CIMjournal

Guideline for DR-TB, MDR-TB and XDR-TB treatment in Thailand 2016


ศ. พญ. วิภา รีชัยพิชิตกุล
หน่วยโรคระบบทางเดินหายใจและเวชบำบัดวิกฤต ภาควิชาอายุรศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น


สรุปเนื้อหาจากงานประชุมใหญ่สามัญ และประชุมวิชาการ ประจำปี 2560 จัดโดย สมาคมอุรเวชช์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ วันที่ 19 มกราคม 2560

 

จากรายงานขององค์การอนามัยโลก ปี ค.ศ. 2016 พบผู้ป่วยวัณโรค 10.4 ล้านราย โดย 580,000 ราย เป็นผู้ป่วยวัณโรคดื้อยาชนิด MDR/RR-TB คือ ดื้อต่อ isoniazid (INH) และ rifampicin (RIF) หรือดื้อต่อ rifampicin (RIF) อย่างไรก็ตาม มีผู้ป่วยเพียงร้อยละ 20 คือ 125,000 รายที่ได้รับการวินิจฉัยและขึ้นทะเบียนการรักษา ส่วนผลสำเร็จของการรักษาวัณโรคดื้อยา MDR/RR-TB พบเพียงร้อยละ 52

ในประเทศไทย องค์การอนามัยโลกคาดการณ์ว่า มีผู้ป่วย MDR/RR-TB ประมาณ 2,500 ราย อย่างไรก็ตาม มีผู้ป่วยเพียง 500 รายที่ได้รับการตรวจวินิจฉัยและขึ้นทะเบียนการรักษา โดยร้อยละ 5 ถึง 8 ของ MDR/RR-TB เป็น XDR-TB ผลการรักษาสำเร็จโดยรวมของ MDR/RR-TB และ XDR-TB ประมาณร้อยละ 40 ถึง 50 ดังนั้น แนวทางการรักษาวัณโรคดื้อยาที่ออกมาในปี ค.ศ. 2016 โดยองค์การอนามัยโลก จึงเน้นเรื่องการตรวจวินิจฉัยที่รวดเร็วภายใน 24 ถึง 48 ชั่วโมง ด้วย second-line line probe assay (SL-LPA) เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่เร็วขึ้น ส่วนการรักษาเพื่อให้ได้ผลการรักษาสำเร็จมากขึ้น จึงมีการกล่าวถึง shorter MDR-TB regimen โดยระยะเวลาในการรักษาจะสั้นลงเป็น 9 ถึง 12 เดือน ซึ่งแต่เดิมการวินิจฉัยวัณโรคดื้อยาโดยใช้ผลการเพาะเชื้อ และทดสอบความไวของเชื้อต่อยาใช้เวลานาน 6 ถึง 8 สัปดาห์ และการรักษา MDR-TB ใช้ระยะเวลาในการรักษานานถึง 20 เดือน

การตรวจวินิจฉัยวัณโรคโดย molecular assay ซึ่งเป็นการตรวจที่ได้ผลเร็ว เพื่อค้นหาเชื้อวัณโรคดื้อยา ได้แก่ X-pert MTB/RIF, Hain test (line probe assay, LPA), และ PCR MDR/XDR-TB จึงมีบทบาทมากขึ้น ปัจจุบันในประเทศไทยมีห้องตรวจทางห้องปฏิบัติการที่สามารถตรวจ X-pert MTB/RIF ได้อย่างน้อย 44 แห่ง และที่สามารถตรวจ Hain test ได้อย่างน้อย 13 แห่ง โดยการตรวจ X-pert MTB/RIF เป็น real time PCR สามารถตรวจหาเชื้อวัณโรคและวัณโรคดื้อยา RIF (rifampicin resistance, RR) ในเวลาเดียวกัน โดยใช้เวลาทดสอบ 100 นาที ส่วน Hain test เป็น line probe assay ซึ่งสามารถตรวจว่าเป็นวัณโรค และดื้อต่อ INH และ RIF หรือไม่ ซึ่งถ้าดื้อต่อยาทั้งสอง ก็เป็น MDR-TB ปัจจุบันมี second-line line probe assay (SL-LPA) ซึ่งสามารถตรวจว่าเป็นวัณโรคและดื้อต่อ INH, RIF, fluoroquinolones (FQs), และ secod-line injectable drugs (SLIs) หรือไม่ ถ้าผลดื้อต่อยาดังกล่าว ก็วินิจฉัยว่าเป็น XDR-TB การตรวจ line probe assay ใช้เวลาตรวจ 24 ถึง 48 ชั่วโมง ดังนั้น นอกจากการเสมหะย้อมสีทนกรด (acid fast bacilli smear, AFB smear), การเพาะเชื้อวัณโรค (mycobacterium culture) และทดสอบความไวของเชื้อต่อยา (drug susceptibility test, DST) การตรวจวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการที่ช่วยทำให้การวินิจฉัยวัณโรคดื้อยาเร็วขึ้น คือ การตรวจวินิจฉัยทาง molecular assay โดยผู้ป่วยที่ควรพิจารณาส่งตรวจ X-pert MTB/RIF คือ 1) ผู้ป่วยที่เคยเป็นวัณโรคมาก่อนโดยกลับเป็นซ้ำ รักษาล้มเหลว หรือขาดยา 2) ผู้ป่วยที่เสมหะยังบวกขณะที่ได้ยารักษาวัณโรคเดือนที่ 3 หรือ 5, 3) ผู้ป่วยรายใหม่ที่มีประวัติสัมผัสผู้ป่วยวัณโรคดื้อยา MDR-TB นอกจากนั้น X-pert MTB/RIF ยังสามารถนำมาใช้วินิจฉัยวัณโรคในผู้ป่วยที่ตรวจเสมหะย้อม AFB อย่างน้อย 2 ครั้งยังไม่พบเชื้อ แต่สงสัยวัณโรค อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดของ molecular assay คือ ไม่สามารถใช้ติดตาม sputum conversion ได้ เนื่องจากเชื้อตายก็ยังตรวจพบโดย molecular assay ดังนั้น การดู sputum conversion จึงควรใช้การตรวจเสมหะ AFB และเพาะเชื้อวัณโรค

ปัจจุบันมีการเปลี่ยนการจัดกลุ่มยาจากเดิม 5 กลุ่ม มาเป็นกลุ่ม A, B, C และ D โดยจัดตามประสิทธิภาพของยาในการรักษาวัณโรคดื้อยา ซึ่งยากลุ่มหลักที่ให้พิจารณาเลือกใช้ คือ กลุ่ม A, B, และ C ถ้าสูตรการรักษามียาน้อยกว่า 4 ขนาน จึงพิจารณาใช้ยากลุ่ม D เป็นยาร่วมในสูตรการรักษา กลุ่มยา A, B, C และ D ตามองค์การอนามัยโลกใหม่ มีดังรูปที่ 1 ซึ่งจะเห็นว่า linezolid (Lzd) และ clofazimine (Cfz) ถูกจัดเป็น core drugs ส่วน bedaquiline (Bdq) และ delamanid (Dlm) ถูกจัดเป็น add-on agents ในการรักษาวัณโรคดื้อยา ยา p-aminosalicylic acid (PAS) ซึ่งแต่เดิมเป็น core drugs ปัจจุบันถูกจัดอยู่ในกลุ่ม add-on agents เนื่องจากประสิทธิภาพด้อยกว่ายาตัวอื่น

รูปที่ 1 กลุ่มยาที่ใช้ในการรักษาวัณโรคดื้อยา RR และ MDR-TB
.

รูปที่ 2 สูตรยาที่ใช้ในการรักษาวัณโรคดื้อยาชนิด mono- และ poly-resistant TB

 

สูตรยารักษา MDR/RR-TB หรือ standardized MDR-TB regimen ที่แนะนำให้ใช้ในประเทศไทย คือ > 6Km5LfxEtoPCs / > 14LfxEtoPCs ซึ่งระยะ intensive phase จะประกอบด้วย kanamycin (ฉีดเข้ากล้ามวันจันทร์ถึงศุกร์), levofloxacin, etionamide, p-aminosalicylic acid และ cyclocerine โดยจะฉีดยานาน 6 ถึง 8 เดือน หลังจากนั้นจะหยุดยาฉีดและให้รับประทานยาต่อ รวมระยะเวลาของการรักษานาน 20 เดือน เมื่อผลเพาะเชื้อและทดสอบความไวของเชื้อต่อยากลับมา จึงปรับสูตรยาเป็น individualized regimen ซึ่งขึ้นกับว่าเชื้อดื้อหรือไวต่อยาอะไร ถ้าเป็น mono- หรือ poly-drug resistant TB ก็ปรับหายาที่เชื้อไวต่อยา 3 ถึง 4 ขนานในการรักษา ดังรูปที่ 2 แต่ถ้าเป็น pre-XDR- หรือ XDR-TB ก็หายาที่เชื้อไวต่อยาอย่างน้อย 4 ขนานในการรักษา เช่น pre-XDR-TB ที่เชื้อดื้อต่อ aminoglycoside แต่ไวต่อยา fluoroquinolone แนะนำให้ใช้ levofloxacin, capreomycin,clofazimine และ linezolid ถ้า pre-XDR-TB ที่เชื้อดื้อต่อ fluoroquinolone แต่ไวต่อยา aminoglycoside แนะนำให้ใช้ moxifloxacin (ถ้าเชื้อยังไวต่อ moxifloxacin), kanamycin,clofazimine และ linezolid ส่วน XDR-TB คือ เชื้อดื้อต่อทั้ง fluoroquinolone และ aminoglycoside แนะนำให้ใช้ moxifloxacin (ถ้าเชื้อยังไวต่อ moxifloxacin), capreomycin, clofazimine,linezolid และ bedaquiline โดยจะพิจารณาหยุดยาฉีด (intensive phase) เมื่อ sputum conversion แล้ว 4 เดือน และจะพิจารณาหยุดยา (continuation phase) เมื่อ sputum conversion แล้ว 18 เดือน

รูปที่ 3 สูตรยาที่ใช้ในการรักษาวัณโรคดื้อยาชนิด MDR/RR-TB

 

รูปที่ 4 Active pharmacovigilance ในการติดตามผลข้างเคียงจากการใช้ยา

 

ส่วน shorter MDR-TB regimen เป็นการรักษา 9 เดือน โดย intensive phase 4 เดือนแรก ใช้ยา kanamycin, moxifloxacin, pro-thionamide, clofazimine, high-dose isoniazid, pyrazinamide และ ethambutol ส่วน continuation phase 5 เดือน ใช้ยา moxifloxacin, clofazimine, pyrazinamide และ ethambutol สูตรยาดังกล่าว องค์การอนามัยโลกแนะนำให้พิจารณาใช้ในผู้ป่วยวัณโรคดื้อยาที่มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ คือ 1) เป็น MDR/RR-TB ที่ได้รับการยืนยัน หรือคาดว่าจะไม่ดื้อต่อยาใน shorter MDR-TB regimen (ยกเว้น ดื้อต่อ isoniazid ได้), 2) ไม่มีประวัติเคยได้รับการรักษาด้วยยา second-line drugs ใน shorter MDR-TB regimen มานานมากกว่า 1 เดือน, 3) ผู้ป่วยสามารถใช้ยาทุกขนานใน shorter MDR-TB regimen โดยไม่มีผลข้างเคียง และไม่มี drug interaction กับยาอื่น ๆ 4) ไม่ใช่หญิงตั้งครรภ์, 5) ไม่ใช่ extrapulmonary disease และ 6) มียาครบทุกขนานที่ผู้ป่วยจะต้องได้รับตลอดระยะเวลาของการรักษา อย่างไรก็ตาม ในประเทศไทยยังไม่มีประสบการณ์ของการใช้ shorter MDR-TB regimen ดังนั้น ในผู้ป่วยที่ไม่เข้าเกณฑ์ดังกล่าว หรือมีข้อจำกัดในการตรวจทางห้องปฏิบัติการ หรือไม่มียาครบตามสูตรยา ก็แนะนำให้ใช้ standardized MDR-TB regimen ในการรักษา ดังรูปที่ 3

เนื่องจากยาที่นำมาใช้เป็น add-on drugs ในการรักษาวัณโรคดื้อยาเป็น repurposed core drugs (linezolid และ clofazimine) และ new drugs (bedaquiline และ delamanid) จึงจำเป็นต้องมี active pharma-covigilance ในการติดตามผลข้างเคียงจากการใช้ยาดังกล่าว ผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ดังรูปที่ 4 ดังนั้น แพทย์ควรให้ข้อมูลกับผู้ป่วย และผู้ป่วยต้องลงนามยินยอมที่จะรับการรักษาและติดตามการรักษาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันสูตรที่ใช้ในการรักษา MDR-TB มีประสิทธิภาพสูง ผู้ป่วยมีโอกาสรักษาสำเร็จร้อยละ 75 ถึง 80 และสูตรยาในการรักษา
XDR-TB ผู้ป่วยมีโอกาสรักษาสำเร็จประมาณร้อยละ 50 อย่างไรก็ตาม สูตรยาดังกล่าวมีค่ารักษาค่อนข้างสูง โดยการรักษา MDR-TB ค่ารักษาประมาณ 120,000 บาท และ XDR-TB ค่ารักษาประมาณ 1,500,000 บาท ดังนั้น การดูแลรักษาผู้ป่วยวัณโรครายใหม่ด้วย directly observe therapy short course (DOTS) จึงมีความสำคัญมาก เพราะโอกาสหายร้อยละ 98 ค่ายาในการรักษาประมาณ 2,000 บาท และลดโอกาสการเกิดปัญหาวัณโรคเชื้อดื้อยา

 

เอกสารอ้างอิง

  1. Reechaipichitkul W. Guideline for programmatic management of drug-resistant tuberculosis. Bureau of Tuberculosis, Ministry of Public Health; 2016 (2nd edition).
  2. Reechaipichitkul W. Guidelines for DR-TB, MDR-TB and XDR-TB treatment in Thailand 2016. In Pornsuriyasak P, Kaewkittinarong K, Kaewamatawong T, eds. Current practice in pulmonary medicine. Nontaburi: Parbpim. 2017, 101 – 17.
  3. World Health Organization. Companion handbook to the WHO guidelines for the programmatic management of drug-resistant tuberculosis. Geneva, Switzerland: WHO; 2014 (WHO/HTM/ TB/2014.11).
  4. World Health Organization. WHO treatment guidelines for drug-resistant tuberculosis: update 2016. Geneva, Switzerland: WHO; 2016.

 

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

บันทึก