(Estimation of sodium consumption by novel formulas derived from random spot and 12- hour urine collection)
พญ. พิชชาภรณ์ โสนุช นพ. สุรศักดิ์ กันตชูเวสศิริ นพ. วิชัย เอกพลากร และคณะวิจัยของคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับ เครือข่ายลดบริโภคเค็ม สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย งานวิจัยตีพิมพ์ในวารสาร PLoS ONE 16(12): e0260408. https://doi.org/10.1371/journal.pone.0260408
.
การบริโภคโซเดียมที่สูง เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด และโรคไตเรื้อรัง ปัจจุบันการประเมินการบริโภคโซเดียมจากการเก็บปัสสาวะ 24 ชั่วโมงและตรวจวัดปริมาณโซเดียมเป็นวิธีที่ได้รับการยอมรับว่าน่าเชื่อถือและถูกต้องมากที่สุด อย่างไรก็ดีการเก็บปัสสาวะ 24 ชั่วโมงมีข้อจำกัดที่จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือของประชาชนเพื่อเก็บปัสสาวะทุกครั้ง และใช้เวลาในการเก็บค่อนข้างยาวนาน ในอดีตจึงมีการประเมินปริมาณการบริโภคโซเดียมโดยการคำนวณจากผลการเก็บปัสสาวะแบบสุ่มครั้งเดียว ซึ่งผลที่ได้ไม่แม่นยำหรือสอดคล้องกับความเป็นจริง ขณะเดียวกันการเก็บปัสสาวะ 12 ชั่วโมงน่าจะสะดวกและมีความสัมพันธ์กับผลการเก็บปัสสาวะ 24 ชั่วโมงมากกว่า อย่างไรก็ดียังไม่มีการคิดค้นสมการและความสัมพันธ์ของปริมาณโซเดียมจากการเก็บปัสสาวะแบบ 24 ชั่วโมง เปรียบเทียบกับการเก็บปัสสาวะแบบ 12 ชั่วโมง และการเก็บปัสสาวะแบบสุ่ม ทีมผู้วิจัยจึงศึกษาเปรียบเทียบปริมาณโซเดียมที่ขับออกทางปัสสาวะใน 24 ชั่วโมง และปริมาณโซเดียมที่ได้จากการคำนวณจากผลการเก็บปัสสาวะแบบสุ่ม โดยใช้สมการ Kawasaki, Tanaka และ INTERSALT และวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ของตัวแปร รวมทั้งได้คิดค้นสมการใหม่ที่เหมาะสมจากการเก็บปัสสาวะ 12 ชั่วโมงกลางวัน, 12 ชั่วโมงกลางคืน และการเก็บปัสสาวะแบบสุ่ม
จากการเก็บข้อมูลจากบุคลากรในโรงพยาบาลรามาธิบดี 209 คน โดยเก็บปัสสาวะแบบ 12 ชั่วโมงกลางวัน, 12 ชั่วโมงกลางคืน และการเก็บปัสสาวะแบบสุ่ม พบว่าปริมาณโซเดียมเฉลี่ยที่ขับออกทางปัสสาวะจากการวัดจริงคือ 4,055 ± 1,712 มิลลิกรัม/วัน (ชาย 4,307 ± 1,694 และ หญิง 3,882 ± 1,710 มิลลิกรัม/วัน, P=0.078) (ซี่งสูงกว่าความต้องการโชเดียมที่เพียงพอต่อวันคือไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัม) โดยในกลุ่มที่ไม่ใช่บุคลากรด้านสาธารณสุขมีปริมาณโซเดียมเฉลี่ยที่ขับออกจากร่างกายสูงกว่ากลุ่มบุคลากรด้านสาธารณสุข (4,442 ± 1,865 และ 3,617 ± 1,406 มก./วัน ตามลำดับ, P<0.001) นอกจากนี้ผู้ที่มีความดันโลหิตสูงมีปรืมาณโซเดียมในปัสสาวะสูงกว่าผู้ที่มีความดันโลหิตปกติอย่างมีนัยสําคัญ คือ 4,592 ± 1,998 เทียบกับ 3,928 ± 1,618 มิลลิกรัม/วัน ตามลําดับ (P = 0.027)
ตาราง Derived novel equation for estimating 24 hours urine sodium excretion.
และจากการนำปัสสาวะแบบสุ่มมาคำนวณตามสมการพบว่าปริมาณโซเดียมที่คำนวณมีความสัมพันธ์ระดับปานกลาง เมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณโซเดียมที่ขับออกทางปัสสาวะใน 24 ชั่วโมง (r=0.54, P<0.001 สำหรับ Kawasaki; r=0.57, P<0.001 สำหรับ Tanaka; และ r=0.60, P<0.001 สำหรับ INTERSALT) และการใช้ Multivariate linear regression analysis วิเคราะห์ข้อมูลและสร้างเป็นสมการใหม่ที่ประเมินการบริโภคโซเดียมได้แม่นยำขึ้น (ในตาราง) จากผลปัสสาวะที่เก็บแบบ 12 ชั่วโมงกลางวัน (r=0.88, P<0.001), 12 ชั่วโมงกลางคืน (r=0.83, P<0.001), ปัสสาวะแบบสุ่ม (r=0.67, P<0.001), ปัสสาวะ 12 ชั่วโมงกลางวันและการเก็บปัสสาวะแบบสุ่ม (r=0.90, P<0.001), ปัสสาวะ 12 ชั่วโมงกลางคืนและการเก็บปัสสาวะแบบสุ่ม (r=0.83, P<0.001)
สรุปผลจากการศึกษา พบว่า เราสามารถประเมินปริมาณโซเดียมที่ขับออกทางปัสสาวะได้แม่นยำ โดยใช้สูตรที่คิดค้นใหม่จากตัวแปรที่ได้จากการเก็บปัสสาวะแบบ 12 ชั่วโมงกลางวัน หรือ 12 ชั่วโมงกลางคืน แทนการเก็บปัสสาวะแบบ 24 ชั่วโมง ซึ่งจะทำให้สะดวก ช่วยลดระยะเวลาในการเก็บปัสสาวะ และสามารถนำสมการที่ได้จากการศึกษามาประยุกต์ใช้ในการประเมินการบริโภคเกลือโซเดียมของประชาชนได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการติดตามการบริโภคโซเดียมของคนทั้งทางคลินิกและทางระบาดวิทยา
ดาว์นโหลดเอกสารฉบับภาษาอังกฤษ PDF https://doi.org/10.1371/journal.pone.0260408