CIMjournal
นพ. ณรงค์กร ซ้ายโพธิ์กลาง

อาจารย์ นพ. ณรงค์กร ซ้ายโพธิ์กลาง สาขาโรคระบบการหายใจ


“หากเรามีเป้าหมายแล้วเราจะมีการวางแผนการปฏิบัติ นั่นคือ ชีวิตมีทิศทางที่ชัดเจน”

รศ. นพ. ณรงค์กร ซ้ายโพธิ์กลาง
อาจารย์หน่วยอายุรศาสตร์โรคระบบการหายใจและเวชบำบัดวิกฤต
ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
และหัวหน้างานตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ
และประธานฝ่ายวิจัย สมาคมสภาองค์กรโรคหืดแห่งประเทศไทย
บทสัมภาษณ์จากวารสาร IDV ฉบับที่ 81 ปี 2562

 

แรงบันดาลใจในการเลือกเรียนแพทย์ โดยเฉพาะสาขาโรคระบบการหายใจและภาวะวิกฤตโรคระบบการหายใจ

จบมัธยมที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้านครราชสีมา สมัยเรียนชอบวิทยาศาสตร์ ชอบการฝึกกระบวนการทดลอง ฝึกความคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล ชอบธรรมชาติ จึงสนใจที่จะเรียนแพทย์ ได้โอกาสเรียนเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล 2 ปี ก่อนย้ายมาเรียนที่คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ การเรียนก็ดำเนินไปอย่างราบรื่น บางวิชาก็ได้คะแนนดี ตรงไหนติดขัดก็มีเพื่อน ๆ คอยช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ที่มีปัญหาอยู่บ้างตอนนั้นคือ เป็นคนที่กลัวเลือดตัวเอง สมัยเรียนวิชาโลหิตวิทยาต้องผลัดกันเจาะเลือด ผมเองหน้ามืดเป็นลมจนเพื่อน ๆ และอาจารย์ต้องมาปฐมพยาบาล โดยส่วนตัวคิดว่าอาการนี้เป็นโรคกรรมพันธุ์ เพราะคนในบ้านมีอาการคล้าย ๆ กันทุกคน

หลังจากจบก็ไปใช้ทุนเป็นแพทย์เพิ่มพูนทักษะที่โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี 1 ปี ตอนนั้นเป็นช่วงที่มีเหตุการณ์สึนามิ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2547 ได้มีส่วนร่วมในการดูแลคนไข้ที่ส่งตัวมาจากจังหวัดชายฝั่งอันดามัน และผู้ป่วยอื่น ๆ ยิ่งทำให้รู้ว่าเรายิ่งชอบวิชาอายุรศาสตร์ จึงมีความสนใจและเลือกเรียนเฉพาะทางในสาขาวิชาอายุรศาสตร์ที่ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล 3 ปี จากนั้นก็กลับมาเป็นอายุรแพทย์ที่ ม.ธรรมศาสตร์ มีความสนใจเรื่องโรคระบบหายใจและเวชบำบัดิกฤตเนื่องจากเห็นผู้ป่วยที่มีปัญหาด้านหายใจและจeเป็นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ประกอบกับการขาดแคลนของตeแหน่งอาจารย์ด้านนี้ จึงไปเรียนต่อทางด้านอายุรศาสตร์โรคระบบการหายใจและภาวะวิกฤตโรคระบบหายใจ อีก 2 ปี จบแล้วก็มาเป็นอาจารย์แพทย์ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อีก 3 – 4 ปี และมีโอกาสได้ไปศึกษาต่อต่างประเทศด้าน Fellowship in Exercise Testing and Chronic Obstructive Pulmonary Disease ที่ David Geffen School of Medicine, UCLA ประเทศสหรัฐอเมริกา อีก 2 ปี และกลับมาเป็นอายุรศาสตร์ทางเดินหายใจ ที่ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จนถึงปัจจุบัน


เป้าหมายที่มีการตั้งไว้ในการเป็นแพทย์หรือการใช้ชีวิต

เป้าหมายด้านการเรียนการสอน ในการเป็นอาจารย์แพทย์ คือการถ่ายทอดความรู้ ประสบการณ์ของตัวเองให้แก่ผู้อื่น ทั้งนักศึกษาแพทย์ แพทย์ที่ฝึกอบรมเฉพาะทาง บุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่ทั้งในและนอกสถาบัน โดยหวังว่า ความรู้ประสบการณ์นั้นจะเป็นประโยชน์แก่ผู้เข้าอบรม โดยสามารถนำไปใช้ในการดูแลรักษาผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีมาตรฐาน

สำหรับตำแหน่งทางวิชาการ ก็จะทำให้สอดคล้องกันกับการเป็นอาจารย์แพทย์ โดยคาดหมายว่า จะได้รับตำแหน่งรองศาสตราจารย์อีกสัก 1 ปีข้างหน้า หลังจากนั้นก็วางแผนจะทำตำแหน่งศาสตราจารย์ในอีก 2 – 3 ปีถัดไป

เป้าหมายด้านการบริการ คือ ให้การดูแลสุขภาพ โดยเฉพาะผู้ป่วยด้านระบบทางเดินหายใจ รวมถึงโรคหืด โรคปอดอุดกั้นเรื้อรังหรือระบบทางเดินหายใจต่าง ๆ ให้มีสุขภาพที่ดีขึ้น จนสามารถดูแลสุขภาพของตัวเองได้ ใช้ชีวิตได้เป็นปกติ ป้องกันภาวะการกำเริบของโรคต่าง ๆ ให้ได้ดีที่สุด ถ้าผู้ป่วยดูแลสุขภาพตัวเองได้ดี ไม่มีการกำเริบบ่อย ไม่ต้องมานอนโรงพยาบาลบ่อย ญาติ ๆ และคนรอบข้างก็จะมีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีความสุขไปด้วย

เป้าหมายด้านการวิจัย การทำงานวิจัยเพื่อให้เกิดองค์ความรู้ใหม่นำไปประยุกต์ใช้ในการดูแลสุขภาพคนไทยให้มีร่างกายแข็งแรง และนำไปพัฒนาการเรียนการสอนในระดับนักศึกษาแพทย์ แพทย์ประจำบ้าน แพทย์ประจำบ้านต่อยอดต่อไป ซึ่งตอนนี้ได้ทำงานวิจัยหลายการศึกษาทั้งในประเทศและร่วมมือกับต่างประเทศ โดยคาดหมายว่า จะมีผลงานวิจัยตีพิมพ์เผยแพร่ปีละอย่างน้อย 1 – 2 เรื่อง เช่น งานวิจัยเกี่ยวกับการสูบบุหรี่ในนักศึกษาที่เป็นนักกีฬา ทำวิจัยกับ ศ. พญ. อรพรรณ โพชนุกูล อยู่ระหว่างการติดตาม และเรื่องโรคหืด โรคปอดอุดกั้นเรื้อรังด้วย

เป้าหมายด้านการบริหาร ปัจจุบันเป็นหัวหน้างานตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ซึ่งเป็นหน่วยงานขนาดเล็ก ดูแลเกี่ยวกับห้องตรวจ อุปกรณ์เครื่องมือการตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์ ก็ตั้งเป้าทำงานให้ดีที่สุด เน้นการทำงานเป็นทีม เป็นการฝึกการบริหารเพื่อเป็นประสบการณ์ในการบริหารองค์กรในระดับสูงขึ้นต่อไป

เป้าหมายส่วนตัว จะเน้นเรื่องการดูแลสุขภาพของตนเอง เพื่อให้สุขภาพกายใจแข็งแรง ซึ่งตอนนี้ก็ออกกำลังกายโดยการวิ่งครั้งละ 5 – 10 กม. คือ ประมาณ 30 – 60 นาที อย่างน้อย 2 – 3 วันต่อสัปดาห์ ก็มีเล่นกีฬาอย่างอื่นเสริมบ้าง เพื่อผ่อนคลายความเครียด

เป้าหมายในส่วนของสมาคมสภาองค์กรโรคหืดแห่งประเทศไทย ช่วยในการดูแล สุขภาพคนไทยด้านการให้ความรู้ทางวิชาการ ในการวิจัยเพื่อนำความรู้นั้นมาดูแลสุขภาพของคนไทยให้สมบูรณ์แข็งแรง


ที่ผ่านมาเป้าหมายที่สำเร็จเกิดจากอะไร

เท่าที่วิเคราะห์ ข้อแรกเลยคือ การมีเป้าหมายที่ชัดเจน แผนการปฏิบัติทั้งระยะสั้นและระยะยาว เช่น ในช่วงสัปดาห์นี้หรือเดือนนี้ เป้าหมายของเราคืออะไร ทำอย่างไรถึงจะทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ส่วนเป้าหมายระยะยาว หมายถึง อีก 5 – 10 ปี ข้างหน้าก็เช่นกัน เราต้องการทิศทางของชีวิตเป็นเช่นไร ก็พยายามทำตามแผนการที่วางเอาไว้ให้ได้มากที่สุด

ข้อที่สอง การมีสมดุลของการใช้ชีวิต ระหว่างการทำงานและการใช้ชีวิตส่วนตัว ที่เรียกว่า Work Life balance พอเราจัดวางได้อย่างลงตัว ก็จะลดภาวะเครียด มีเวลามีสมาธิ ดูแลสุขภาพตนเองและครอบครัว พร้อมทั้งกลับไปทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงลดโอกาสการเกิดภาวะหมดไฟในการทำงาน (burnout syndrome) ข้อต่อมาจะเป็นการมีผู้ร่วมงาน ตั้งแต่ผู้บังคับบัญชา เพื่อนร่วมงานและน้องในหน่วยงานที่ดี เราเคารพให้เกียรติซึ่งกันและกัน รับฟังความคิดเห็นด้วยใจเป็นธรรมและนำข้อเสนอแนะมาปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับงาน เพื่อให้ผลการทำงานภาพรวมออกมาดีสุดท้าย ครอบครัว ซึ่งจะเป็นผู้ให้ทั้งกำลังใจและสนับสนุนทุกอย่างเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังของความสำเร็จของเรา ซึ่งเราเองควรให้ความสำคัญดูแลเป็นอย่างดี


มีบางครั้งที่เป้าหมายไม่สำเร็จเกิดจากอะไร ควรปรับปรุงเรื่องอะไร

งานทุกงานมีอุปสรรคอยู่แล้ว ซึ่งทุกคนก็ต้องแก้ปัญหากันไป แต่ที่พอจะยกตัวอย่างขึ้นมา ได้แก่ การพัฒนาการตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์ เราขาดเครื่องมือที่มีเทคโนโลยีสูงอันเนื่องจากขาดงบประมาณ ซึ่งตอนนั้นเราก็แก้โดยการเสนอความต้องการ อธิบาย ชี้แจงเหตุผลถึงความจำเป็นของการตรวจจนผู้บริหารระดับสูงเข้าใจ ตรงนี้พอมีเป้าหมายที่ชัดเจนแล้ว เราต้องมีความอดทน มุมานะ พิสูจน์ผลงานให้ประจักษ์แก่ผู้บริหารและเพื่อนร่วมงาน ในที่สุดเราก็หาซื้อมาได้

อีกตัวอย่างคือ การทำตำแหน่งวิชาการล่าช้า เนื่องจากการเป็นอาจารย์แพทย์ต้องมีงานหลายด้าน ทั้งการสอน การตรวจผู้ป่วย การบริการวิชาการและการทำวิจัย เมื่อจัดสรรเวลาไม่ดีก็ทำให้ผลงานออกมาล่าช้าตามมาอีกด้วย ซึ่งเราก็แก้โดยการแบ่งสรรเวลาให้เป็นระบบมากขึ้น คือ การคิดทำงานหลาย ๆ สิ่ง จัดลำดับความสำคัญและเริ่มทำทีละอย่าง ค่อย ๆ ปรับแก้ไขจนผลงานออกมาเป็นที่น่าพอใจ ทั้งนี้ ส่วนตัวยังใช้หลักของ WorkLife balance อยู่เสมอ


ในอดีตที่ผ่านมาเวลาประสบปัญหา เหนื่อยหรือท้อปรึกษากับใคร

ก็คงเหมือนกับทุกคนที่การดำเนินชีวิตต้องเจอกับปัญหา ถ้าเป็นเรื่องงานจะปรึกษากับอาจารย์อาวุโสหลายท่าน ขึ้นอยู่กับประเภทของงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีข้อดีคือ ท่านเหล่านั้นมีความรู้ประสบการณ์ที่จะให้ข้อคิดคำแนะนำในการนำมาแก้ไขปัญหาของเราได้ ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัวก็จะปรึกษากับ พ่อ ซึ่งมีข้อดีคือ คุยได้ทุกเรื่องและสนับสนุนทั้งจิตใจและด้านอื่น ๆ


บุคคลต้นแบบในการดำเนินชีวิตหรือการทำงาน

คนแรกเลยคือ รศ. นพ. กัมมาล กุมาร ปาวา ปัจจุบันเป็นรองอธิการบดี ฝ่ายบริหารทรัพยากรมนุษย์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และเป็นอดีตคณบดีคณะแพทยศาสตร์และอดีตคณบดีวิทยาลัยแพทยศาสตร์นานาชาติจุฬาภรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่านเป็นต้นแบบในเรื่องของการใช้ความคิด และการบริหารงานบุคคล โดยท่านเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถหลายด้าน จะสอนหลักการเรื่องความคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล การคิดนอกกรอบเพื่อการพัฒนาตนเองและองค์กร

คนที่สองคือ ศ. พญ. อรพรรณ โพชนุกูล ปัจจุบันเป็นรองอธิการบดี ฝ่ายการนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศทางด้านโรคภูมิแพ้ โรคหืดและโรคระบบหายใจ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ท่านเป็นต้นแบบในเรื่องของความคิดสร้างสรรค์ การทำงานเป็นทีมและการเปิดให้โอกาสคนแสดงผลงาน โดยท่านมีความคิดทำผลงานต่าง ๆ ให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ ทั้งโครงการทางการแพทย์ โครงการเพื่อสังคม งานวิชาการและงานวิจัยโดยเน้นการมีส่วนร่วมของคนและหน่วยงานต่าง ๆ เปิดโอกาสให้ทุกคนมีส่วนร่วมทำงาน

คนที่สามคือ ศ. นพ. สุชัย เจริญรัตนกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และอาจารย์อายุรศาสตร์โรคปอด โรงพยาบาลศิริราช ท่านเป็นต้นแบบในเรื่องของการทำงานเพื่อสังคมโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน โดยท่านเป็นประธานชมรมโรคหืดแห่งประทศไทยและมูลนิธิโรคหืดแห่งประทศไทยเป็นผู้นำในการดูแลสุขภาพคนไทยโดยการจัดกิจกรรมให้ความรู้ทั้งประชาชนทั่วไป ผู้ป่วยโรคหืด และบุคลากรทางการแพทย์อย่างสม่ำเสมอ


คติหรือหลักการที่ยึดถือปฏิบัติในการดำเนินชีวิต

ผมยึดหลัก Work-Life balance เพราะคิดว่าการใช้ชีวิตให้สมดุลระหว่างการทำงานและชีวิตส่วนตัว จะส่งผลต่อผลงานที่แสดงออกมาด้วย

ความพยายามอยู่ที่ใดความสำเร็จอยู่ที่นั่น เพราะบางครั้งผลของความสำเร็จอาจไม่ได้เกิดจากการกระทำเพียงครั้งเดียว อาจต้องใช้ความพยายามทำซ้ำหลาย ๆ ครั้ง จะได้ผลดีตามมา

ทำดีกับคนรอบข้าง เพราะเราเป็นส่วนหนึ่งในสังคม หากเราทำดีกับผู้อื่น ผลดีนั้นจะส่งผลกลับมาถึงเราไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อม

การเรียนรู้ไม่มีวันสิ้นสุด เพราะปัจจุบันโลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ต้องมีการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอทั้งความรู้ด้านการแพทย์และความรู้ทั่วไปที่ไม่ใช่การแพทย์


มองการแพทย์ของเมืองไทยว่าอย่างไร ทิศทางในอนาคตเป็นอย่างไร

เนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบันที่ประเทศไทยเราเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ ที่เรียกว่า Aged society หมายถึง มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่าร้อยละ 20 ขึ้นไป อันเนื่องจากอัตราการเกิดลดลงและคนไทยมีอายุยืนยาวมากขึ้น รวมถึงการพัฒนาประเทศเข้าสู่สังคมดิจิทัล และสังคมแบบไร้พรมแดน มีการเดินทางไปมาของคนชาติต่าง ๆ มาประเทศไทยมากขึ้น ทำให้ทิศทางการแพทย์อนาคตของเมืองไทยจะเน้นการดูแลสุขภาพผู้สูงวัย โดยการบำบัดรักษาโรคต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุ เช่น โรคทางอายุรศาสตร์ โรคของการเสื่อมสภาพ ดังนั้น แพทย์ควรเตรียมความรู้ตนเองด้านวิชาการ รวมถึงการเรียนรู้การใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ อยู่เสมอ ปรับตัวให้พร้อมในการดูแลสุขภาพคนไทยและผู้ป่วยต่างชาติ การใช้นวัตกรรมใหม่ในการดูแลสุขภาพที่เรียกว่า Disruptive innovation จะเข้ามาช่วยการตรวจรักษาด้านสุขภาพมากขึ้น


ข้อแนะนำให้แพทย์รุ่นใหม่ว่าจะสำเร็จต้องทำอย่างไร

สำหรับแพทย์ทั่ว ๆ ไป ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันและทิศทางในอนาคต 1) ต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอทั้งความรู้ด้านการแพทย์และความรู้ทั่วไป เพราะโลกในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว 2) การทำงานเป็นทีม เพราะผลงานใหญ่ ๆ ที่ออกมาดีต้องอาศัยทีมทำงานให้ความช่วยเหลือ และออกความเห็นเสนอแนะเพื่อปรับปรุงเปลี่ยนแปลงจนได้ผลงานที่มีคุณภาพมากที่สุด 3) การตั้งเป้าหมายของชีวิตคืออะไร จะดำเนินชีวิตอย่างไร เพราะหากเรามีเป้าหมายแล้วเราจะมีการวางแผนการปฏิบัตินั่นคือ ชีวิตมีทิศทางที่ชัดเจน 4) การใช้ชีวิตให้สมดุลระหว่างการทำงานและชีวิตส่วนตัว เพราะการทำงานที่ออกมาได้ดี จะเกิดจากการทำงานที่มีความสุข สนุกกับงานที่ทำและไม่เกิดความเคร่งเครียดจนเกินไป

สำหรับแพทย์ในสาขาอายุรศาสตร์ทางระบบหายใจ 1) การฝึกกระบวนการคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล เพราะการเจ็บป่วยหรือโรคที่เกิดขึ้นมักมีต้นเหตุที่มา หากเราคิดตรึกตรองเชื่อมโยงเหตุผลให้ดีจะช่วยให้การดูแลส่งเสริมสุขภาพผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่จำเป็นต้องส่งตรวจมาก หรือใช้ยามากนัก 2) เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงเร็ว แพทย์ต้องเรียนรู้ เพิ่มพูนความรู้อยู่เป็นระยะ

 

PDPA Icon

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

บันทึก