CIMjournal
Banner CIM IDV105

อาจารย์ พญ. รังสิมา โล่ห์เลขา สาขาโรคติดเชื้อ


อยากมีส่วนร่วมช่วยประเทศให้ยุติปัญหาเอดส์ให้สำเร็จในปี 2030 โดยไม่ให้เอดส์เป็นปัญหาสำคัญที่คุกคามทางด้านสาธารณสุขต่อไป

อ.พญ. รังสิมา โล่ห์เลขา
Chief, HIV Treatment and Care Section,
Division of Global HIV and TB, U.S. CDC Thailand Office

 

แรงบันดาลใจในการเลือกเรียนแพทย์ โดยเฉพาะสาขาโรคติดเชื้อ

เรียนมัธยมศึกษาที่โรงเรียนสามเสนวิทยาลัยและโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา โดยมีความคุ้นเคยกับความเป็นแพทย์และการดูแลคนไข้มาตั้งแต่เด็ก เพราะตอนอยู่ที่บ้านก็จะเห็นคุณพ่อคือ อาจารย์ นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา ทำคลินิกเด็กโดยมีคนไข้เด็กมารับการรักษาเป็นประจำ ตัวเองได้เห็นคุณพ่อพูดคุยกับคนไข้เด็กและพ่อแม่เด็ก มีความสุข สนุกสนาน อารมณ์ดี และในแต่ละวันหลังเลิกเรียนคุณแม่ก็จะไปรับลูก ๆ มารอคุณพ่อที่โรงพยาบาลรามาธิบดีทุกวัน ทำให้ลูกทุกคนคุ้นเคยกับโรงพยาบาล หรืออย่างในแต่ละปีก็จะมี residents เด็กมาที่บ้านปีใหม่ รู้สึกชื่นชม พี่ ๆ ที่เป็นหมอว่าเก่ง ทำให้ตนเองรู้สึกคุ้นเคยและอยากที่จะเป็นหมอ โดยนอกจากจะมีความคุ้นเคยแล้ว ส่วนตัวยังเห็นว่าเป็นอาชีพที่มีเกียรติ ได้ทำประโยชน์ให้คนไข้และสังคม และสามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้ ตนเองชัดเจนจึงตัดสินใจที่จะเรียนแพทย์ โดยสอบเทียบได้ที่ คณะแพทยศาสตร์รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งทั้งพี่ชายคือ นพ. ปกรณ์ และน้องชายคือ นพ. ประวีณ  โล่ห์เลขา ก็เป็นหมอเช่นเดียวกัน

สำหรับเหตุผลในการเลือกเรียนกุมารเวชศาสตร์ มี 2 เหตุผล เหตุผลแรกเป็นสาขาที่ตนเองถนัด โดยสอบได้คะแนนที่หนึ่งในรุ่น วิชาทางสาขากุมารฯและสาขาหูคอจมูก แต่สุดท้ายตัดสินใจเลือกเรียนกุมารเวชศาสตร์ เนื่องจากตนเองไม่ถนัดเรื่องการทำหัตถการ ประกอบกับความชอบส่วนตัวจากประสบการณ์ที่บ้านทำให้คุ้นเคยกับเด็ก

 

โดยหลังจากจบคณะแพทยศาสตร์ รามาฯ (เกียรตินิยมอันดับ 1) ได้เลือกไปสมัครเป็นแพทย์ใช้ทุน ที่รพ. ศรีนครินทร์ จังหวัดขอนแก่น ร่วมกับพี่ชาย ตอนเป็นแพทย์ใช้ทุนแผนกกุมารเวชศาสตร์ ปี 4 ต้องเลือกว่าจะไปต่อเฉพาะทางของเด็กในด้านไหน ซึ่งตอนแรกส่วนตัวสนใจ Allergy และโรคติดเชื้อ ได้ไปปรึกษาท่านอาจารย์ พญ. ศรีเวียง ไพโรจน์กุล ซึ่งเป็นหัวหน้าภาคกุมาร ฯ แนะนำว่าวิชาที่มีความก้าวหน้าในด้านการวิจัยมาก ๆ คือ โรคติดเชื้อและฮีมาโต ซึ่งก็สอดคล้องกับที่คุณแม่แนะนำและคุณพ่อก็เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ จึงตัดสินใจเลือกเรียนเฉพาะทางด้านโรคติดเชื้อ พอดีช่วงนั้นอาจารย์ พญ.กุลกัญญา โชคไพบูลย์กิจ เพิ่งจบจากอเมริกามาใหม่ ท่านมีชื่อในการเป็นอาจารย์ที่แอคทีฟและเก่งทางด้านนี้ จึงไปสมัครเรียนโรคติดเชื้อในเด็กที่ศิริราช โดยเรียนรุ่นเดียวกับอาจารย์ พญ.วนัทปรียา พงษ์สามารถ โดยได้มีโอกาสดูแลคนไข้เด็กโรคเอดส์ค่อนข้างเยอะ

พอเรียนจบได้รับโอกาสจากท่านอาจารย์ นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ ชวนไปทำงานโครงการของ U.S. CDC ที่ รพ.เด็ก ส่วนตัวได้ยินชื่อเสียงของ U.S. CDC ว่าเป็นหน่วยงานควบคุมป้องกันโรคระดับนานาชาติ จึงตัดสินใจเข้าทำงานในปี 2002 เป็นโครงการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ด้านคลินิก เพื่อลดการติดเชื้อเอชไอวีจากแม่สู่ลูก ซึ่งตอนนั้นการติดเชื้อยังสูงมากและโรงพยาบาลต่าง ๆ ในประเทศก็ดูแลคนไข้ด้วยคุณภาพที่แตกต่างกัน ต้องขอบพระคุณท่านอาจารย์ นพ. ทวี อีกครั้ง ที่ให้โอกาสตนเองได้ทำงานหลายอย่างทั้งงานวิจัยและงานดูแลคนไข้  ช่วงนั้นเป็นช่วงที่สนุกมาก หลังจากทำงานที่ รพ.เด็กได้สองปี ได้มีโอกาสเข้าทำงานในหน่วยการดูแลรักษาเอชไอวี ที่ศูนย์ความร่วมมือไทย สหรัฐด้านสาธารณสุข หรืออีกชื่อคือ U.S. CDC ประจำประเทศไทยตามที่ตั้งใจไว้ จากนั้นก็ได้รับการโปรโมทเป็นหัวหน้าหน่วยการดูแลเด็กและครอบครัวของโครงการเอดส์และวัณโรคโลก ได้มีโอกาสทำโครงการสำคัญ ๆ หลายอย่างร่วมกับหลายหน่วยงาน รวมถึงต่างประเทศ เช่น การทำเครือข่ายคุณภาพการดูแลเด็กติดเชื้อเอชไอวี โครงการพัฒนาคุณภาพบริการด้านเอชไอวีร่วมกับสถาบันเอดส์ของนิวยอร์ก (HIVQUAL-T) ทั้ง 2 โครงการได้ขยายไปทุกจังหวัด โครงการติดตามประเมินผลและอบรมการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีจากแม่สู่ลูกทั้งในไทยและประเทศเพื่อนบ้าน  การให้บริการปรึกษาแบบคู่ในคลินิกฝากครรภ์ ซึ่งปัจจุบันขยายไปเป็นระบบปกติทั่วประเทศ การทำเครือข่ายการดูแลทารกที่คลอดจากแม่ที่ติดเชื้อเอชไอวีให้ได้รับยาป้องกัน ได้รับการตรวจวินิจฉัยการติดเชื้อเอชไอวีและหากติดเชื้อเอชไอวีให้เริ่มยาต้านเอชไอวีโดยเร็วที่สุด นอกจากนี้ยังมีโครงการที่ทำร่วมกับ รพ. เด็ก และ รพ.ศิริราช เช่น การเปิดเผยผลเลือดเด็กติดเชื้อเอชไอวี โครงการวัยรุ่นที่ติดเชื้อเอชไอวีและการส่งต่อเด็กวัยรุ่นไปคลินิกผู้ใหญ่ นอกจากนี้ยังมีโครงการที่ทำร่วมกับสปป.ลาว เช่น การนำร่องการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีจากแม่สู่ลูกในสปป.ลาว 4 แขวง ได้มีโอกาสไปร่วมทำงานในปาปัวนิวกินี ยูกันดา ศรีลังกาและมาเลเซีย ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ดีและมีคุณค่ามากค่ะ

 

“ประเทศไทยเป็น

ประเทศที่สองของโลก

และประเทศแรกของเอเชีย

ที่ได้รับการรับรอง

การยุติการติดเชื้อเอชไอวี

และซิฟิลิสจากแม่สู่ลูกได้”


เป้าหมายที่มีการตั้งไว้ในการเป็นแพทย์หรือการใช้ชีวิต

เป้าหมายที่เคยตั้งไว้คือ การมีส่วนร่วมช่วยให้ประเทศไทยสามารถรับรองการยุติการติดเชื้อเอชไอวีจากแม่สู่ลูกได้ ซึ่งตอนนี้ก็ทำสำเร็จแล้วตั้งแต่ปี 2016 ด้วยความร่วมมือของหลาย ๆ ท่าน จากหลายภาคส่วน ทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่สองของโลก และประเทศแรกของเอเชียที่ได้รับการรับรองการยุติการติดเชื้อเอชไอวีและซิฟิลิสจากแม่สู่ลูกได้  ซึ่งจากผลงานนี้ทำให้เป็นพนักงานท้องถิ่นที่ไม่ได้เป็นคนอเมริกันคนแรกที่ได้รับรางวัล Kellie Elizabeth Lartigue-Ndiaye Humanitarian Award จาก Division of Global HIV and TB (DGHT), U.S. Centers for Disease Control and Prevention ซึ่งรู้สึกเป็นเกียรติและเป็นความภาคภูมิใจอย่างมาก ทำให้มีความตั้งใจที่จะทำงานอย่างเต็มความสามารถเพื่อให้เป็นประโยชน์กับประเทศต่อไป

หลังจากเป้าหมายแรกสำเร็จ ก็ได้รับโอกาสให้ไปเป็นหัวหน้าหน่วยดูแลรักษาผู้ใหญ่ด้านเอชไอวีและวัณโรค ซึ่งก็ทำโครงการร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข โรงเรียนแพทย์ โรงพยาบาลในสังกัดกทม. โรงพยาบาลจังหวัดของกระทรวงสาธารณสุขใน 10 จังหวัดและสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (สรพ.) มีการทำโครงการส่งเสริมให้เริ่มยาต้านเอชไอวีโดยเร็วที่สุด ให้การปรึกษาเพื่อส่งเสริมการกินยาต้านเอชไอวีและลดการขาดนัดต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีคงอยู่ในระบบและกดระดับไวรัสได้สำเร็จ ได้ทำโครงการเครือข่ายยุติปัญหาเอดส์ในกทม. หรือโครงการ NEAB (Network to End AIDS in Bangkok) โดยเน้นการทำเรื่องการสนับสนุนให้โรงพยาบาลที่มีความพร้อมได้รับการรับรองเฉพาะโรคเอชไอวีจาก สรพ. และได้ทำโครงการส่งเสริมการวินิจฉัยวัณโรคให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่มาด้วยอาการเอดส์โดยใช้ TB Urine LAM ซึ่งโครงการนี้ได้รับรางวัล Global TB champion จาก CDC ในปี 2024

เป้าหมายต่อไปที่อยากทำให้สำเร็จ จากงานที่ทำคือ อยากมีส่วนร่วมช่วยประเทศให้ยุติปัญหาเอดส์ให้สำเร็จในปี 2030 โดยไม่ใช่แปลว่าเป็นศูนย์ แต่หมายถึง ไม่ให้เอดส์เป็นปัญหาสำคัญที่คุกคามทางด้านสาธารณสุข และร่วมกันทำให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีมีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี โดยกิจกรรมที่ทำเริ่มจาก 14 จังหวัดที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อเอชไอวีมากในปีหน้า ตอนนี้ก็เป็นกิจกรรมหลักที่ทาง office DGHT CDC PEPFAR Thailand ให้ความสำคัญโดยทำงานร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข กทม. เครือข่ายภาคประชาสังคม ผู้ติดเชื้อฯ และหน่วยงานหลายภาคส่วน

สำหรับเป้าหมายด้านอื่น ๆ นอกเหนือจากการเป็นแพทย์ก็จะเหมือนท่านอื่น ๆ ที่อยากจะเสริมโดยส่วนตัว ในฐานะแม่ก็จะเป็นการดูแลครอบครัวให้ลูกเติบโตเป็นคนดี พัฒนาศักยภาพได้อย่างเต็มที่  มีความสุข สุขภาพดีและมีคุณภาพในสังคม ในฐานะลูกและภรรยาก็จะเป็นการสนับสนุนให้ทั้งคุณพ่อและสามีมีความสุข ได้ทำในสิ่งที่ชอบ โดยการช่วยแบ่งเบาภาระการบริหารจัดการบางเรื่องมา อีกเป้าหมายคือ มีงานอดิเรกที่ตนเองชอบทำและสามารถทำต่อไปได้ในวัยเกษียณ ซึ่งนอกเหนือจากงานที่ทำด้านเอชไอวีและการเป็นหมอเด็กแล้ว ตอนนี้ก็มีความสนใจเรื่องการทำสวนและการปลูกป่า ปลูกต้นไม้ต่าง ๆ ให้มีสวนที่เป็นศูนย์รวมของครอบครัวและลูกหลานในอนาคตที่จะสามารถใช้เวลาร่วมกัน  

 

“การเป็นคนตอบรับโอกาส
ที่มีผู้มอบให้ และหาความรู้

เพื่อพัฒนาตนเอง
ในเรื่องนั้น ๆ อย่างต่อเนื่อง”


ที่
ผ่านมาเป้าหมายที่สำเร็จ เกิดจากอะไร

จริง ๆ แล้ว เป้าหมายที่สำเร็จได้จะประกอบด้วยปัจจัยทั้งจากภายในและภายนอก แต่จะขอเน้นเฉพาะในส่วนที่น่าจะเกิดจากตัวเองหรือเป็นปัจจัยภายใน ปัจจัยแรก เป็นคนตอบรับโอกาสที่มีผู้มอบให้ และหาความรู้เพื่อพัฒนาตนเองในเรื่องนั้น ๆ อย่างต่อเนื่อง ปัจจัยที่สอง เป็นคนมีความมุ่งมั่น ตั้งใจ ทำตามเป้าหมายที่ตั้งไว้โดยจะมีการประเมินและปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องให้ดีขึ้นตลอด ปัจจัยที่สาม เป็นคนให้ความสำคัญกับความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ และการทำงานเป็นทีม

ขอยกตัวอย่างการใช้ปัจจัยทั้ง 3 ข้อในการทำงานพอให้เห็นภาพนะคะ ตอนปี 2015 ก่อนประเทศไทยจะได้รับ EMTCT of HIV and syphilis validation ทางหัวหน้า UNAIDS regional office ติดต่อมาถามว่า เป็นไปได้ไหมที่ประเทศไทยจะส่งรายงานเพื่อขอรับรองการยุติการถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีจากแม่สู่ลูกจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ภายในอีก 2 เดือนข้างหน้า โดยจะมีทีมงานลงมา pre-visit  2 สัปดาห์หลังส่งรายงาน เพื่อสรุปผล เพราะจะมีประชุมใหญ่ที่ NewYork ถ้าประเทศไทยผ่านการประเมินจะได้ไปรับรางวัลเดือนมิถุนายนในปีนั้น หลังจากนั้นก็มีการติดต่อไปทางกระทรวงสาธารณสุข นพ. สราวุธ บุญสุข กรมอนามัย ว่าเป็นไปได้ไหม ซึ่งหมอสราวุธก็บอกว่าเอาเลยอาจารย์ทำได้ ทำด้วยกัน แล้วก็ร่วมมือกันไปประสานกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งกรมควบคุมโรค กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ มหาวิทยาลัย NGO และเครือข่ายผู้หญิงติดเชื้อ และโรงพยาบาลต่าง ๆ ทุกคนมีเป้าหมายร่วมกันที่อยากทำให้สำเร็จและให้ความสำคัญ ช่วยกันลงข้อมูลในระบบประเมินติดตามระดับประเทศ โดยเราเป็นตัวเชื่อมทำงานร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานต่าง ๆ นำข้อมูลระดับประเทศมาสรุปตามเกณฑ์ขององค์การอนามัยโลก และตอบคำถามต่าง ๆ ตามที่มีการสอบถามไปมาหลายครั้ง ช่วงนั้นทำงานหนักมาก ๆ แต่ทุกคนในทีมก็เอาเป็นธุระทำงานร่วมกันอย่างหนักเช่นกัน รวมถึงหัวหน้า CDC ที่ office Dr. Mike Martin ก็ให้การสนับสนุนงาน อนุญาตให้ใช้เวลาในการทำงานด้านนี้ได้ ทุกคนช่วยเหลือกันคนละไม้คนละมือ เมื่อมีอุปสรรคก็แก้กันไปเป็นรอบ ๆ จนประเทศไทยได้รับการรับรองการยุติการถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีจากแม่สู่ลูกจนสำเร็จ ก็ต้องชื่นชมความร่วมใจของทุกคนในงานนี้ค่ะ


มีบางครั้งที่เป้าหมายไม่สำเร็จเกิดจากอะไร ควรปรับปรุงเรื่องอะไร

งานทุกงานมีอุปสรรคอยู่แล้ว เข้าใจว่าทุกคนก็ต้องแก้ปัญหากันไป ขอยกตัวอย่าง เช่น บางครั้งโครงการที่ทำจบไป 4 – 5 ปี จนผลงานที่ทำไว้ข้อมูลเก่า ยังไม่ได้ตีพิมพ์ ไม่น่าสนใจ ก็จะหาวิธีใหม่ เช่น paper HIV และ STI ที่ทำร่วมกับหลายโรงพยาบาลใน กทม. จึงได้ปรึกษาหัวหน้างานที่ CDC ภายหลังมีการปรับวิธีเขียนใหม่เป็น Number need to screen ทำให้ข้อมูลยังทันสมัยและน่าสนใจ และสามารถตีพิมพ์ในวารสารที่ดีได้แม้ข้อมูลจะเก่า อีกตัวอย่างเช่น ก่อนปี 2020 งานที่ทำยังทำร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยค่อนข้างน้อย ก็ปรึกษาหัวหน้าเพื่อปรับโครงการและ site ที่ดำเนินการให้ทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญ มีโรงพยาบาลขนาดใหญ่ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเข้ามามีส่วนร่วมในโครงการมากขึ้น ทำให้งานมีคุณภาพและงานด้านเอชไอวีที่ได้รับการสนับสนุนจากโครงการ PEPFAR มีการขยายไปในกลุ่มเป้าหมายสถาบันที่มีผู้เชี่ยวชาญที่มีการเรียนการสอนให้นักศึกษาแพทย์และพยาบาลมากขึ้น ซึ่งนักศึกษาเหล่านี้จบออกไปก็อาจนำความรู้ด้านเอชไอวีไปปรับในการทำงานในหลากหลายโรงพยาบาลในจังหวัดต่าง ๆ ต่อไป


บุคคลต้นแบบในการดำเนินชีวิตหรือการทำงาน

ในชีวิตการทำงานทั้งเพื่อนร่วมงานและหัวหน้างานหลายคนทั้งคนไทยและจาก CDC office เป็นต้นแบบในด้านต่าง ๆ ที่ตนเองได้เรียนรู้มาเสมอ อย่างไรก็ตามคนที่เป็นต้นแบบมาก ๆ ในชีวิต ท่านแรกเลยคือ คุณพ่อ อาจารย์ นพ. สมศักดิ์ โล่ห์เลขา ประธานราชวิทยาลัยกุมารแพทย์ฯ อดีตนายกแพทยสภา ท่านเป็นต้นแบบเราในหลายเรื่อง เช่น เรื่องของความขยัน หมั่นเพียร เรียนรู้ต่อเนื่อง การมีเป้าหมายที่ชัดเจน ทำงานได้ดีทั้งด้านวิชาการและการบริหาร เสียสละช่วยเหลือคนอื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน ทั้งการสอนหนังสือ การช่วยเหลือคนไข้หรือหมอต่าง ๆ แม้ไม่รู้จักกันมาก่อน การปล่อยวางไม่คิดเล็กคิดน้อย ใจเย็น มองโลกในแง่บวกและการเป็นพ่อที่ดีที่บริหารเวลาคุณภาพให้การสนับสนุนลูก ๆ ได้ตลอดแม้จะยุ่งแค่ไหนก็ตาม ท่านที่สองคือ อาจารย์ พญ. กุลกัญญา โชคไพบูลย์กิจ ท่านเป็นต้นแบบเราในเรื่องของการทำทันที ตอนที่เป็น Fellow กับอาจารย์ อาจารย์จะแนะนำให้จดบันทึกงานที่จะต้องทำ และโทร.ติดต่อประสานงานทุกอย่างทันที ไม่ทิ้งไว้ นอกจากนี้เห็นตัวอย่างเวลามีปัญหาต่าง ๆ อาจารย์จะไม่ย่อท้อ พยายามหาทางออกในการแก้ปัญหาต่าง ๆ และมีกัลยาณมิตรต่าง ๆ มาช่วยเหลือร่วมมือในการทำงานให้สำเร็จ ท่านที่สามคือ ศ.พิเศษ หิรัญ รดีศรี ท่านเป็นน้องชายของคุณย่า และเป็นคนที่ทุกคนในตระกูลให้ความเคารพ เป็นอดีตผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย เป็นอาจารย์ทางด้านการบัญชีที่ประสบความสำเร็จในหลายด้าน แม้ท่านจะอายุมากกว่า 90 ปีแล้วแต่ยัง active เป็นผู้ให้และเป็นศูนย์รวมนัดรวมลูกหลานในตระกูลให้มาพบเจอกัน ทำให้รู้สึกมีความอบอุ่นและเป็นปึกแผ่นในครอบครัว แม้ส่วนตัวยังทำไม่ได้ทุกอย่างเหมือนบุคคลต้นแบบ แต่ก็เป็นสิ่งที่ชื่นชมและอยากพัฒนาตนเองให้ดีขึ้น โดยเริ่มจากเล็ก ๆ ที่เราทำได้ก่อน 


มองการแพทย์ของเมืองไทยว่าอย่างไร ทิศทางอนาคตเป็นอย่างไร

คิดว่าทิศทางในอนาคตจะมีการนำเทคโนโลยี เช่น Telehealth รูปแบบต่าง ๆ มาใช้ ในการดูแลผู้ป่วย ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ หรือใช้ในการอบรมแพทย์มากขึ้น เพื่อสร้างชุมชนนักปฏิบัติ หรือ Community of Practice ซึ่งจะช่วยให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในเมืองใหญ่สามารถให้ความรู้และการปรึกษากับแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ที่อยู่ในโรงพยาบาลขนาดเล็กหรืออยู่ในที่ห่างไกลที่ไม่มีผู้เชี่ยวชาญ ทำให้คุณภาพบริการดูแลรักษาผู้ป่วย และการพัฒนาศักยภาพแพทย์ต่าง ๆ มีคุณภาพดียิ่งขึ้น  ซึ่งในอนาคตตนเองมองว่าอาชีพแพทย์ ยังเป็นอาชีพยอดนิยมเหมือนเดิม แต่รูปแบบการทำงานอาจเปลี่ยนไป โดยภาพกว้าง ๆ แพทย์น่าจะต้องมีการประสานระหว่างแพทย์สาขาอื่น ๆ บุคลากรทางการแพทย์ และวิชาชีพอื่น ๆ เพิ่มมากขึ้น และอาจมีการร่วมมือกันระหว่างภาครัฐ เอกชน และชุมชนระหว่างหน่วยงานทั้งในและต่างประเทศ มีการใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาใช้ในการทำงาน มีการประสานงานกันในระบบเครือข่ายเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้โครงการต่าง ๆ สำเร็จและมีความยั่งยืน

“อยากให้มีแพทย์
มาทำงานด้าน
public health
และงานวิจัยมากขึ้น

เพราะระบบสาธารณสุขไทย
แม้จะมีความเข้มแข็ง
แต่ยังมีอีกหลายด้าน

ที่พัฒนาให้ดีขึ้นได้”


ถ้าให้เลือกปรับปรุง 2 ข้อ เพื่อที่จะทำให้การแพทย์ไทยในอนาคตดีมากขึ้นไปกว่าเดิม อยากปรับปรุงเรื่องใด เพราะอะไร

เรื่องแรก อยากให้มีแพทย์มาทำงานด้าน public health และงานวิจัยมากขึ้น แพทย์ส่วนใหญ่จะสนใจในการดูคนไข้เป็นหลัก แต่จริง ๆ แล้วงานด้านสาธารณสุขก็เป็นอีกด้านที่มีความสำคัญ ต้องยอมรับว่าปัจจุบันระบบสาธารณสุขไทยมีความเข้มแข็งมากในหลายด้าน แต่ก็ยังมีอีกหลายด้านเช่นกัน ที่อาจพัฒนาให้ดีขึ้นได้ ทั้งด้านการนำข้อมูลที่มีการจัดเก็บไว้ในระบบปกติมาใช้ในการพัฒนาคุณภาพ เพื่อช่วยแก้ปัญหาในบางกลุ่มคน อายุและเพศ ที่ยังมีช่องว่างในการบริการสำหรับโรคต่าง ๆ และข้อมูลนี้ยังสามารถนำไปพัฒนาบริการให้เหมาะสมกับคนไข้รายบุคคล (client centered) และเชิงระบบได้ ซึ่งจะมีผลกับคนไข้จำนวนมาก

เรื่องที่สอง อยากให้มีการทำวิจัยและให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพในทุก ๆ เรื่องให้มากขึ้นเป็น culture หรือวัฒนธรรมองค์กร ตอนสมัยเรียนแพทย์ มีโอกาสทำวิจัยเหมือนกันแต่น้อย เข้าใจว่าปัจจุบันมีการส่งเสริมการวิจัยมากขึ้น ก็น่าจะมีการจัดสรรทุนวิจัยให้มากขึ้น และเรื่องของการพัฒนาคุณภาพ ก็เช่นกัน ตอนไปประชุมต่างประเทศจะเห็นว่า นักศึกษาแพทย์ต่างประเทศมานำเสนอโครงการพัฒนาคุณภาพ เมื่อเขาขึ้นปฏิบัติงานในแผนกต่าง ๆ ทำให้เข้าใจ concept ในการพัฒนาคุณภาพและสามารถทำต่อเนื่องได้ในระบบปกติได้ เทียบกับตอนสมัยที่ตัวเองเรียน การพัฒนาคุณภาพเรียนน้อยมากค่ะ


ฝากข้อแนะนำให้แพทย์รุ่นใหม่ว่าจะประสบความสำเร็จต้องทำอย่างไร

สำหรับแพทย์ทั่วไป ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันและทิศทางในอนาคต เราต้อง 1) ปรับตัวให้ทันกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป  เช่น การใช้ AI สามารถพัฒนางานให้มีคุณภาพได้ดีขึ้น ทั้งด้านช่วยคิด ช่วยเขียนต่าง ๆ แพทย์รุ่นใหม่จำเป็นต้องเรียนรู้การใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับงานของเรา หรือจากสถานการณ์ COVID ทำให้การใช้ Telemedicine มีบทบาทมากขึ้น การประชุม online ก็มีบทบาทมากขึ้นเช่นกัน ทุกเรื่องมีข้อดีและข้อจำกัดที่แพทย์รุ่นใหม่จำเป็นต้องเรียนรู้ และปรับตัว 2) การมองโลกในด้านบวก ข้อนี้มีความหมายกว้าง ๆ ให้แพทย์รุ่นใหม่ที่เจออุปสรรคในการประกอบวิชาชีพ มองในด้านที่เป็นประโยชน์ว่าปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ทำให้เราได้เติบโตและพัฒนาตนเอง พร้อมทั้งมีความอดทน หนักเอาเบาสู้ในการทำงานและการแก้ปัญหา ยิ่งเด็กต้องยิ่งเรียนรู้  3) การให้ความสำคัญกับการสื่อสาร ทั้งกับคนไข้และผู้ร่วมงาน ควรให้เกียรติทุกหน้าที่ที่ร่วมงานกับเรา และควรมีส่วนสำคัญในการส่งเสริมบรรยากาศการทำงานที่ดี 4) สุดท้ายคือ การศึกษาเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ทั้งการศึกษาด้วยตัวเอง การปรึกษาผู้รู้ การเปิดใจรับและเรียนรู้เรื่องใหม่ ๆ

สำหรับเรื่อง เอชไอวี อยากจะเพิ่มเติมในส่วนของ U=U= Undetectable = Untransmittable เอชไอวีไม่เหมือนเดิมแล้ว เอชไอวีรักษาได้ ถ้าได้รับการวินิจฉัย รักษาเร็ว สามารถกดระดับไวรัสในเลือดได้สำเร็จและดูแลสุขภาพตนเองดี ผู้ติดเชื้อเอชไอวีจะมีชีวิตยืนยาวใกล้เคียงหรือเท่ากับคนทั่วไป และไม่ถ่ายทอดเชื้อให้คู่ น่าสนใจว่าโครงการที่ทำร่วมกับโรงเรียนแพทย์และกระทรวงสาธารณสุข พบว่านักศึกษาแพทย์และนักศึกษาพยาบาลบางคน ยังไม่ทราบว่า U=U คืออะไร และข้อมูลพบว่า บางคนก็ยังมีการตีตราและเลือกปฏิบัติต่อผู้ติดเชื้อเอชไอวี เช่น ใส่ถุงมือสองชั้น หลีกเลี่ยงไม่อยากดูแลคนไข้เพราะกลัวติดโรค ซึ่งคิดว่าความรู้เรื่อง U=U และเรื่อง Universal precaution ร่วมกับการสร้างความตระหนักถึงปัญหาและการจัดระบบในโรงพยาบาลที่ดี มีความสำคัญที่จะช่วยลดเรื่องการรังเกียจตีตรา ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ในสถานพยาบาลและชุมชน ซึ่งก็จะเป็นส่วนหนึ่งที่บุคลากรทางการแพทย์ทุกคน สามารถมีส่วนร่วมในการช่วยในการยุติปัญหาเอดส์ในไทยได้ค่ะ

 

แนะนำอ่านบทสัมภาษณ์ Expert interview
  1. ศ. นพ. สมศักดิ์ โล่ห์เลขา
  2. รศ. (พิเศษ) นพ. ทวี โชติพิทยสุนนท์
  3. ศ. พญ. กุลกัญญา โชคไพบูลย์กิจ
  4. รศ. พญ. วนัทปรียา พงษ์สามารถ
PDPA Icon

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

บันทึก