“จะอยู่นอกหรือในระบบก็ไม่ต่างกัน ถ้าทุกคนทำอาชีพแพทย์ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ทั้งการฝึกฝน และการพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง”
นพ. แมน จันทวิมล
สาขาวิชาโรคหัวใจ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
มหาวิทยาลัยมหิดล
นายกสมาคมมัณฑนากรหัวใจและหลอดเลือดแห่งประเทศไทย
แรงบันดาลใจในการเลือกเรียนแพทย์ โดยเฉพาะสาขาหัวใจและหลอดเลือด
ผมเรียนที่ รร.สาธิตจุฬาฯ แล้วไปจบมัธยมที่ รร.เตรียมอุดมฯ จากนั้นสอบเทียบเข้าที่คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ สำหรับแรงบันดาลใจในการเลือกแพทย์มาจากคุณพ่อ คุณพ่อผมเป็นหมอสูติ ที่ รพ.ราชวิถี (นพ.มนูญ จันทวิมล) ผมเป็นลูกคนเดียวก็ได้ดูคุณพ่อทํางานมาตั้งแต่เด็ก ทำให้ผมเห็นว่าอาชีพนี้เป็นอาชีพที่ดี ได้ช่วยเหลือคนและได้ใช้ในสิ่งที่ได้เรียนรู้มา คุณแม่ก็สนับสนุนในการเรียนแพทย์ พอโตมาสอบเข้าแพทย์ได้ ก็เลยมาทางนี้ ตอนเรียน
พรีคลินิกก็เรียนได้พอสมควร แต่ตั้งแต่ ปี 4 ขึ้นมา ได้ดูแลคนไข้ด้วย รู้สึกยิ่งใช่ขึ้นไปอีก ผมชอบดูแลคนไข้ ชอบการพูดคุยตรวจวินิจฉัย ค้นหาปัญหาและวิธีการแก้ไขเพื่อรักษาคนไข้ พบจบแพทย์ก็ไปใช้ทุนที่ รพ.บ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ตอนแรกตั้งใจจะไปเรียนต่อที่อเมริกา แต่ผมได้ทุนของบริษัท สมิติเวช จํากัด ได้ไปเรียนที่ University of British Columbia, UBC ที่แวนคูเวอร์ แคนาดา ได้เรียนตั้งแต่ Internal Medicine, Cardiology แล้วก็ Intervention Cardiology และ Heart Failure / Heart Transplantation
————————————–
“พอเรียนวิชาหัวใจทั่วไปจบ
ก็เลือกเรียนต่อยอด
ทางด้าน Intervention
เพราะเน้นหัตถการ
ผมไม่เกี่ยงเรื่องทํางานหนัก
และชอบการรักษาโรคฉุกเฉิน”
————————————–
สำหรับสาเหตุที่เลือกเรียนหัวใจนั้น ตอนที่ไปแคนาดาผมแค่อยากเรียนอายุรกรรมให้ดีที่สุด แต่หลังจากที่ได้เรียนสาขาต่าง ๆ แล้ว ก็รู้สึกประทับใจและอยากเรียนทางหัวใจ เพราะประทับใจในตัวอาจารย์และเพื่อนร่วมงาน ภายหลังชอบการรักษาที่มีหัตถการด้วย โรคหัวใจมีผู้ป่วยเยอะ ถ้าวินิจฉัยได้ดี รักษาแล้วผู้ป่วยหายได้เลย พอเรียนวิชาหัวใจทั่วไปจบ ก็เลือกเรียนต่อยอดทางด้าน Intervention เพราะเน้นหัตถการ ไม่เกี่ยงเรื่องทํางานหนัก และชอบการรักษาโรคฉุกเฉิน ชอบการรักษาที่เห็นผลทันทีทันใด และในช่วงปีสุดท้ายของการเรียนต่อยอด มีวิวัฒนาการใหม่เข้ามา เป็นเทคนิคการรักษาโรคลิ้นหัวใจผ่านสายสวน ที่เรียกว่า TAVI (Transcatheter Aortic Valve Implantation) ซึ่งทําครั้งแรกในเซ็นเตอร์ที่ผมเทรนอยู่พอดี ผมเห็นว่าน่าจะเป็นอนาคตของการรักษาโรคหัวใจในยุคต่อไป ผมจึงอยู่ต่อเพื่อศึกษาเรื่องนี้อีก 1 ปี เป็นโอกาสให้ผมได้เรียนรู้กับ Dr. John G. Webb ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกเทคนิคนี้ โดยน่าจะเป็น 20 – 30 เคสแรกของโลก ได้เห็นเทคนิคนี้ตั้งแต่เคสแรก ๆ ที่ยังไม่พร้อมมาก จนกระทั่งปัจจุบันได้พัฒนาจนเป็นการรักษามาตรฐาน และอีกอย่างช่วงนั้นเคส TAVI ยังทำไม่เยอะ ผมจึงได้เทรนเรื่อง heart failure ไปด้วยพร้อมกัน

กลับมาเมืองไทย ผมกลับมาใช้ทุนอยู่ที่ รพ.สมิติเวช และมีความคิดว่าอยากหาโอกาสช่วยงาน รร.แพทย์ เพราะจะทำประโยชน์ในสิ่งที่ผมเชี่ยวชาญ ต่อมาท่านอาจารย์ นพ. ปิยะมิตร ศรีธรา กับท่านอาจารย์ นพ. สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ได้ทุนทำ TAVI มา 10 เคส ก็เลยชวนผมมาช่วยงานที่ รพ.รามาฯ โดยดูแลเคสที่ได้รับมอบหมายและงานอื่น ๆ ด้วย ซึ่งผลการรักษาก็ประสบความสำเร็จ และมีเคสผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ พอใช้ทุนหมดก็มาเป็นอาจารย์ประจำที่คณะแพทยศาสตร์ รามาธิบดี ม.มหิดล
————————————–
“อย่างการเป็นผู้เชี่ยวชาญ
ผมก็ต้องทำให้ดีที่สุด
ในเรื่องของการทำ TAVI
โดยทำให้เป็นประโยชน์
กับผู้ป่วยจริง ๆ”
————————————–
เป้าหมายที่มีการตั้งไว้ในการเป็นแพทย์หรือการใช้ชีวิต
เป้าหมายแรกและถือเป็นเป้าหมายหลักคือ การเป็นแพทย์ที่ดี ซึ่งก็ต้องเชี่ยวชาญในสาขาที่ทำและมีคุณธรรมด้วย อย่างการเป็นผู้เชี่ยวชาญ ผมก็ต้องทำให้ดีที่สุด ในเรื่องของการทำ TAVI โดยทำให้เป็นประโยชน์กับผู้ป่วยจริง ๆ ผมให้การรักษาที่เท่าเทียมแก่ผู้ป่วยทุกคนเสมือนเป็นคนในครอบครัว โดยตั้งมั่นในความเมตตา ความซื่อสัตย์ ความรับผิดชอบ ความยุติธรรม การรักษาความลับของผู้ป่วย และการเคารพการตัดสินใจของผู้ป่วย แต่เราก็ต้องยึดมั่น ไม่ไขว้เขวจนผิดหลักด้วย
เป้าหมายที่สอง คือ การพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง การได้ทำงานกับเพื่อนร่วมงานที่ดีเพื่อพัฒนาความเชี่ยวชาญให้สูงขึ้นเรื่อย ๆ เป็นสิ่งสำคัญ ที่ผ่านมาผมคิดว่าผมโชคดีที่ได้เพื่อนร่วมงานที่ดี ทั้งทีมที่ รพ.รามาฯ ทีมที่ รพ.สมิติเวชฯ ย้อนไปถึงทีมหัวใจที่แคนาดา การได้แชร์ความรู้ ประสบการณ์และทำงานร่วมกันจนประสบความสำเร็จเป็นทีม
เป้าหมายที่สามคือ มีส่วนร่วมในสมาคมวิชาชีพ การทํางานให้สมาคมแพทย์ ฯ ที่เกี่ยวข้องกับความเชี่ยวชาญของเรา โดยงานประจำที่ได้ดูแลผู้ป่วยทั้งภาครัฐและเอกชนแล้ว การช่วยงานสมาคมฯ จะทำให้เราทำประโยชน์ได้มากขึ้น ได้แชร์แลกเปลี่ยนประสบการณ์ ได้เจอเคสใหม่ ๆ และเรียนรู้เรื่องใหม่ ๆ ร่วมกันกับแพทย์ในสาขาและแพทย์ต่างสาขา
————————————–
“มีคนบอกผมว่า ผมเป็นคน
ตั้งใจทำงานที่ได้รับมอบหมาย
ได้สำเร็จ และเป็นคนที่มี
ทัศนคติแบบ growth mindset
ส่วนผมมองตัวเองว่า
ผมแค่ทําปัจจุบันให้ดีที่สุด”
————————————–
ที่ผ่านมาเป้าหมายที่สำเร็จ เกิดจากปัจจัยอะไร
จริง ๆ แล้ว ผมอยากตอบว่าผมโชคดี ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ให้โอกาสผม และผมก็ทำโอกาสนั้น ๆ ให้สำเร็จหรือให้ดีที่สุด ถามว่าโชคดีอย่างไร ผมรู้สึกว่าตัวเองโชคดีตั้งแต่มีครอบครัวที่ดี ได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างดี ได้รับโอกาสทางการศึกษาที่ดี มีพ่อเป็นตัวอย่างให้เห็นอาชีพแพทย์ ได้เทรน TAV I รวมถึงโชคดีที่ได้เพื่อนร่วมงานที่ดีด้วย

แต่ถ้าจะให้ตอบปัจจัยที่อยู่ในตัวผม มีคนบอกผมว่า ผมเป็นคนตั้งใจทำงานที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จ และเป็นคนที่มีทัศนคติแบบ growth mindset ส่วนผมมองตัวเองว่า ผมแค่ทําปัจจุบันให้ดีที่สุด ในโอกาสต่าง ๆ ที่ได้รับมา ไม่ได้มองไปไกลมาก ที่ผ่านมาก็มีอะไรให้ต่อยอดไปได้เรื่อย ๆ อีกเรื่องผมมองว่าตัวผมเองไม่ดีไปกว่าคนอื่น ผมยินดีช่วยงานทีม ช่วยงานเพื่อนร่วมงาน แบ่งเบาภาระให้พอ ๆ กัน ไม่ชอบการเอาเปรียบคนอื่น ถ้ายกตัวอย่างทีมฟุตบอล หลาย ๆ เรื่องผมยินดีที่จะเป็นกองหลัง กองกลาง ส่งบอลให้ผู้อื่นยิงประตู โดยไม่จำเป็นต้องเป็นคนยิงประตูเสมอไป สุดท้ายผมคิดว่า ตนเป็นคนคิดนอกกรอบในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะในเรื่องของการรักษาคนไข้ อย่างนี้ทำไม่ได้ เรามีแบบไหนที่ทําได้บ้าง จะไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ ชอบหาทางแก้ไขให้คนไข้ หรือถ้าเราไม่เคยทำ ก็ไปถามคนอื่นที่เขาเคยทํา ไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือต่างชาติ แล้วก็ศึกษาจนมั่นใจ แล้วก็เอามาทํา ก็มีการพัฒนาแนวคิดของเราไปได้เรื่อย ๆ
มีบางครั้งที่เป้าหมายไม่สำเร็จเกิดจากอะไร ควรปรับปรุงเรื่องอะไร
ปัจจุบันผมมีความสุขแล้ว ผมมาไกลเกินกว่าที่ผมต้องการแล้ว อุปสรรคสำหรับผม ผมมองมันเป็นเรื่องที่ท้าทาย ไม่เคยมองว่าทําไมเราถึงไม่ได้หรือทําไม่สำเร็จ ผมรู้สึกว่าทุกอย่างมีทางออกอยู่
ในฐานะนายกสมาคมแพทย์มัณฑนากรหัวใจและหลอดเลือดฯ มีเป้าหมายในการทำงานอย่างไร
วาระปี 67 – 69 ผมตั้งใจเน้นทางด้านวิชาการของสมาคมฯ อยากให้สมาคมของเราเป็นสมาคมที่ก้าวหน้า มีความทัดเทียมกับอารยประเทศ ไม่ว่าจะเป็นองค์ความรู้ต่าง ๆ นวัตกรรมใหม่ ๆ และการสามารถนํามาใช้ได้จริง ที่ผ่านมาก็มีส่วนร่วมในการกําหนดนโยบายของสมาคมฯ ผมก็อยากทำให้ได้ประโยชน์มากที่สุดกับทุกคน
จริง ๆ แล้ว ผมอยากจะบอกว่า passion ของผมเป็นเรื่องของการดูแลคนไข้ การช่วยงานสมาคมฯ คือ การทำงานเพื่อสนับสนุนส่วนกลาง หน้าที่นายกฯ มีอะไรเราก็ทำ แล้วก็เป็นตัวแทนของรามาฯ ด้วย หมดภาระหน้าที่ ผมก็กลับไปดูแลคนไข้ กลับไปทำหลายเรื่องที่เกี่ยวกับการรักษาคนไข้ต่อ

บุคคลต้นแบบในการดำเนินชีวิตหรือการทำงาน
ผมไม่ได้มีใครคนใดคนหนึ่งเป็นไอดอล ส่วนตัวผมรู้สึกว่าบริบทของแต่ละคนในชีวิตมันไม่เหมือนกัน จริง ๆ แล้วอาจารย์แพทย์ทุก ๆ คนรวมกัน ทั้งที่แคนาดาและไทย มีส่วนให้ผมเป็นอย่างทุกวันนี้ โดยผมยึดหลักทำวันนี้ ทำงานที่รับผิดชอบวันนี้ให้ดีที่สุด โดยถ้าเป็นได้อย่างพ่อของผมก็ดีใจแล้ว
มองการแพทย์ของเมืองไทยว่าอย่างไร ทิศทางอนาคตเป็นอย่างไร
ผมว่าการแพทย์ของไทยก้าวหน้ามาในระดับหนึ่งแล้วเมื่อเทียบกับหลาย ๆ ประเทศ แต่ก็ยังมีหลายเรื่องที่พัฒนาไปได้มากกว่านี้ ผมขอกล่าวกว้าง ๆ สัก 3 เรื่อง อย่างบางเรื่องเราเอาตามไกด์ไลน์ต่างประเทศเป็นหลัก ซึ่งอาจไม่เหมาะสม บางอย่างก็ต้องปรับให้เหมาะสมกับบริบทของบ้านเรา ซึ่งเราก็ไม่ได้อยากให้เชื่อต่างประเทศมากเกินไป อาจจะต้องมาดูว่าบ้านเราพร้อมอะไรไม่พร้อมอะไร แล้วก็ทําให้ดีที่สุด อีกเรื่องเป็นเรื่องของนโยบาย บ้านเราแต่ละหน่วยงานอาจมีนโยบายของตัวเอง บางทีต่างคนต่างออก และอาจไม่ได้ไปในแนวทางเดียวกัน ถ้าเราสามารถปรับแก้ให้ไปแนวทางเดียวกันได้ คิดว่าน่าจะพัฒนาไปได้เร็วกว่านี้ สุดท้ายจากประสบการณ์ที่ผมได้ไปเจอโรงพยาบาลต่างจังหวัดที่ไม่ใช่ รพ.แพทย์เมื่อเทียบกับ รพ.ในกรุงเทพฯ มีความแตกต่างกันพอสมควร ผมว่าอนาคตต้องปรับให้ความแตกต่างตรงนี้มันลดลง เทคโนโลยี ทรัพยากรต่าง ๆ ควรกระจายไปทั่วประเทศ ไม่ใช่โฟกัสอยู่เฉพาะกรุงเทพฯ หรือเมืองใหญ่ ๆ
————————————–
“ที่ต้องไปศึกษาต่างประเทศ…
ก็ไปเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ ๆ
ที่บ้านเรายังไม่มี
กับเรียนรู้เรื่องระบบการทำงาน
ความเป็น standardization
ค่อนข้างแน่นกว่าบ้านเรา”
————————————–
คิดอย่างไรที่คนเก่งระดับต้น ๆ ของไทยเลือกเรียนแพทย์ แต่ก็ยังต้องไปเรียนต่อที่เมืองนอก ซึ่งอาจไม่ใช่คนเก่งที่สุดของเขา

ผมว่าแพทย์ไทยโดยรวมเก่ง แต่ว่าที่ได้ประโยชน์จากไปศึกษาต่างประเทศ นอกจากความรู้ในสาขา ก็ไปเรียนรู้เรื่องของเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่บ้านเรายังไม่มี กับเรียนรู้เรื่องระบบการทำงาน ต้องยอมรับว่าความเป็น standardization ของเขาค่อนข้างจะแน่นกว่าบ้านเรา บางเรื่องเราอาจจะต้องมองผลระยะยาวมากกว่าผลระยะสั้น ยกตัวอย่างเช่น หัตถกรรมบางอย่างอาจจะดูแพง แต่ว่ามันก็อาจจะทําให้คนไข้ฟื้นตัวได้ดีกว่า อยู่โรงพยาบาลสั้นกว่า และมีผลระยะยาวที่ดีกว่า รวมไปถึงอุปกรณ์และยาด้วย
————————————–
“ผมไม่เคยคิดเรื่องพวกนี้เลย
ผมมองตัวเองเป็นแพทย์
รักษาคนไข้ ไม่ได้มอง
เป็นแพทย์นักบริหาร
แล้วผมก็รู้ข้อจำกัดของตัวเอง”
————————————–
ถ้าให้เลือกปรับปรุงเพื่อให้การแพทย์ไทยในอนาคตดีขึ้น อยากปรับปรุงเรื่องอะไร
จริง ๆ แล้วผมไม่เคยคิดเรื่องพวกนี้เลย ผมมองตัวเองเป็นแพทย์รักษาคนไข้ ไม่ได้มองเป็นแพทย์นักบริหาร ผมรู้ข้อจำกัดของตัวเอง การที่เอาแพทย์นักรักษามาบริหารไม่ได้เป็นคําตอบที่ดีเสมอไป ผมไม่ได้เก่งทุกอย่าง ผมมีความโฟกัสในสิ่งที่ผมทํา ขอตอบเป็นแนวคิดว่าอยากปรับปรุงให้การรักษาของบ้านเราได้มาตรฐาน มีความเท่าเทียม คนไข้ได้รับประโยชน์สูงสุดก็พอครับ
อาจารย์มีความคิดเห็นอย่างไร กับนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ และแพทย์ออกนอกระบบ
ผมว่ามองโดยรวมก็เป็นเรื่องดี ที่คนไทยมีสิทธิในการเข้าถึงการรักษาได้หลาย ๆ โรคที่จำเป็น แต่ในทางปฏิบัติก็ยังมีข้อจำกัดอยู่ เพราะว่าเป็นโครงการขนาดใหญ่ของประเทศ ก็คงต้องช่วยกันในหลาย ๆ ทางเพื่อให้โครงการสมบูรณ์และยั่งยืนมากขึ้น ในอนาคตสิทธิการเบิกจ่ายอาจจะต้องกระชับขึ้น แล้วก็อาจจะมีกฎเกณฑ์มากขึ้นบ้าง เพื่อให้ cost effective ดีขึ้น อย่างสมาคมฯของเราที่เพิ่งประชุมเสร็จ ก็มีส่วนร่วมในการนำเสนอและตัดสินใจบางอย่างร่วมกับ สปสช. คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย
สำหรับเรื่องที่แพทย์ออกนอกระบบมากขึ้น ผมมองเป็น 2 เรื่อง เรื่องแรกจะอยู่นอกหรือในระบบก็ไม่ต่างกัน ถ้าทุกคนทำอาชีพแพทย์ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทั้งการฝึกฝน พัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง ดูแลรักษาเน้นประโยชน์ของคนไข้เป็นหลัก ผมเข้าใจว่าแพทย์บางคนมีภาระความรับผิดชอบ การออกนอกระบบอาจมีความจำเป็นเรื่องรายได้ แต่ก็ต้องทำหน้าที่แพทย์ไม่บกพร่องและด้วยความโปร่งใส ส่วนเรื่องที่สองคือ การจะรักษาแพทย์ให้อยู่ในระบบนั้น ก็ต้องไปหาสาเหตุและแก้ที่สาเหตุ ถ้าระบบดีแพทย์ก็อาจจะออกนอกระบบน้อยลง หรือย้ายกลับมาในระบบมากขึ้น ผมเป็นหนึ่งในตัวอย่างของแพทย์ที่กลับเข้ามาในระบบ เพราะผมอยากโฟกัสในเรื่องที่ผมสนใจ

ฝากข้อแนะนำให้แพทย์รุ่นใหม่ว่าจะประสบความสำเร็จต้องทำอย่างไร
ข้อแรกคือ ต้องมีความรู้และมีคุณธรรมแพทย์ที่ดี ผมว่าทั้ง 2 อย่างนี้จะเป็นตัวเกื้อหนุนให้แพทย์ประสบความสําเร็จได้ ข้อสอง สำหรับน้องรุ่นใหม่ความสำเร็จต้องใช้เวลา เช่น ประสบการณ์ในการรักษาคนไข้ การได้รับการยอมรับจากเพื่อนร่วมงานหรือสังคม หรือแม้กระทั่งเรื่องเงินก็ตาม แพทย์รุ่นใหม่หลายคนมองดูผมตอนนี้ อาจจะบอกว่าผมประสบความสําเร็จมาก แต่จริง ๆ แล้วผมก็ต้องเริ่มมาจากจุดที่ผมเรียนจบมา แล้วก็เริ่มทำงาน ต้องทําแล้วทำอีก ต้องใช้เวลาในการสร้างเนื้อสร้างตัว โดยผมมีเป้าหมายชัดเจนว่าอยากจะเป็นแบบไหน แล้วก็ไปให้สุดทางที่เราอยากจะเป็น ซึ่งทางของแต่ละคนไม่จําเป็นต้องเหมือนกัน แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ ทุกอย่างต้องใช้เวลา มันมีเวลาของมันเอง ถ้าเราไม่หยุดพัฒนา และรักในงานของเรา เราก็มีโอกาสประสบความสำเร็จสูงเอง

