9 ล้านคน เนื่องจากเป็นการศึกษาย้อนหลัง ไม่ได้กำหนดเกณฑ์การวิจัยในขณะมีข้อมูล จึงใช้วิธี propensity score matching เพื่อให้ข้อมูลกลุ่มที่ไม่มี AF ใกล้เคียงกันมากพอที่จะเปรียบเทียบได้ พบว่า การมี AF เพิ่มอัตราการเสียชีวิตที่หนึ่งเดือนถึง 31% และหากคิด AF รวมเข้ากับ RCRI แล้วนั้น การมี AF เพิ่มอัตราการเสียชีวิต 1.3 เท่า เพิ่มหัวใจล้มเหลว 1.3 เท่า และเพิ่มอัมพาต 1.4 เท่า ในช่วงหลังผ่าตัดอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่มี AF แต่ที่พบต่างออกไป คือ โอกาสการเกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายจะลดลง เมื่อนำประสิทธิภาพของระบบคะแนนหลังใส่คะแนนของ AF พบว่า การใช้ AF จะเพิ่มความสามารถในการคัดแยกผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงได้มากกว่าการใช้ RCRI แบบเดิมอย่างชัดเจน
Sameer Prasada จาก Cleveland clinic และทีมงาน ได้ทำงานวิจัยตีพิมพ์ใน JACC online เสนอว่าต่อไปควรรวมการมี AF เข้าเป็นการประเมินความเสี่ยงโรคหัวใจหลังผ่าตัด เพราะมีข้อมูลว่ามีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคชัดเจน ไม่ว่าจะคิดแยกเดี่ยว หรือรวมกับการคำนวณ RCRI ที่เคยทำอยู่เดิม และในอนาคตอาจมีการปรับการคำนวณ RCRI ให้มีหัวข้อ AF ในไม่ช้านี้
ผู้เรียบเรียง นพ. ชาคริต หริมพานิช
ข้อมูลจาก https://www.sciencedirect.com/science/article/abs/pii/S0735109722048276