CIMjournal
banner kidney

Practical and Pathophysiologic Approach to Hyperkalemia


นพ. ณรงค์ฤทธิ์ ศิริวัฒนสิทธิ์ร.ท. นพ. ณรงค์ฤทธิ์ ศิริวัฒนสิทธิ์
อายุรแพทย์โรคไต
โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า


สรุปการประชุมวิชาการ สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย วันที่ 2 สิงหาคม 2567

 

โพแทสเซียม (K+) เป็นเกลือแร่ที่มีการกระจายตัวอยู่ภายในเซลล์เป็นส่วนใหญ่คิดเป็นร้อยละ 98 ของโพแทสเซียมทั้งหมดในร่างกาย หรือคิดเป็นประมาณ 3,300 mEq โดยอยู่ภายในเซลล์กล้ามเนื้อมากที่สุดประมาณ 3,000 mEq รองลงมาในเซลล์เม็ดเลือดแดงประมาณ 235 mEq และเซลล์ตับประมาณ 200 mEq ส่วนของโพแทสเซียมภายนอกเซลล์คิดเป็นร้อยละ 2 หรือประมาณ 65 mEq ความเข้มข้นของโพแทสเซียมภายในเซลล์ 140 mEq/L ขณะที่ภายนอกเซลล์อยู่ที่ 4 mEq/L จะเห็นว่าความเข้มข้นของ K+ ภายในเซลล์สูงกว่านอกเซลล์ถึง 40 เท่า สำหรับการรับประทานอาหารปกติทั่วไปจะมี K+ ประมาณ 100 mEq/day กรณีที่สมดุลของ K+ ปกติ ร่างกายจะขับ K+ ที่รับประทานเข้ามาออกทั้งหมด โดยขับทางปัสสาวะร้อยละ 92 และทางอุจจาระร้อยละ 81 โพแทสเซียมภายในเซลล์และนอกเซลล์จะมีการเคลื่อนที่แลกเปลี่ยนกันไปมาได้ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยซึ่งจะกล่าวในส่วนถัดไป


การควบคุมสมดุลโพแทสเซียมของไต (Renal Handling of Potassium)

โพแทสเซียมในเลือดสามารถกรองผ่านโกลเมอรูลัสเข้าสู่ท่อไตส่วนต้น (proximal tubule) ได้หมด proximal tubule จะดูดกลับ K+ ร้อยละ 65 – 70 ของที่กรองผ่านมาโดยกระบวนการ passive transport ส่วนของ thick ascending limb loop of  Henle ดูด K+ กลับอีกร้อยละ 25 โดยกระบวนการ active และ passive transport ส่วนของ collecting duct สามารถขับ K+ เข้าสู่ปัสสาวะซึ่งทำงานภายใต้อิทธิพลของฮอร์โมน aldosterone จึงเรียกท่อใตส่วนนี้ว่า “Aldosterone sensitive nephron” และเป็นส่วนที่สำคัญในการปรับสมดุลโพแทสเซียมในภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูง (hyperkalemia)1

1. การควบคุมสมดุลโพแทสเซียมที่ท่อไตส่วนต้น2
ที่ท่อไตส่วนต้นระยะแรก (early proximal tubule) จะมีการดูดน้ำกลับจากฝั่ง lumen เข้าสู่เลือด ผ่านทาง paracellular และ K+ จะเคลื่อนที่ตามโมเลกุลของน้ำเข้าสู่เลือด เรียกกระบวนการนี้ว่า solvent drag ที่ท่อไตส่วนต้นระยะท้าย (late proximal tubule) ความเข้มของประจุบวกใน lumen จะมากขึ้น จนกระทั่งมากกว่าฝั่งเลือด ส่งผลให้ K+ เคลื่อนที่จาก lumen เข้าสู่เลือดผ่านทาง paracellular โดยกระบวนการแพร่ (diffusion) โดยความต่างของ transepithelial voltage (ดังแสดงในรูปที่ 1)Practical and Pathophysiologic Approach to Hyperkalemiaรูปที่ 1 การควบคุมสมดุลโพทสเซียมที่ท่อไตส่วนต้น


2. การควบคุมสมดุลโพแทสเซียมที่ท่อไตส่วน
thick ascending limb loob of Henle2
ท่อไตส่วน thick ascending limb loob of Henle ดูดกลับ K+ ผ่าน Na+-K+-2Clโดยกระบวนการ active transport และ K+ ที่ดูดกลับเข้าภายในเซลล์ของ thick ascending limb บางส่วนเคลื่อนที่กลับเข้าสู่ lumen ผ่าน ROMK แล้วถูกดูดกลับเข้าสู่เซลล์อีกครั้งโดย Na+-K+-2Cl เรียกกระบวนการนี้ว่า K recycling ซึ่งกระบวนการนี้จะช่วยรักษาความเป็นประจุบวกภายใน lumen ช่วยผลักให้ K+ เคลื่อนที่ผ่านทาง paracellular เข้าสู่กระแสเลือดโดยกระบวนการ passive transport (ดังแสดงในรูปที่ 2)Practical and Pathophysiologic Approach to Hyperkalemiaรูปที่ 2 การควบคุมสมดุลโพแทสเซียมที่ท่อไตส่วน thick ascending limb loob of Henle


3. การควบคุมสมดุลโพแทสเซียมที่ท่อไตส่วน
cortical collecting (CCD)
การขับ K+ ในส่วนนี้อาศัยการทำงานร่วมกับท่อไตส่วน distal convoluted tubule (DCT) โดยในภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูง K+ จะเข้าสู่เซลล์ DCT โดยผ่าน Kir4.1-5.1 channel ทางฝั่ง basolateral  membrane ทำให้ภายในเซลล์มีประจุบวกมากขึ้น เกิดกระบวนการ depolarization แล้วไปยับยั้งการทำงานของระบบ WNK (with-no-lysine kinase) ส่งผลให้ NCC (Na+-Cl cotransporter) ทำงานลดลง ลดการดูดกลับ Na+ ดังนั้น Na+ จึงไหลไปที่ collecting duct เพิ่มขึ้น เซลล์ principal ของ CCD จึงดูดกลับ Na+ ผ่านทาง ENac (epithelium sodium channel) เพิ่มขึ้น lumen มีความเป็นประจุลบมากขึ้น จึงมีการขับ K+ เข้าสู่ lumen เพิ่มขึ้นผ่าน ROMK (renal outer medullary potassium channel) และ Na+ flow ที่เพิ่มขึ้นสามารถกระตุ้นการขับ K+ ของ principal cell ผ่านทาง Maxi- K+ channel ได้โดยตรง3 (ดังแสดงในรูปที่ 3) นอกจากนี้ hyperkalemia ยังยับยั้ง H+– K+-ATPase ของ alpha intercalated cell ที่ตำแหน่ง CCD โดยตรงจึงลดการดูดกลับ K+ 2

Practical and Pathophysiologic Approach to Hyperkalemiaรูปที่ 3 การทำงานร่วมกันของ DCT และ CCD ในการขับ K+ ในภาวะ hyperkalemia 

ในภาวะ hyperkalemia ปกติไตจะตอบสนองโดยการเพิ่มการขับ K+ ทิ้งทางปัสสาวะ หากไตขับ K+ น้อยกว่าที่ควรจะเป็น แสดงว่า Hyperkalemia เกิดจากสาเหตุทางไต ค่าที่บ่งชี้ว่าไตขับ K+ น้อยกว่าที่ควรจะเป็น ได้แก่ spot urine K+ < 15 mEq/L, TTKG (transtubular potassium gradient) < 3, spot urine K+/Cr < 15 mEq/g Cr, 24 hr. urine K+ < 25 mEq/d การจะใช้ TTKG จะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไข 2 ข้อ คือ urine Na+ > 25 mEq/L และ urine osmolality > plasma osmolality จากการศึกษาเพิ่มเติมในปัจจุบัน ค่า TTKG ไม่ค่อยมีความสัมพันธ์กับการขับ K+ ที่ CCD เนื่องจากที่มาของสูตรสมมุติว่า ที่ตำแหน่งของ CCD มีการดูดน้ำกลับเพียงอย่างเดียว ซึ่งในความเป็นจริงมีการดูดกลับยูเรียด้วย แต่พบว่า TTKG มีความสัมพันธ์โดยตรงกับระดับ plasma aldosterone ดังนั้น ในภาวะ hyperkalemia จึงใช้ TTKG ในการประเมินการออกฤทธิ์ของ aldosterone ในการขับ K+ ที่ CCD


บทบาทของการควบคุมสมดุลโพแทสเซียมผ่านทางเดินอาหาร

ในปัจจุบันมีการศึกษา พบว่า ในทางเดินอาหารมี K+ sensing receptor4 ในเวลาที่รับประทานอาหารที่มี K+ สูง ลำไส้จะส่งสัญญาณไปที่ท่อไตส่วน DCT ทำให้เกิดกระบวนการ dephosphorylation ของ NCC ทำให้การแสดงออกของ NCC ที่ apical membrane ของ DCT มีปริมาณลดลง การดูดกลับของ Na+ จึงลดลง ส่งผลให้การไหลของ Na+ ไปที่ CCD เพิ่มขึ้นจึงเพิ่มการขับ K+ ที่ CCD5 ซึ่งการขับ K+ ที่เพิ่มขึ้นไม่ได้ขึ้นกับระดับของ plasma aldosterone และระดับของ serum K+

การขับ K+ ที่ลำไส้เกิดขึ้นที่ส่วนของ distal colon เป็นหลัก และจากการศึกษาพบว่า ที่ distal colon ฝั่ง apical มีการแสดงออกของ BK และ ENaC channel6 ซึ่งทำหน้าที่ในการขับ K+ และถูกกระตุ้นได้โดย aldosterone ดังนั้นในการให้ยา RAAS blockade สามารถลดการขับ K+ ที่ทางเดินอาหารได้ การศึกษาทาง pathology ของคนไข้โรคไตเรื้อรังระยะสุดท้าย (end stage renal disease; ESRD) กับคนปกติ พบว่า การขับ K+ ผ่านทางเดินอาหารเพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่าของคนปกติ และหลังจากให้ intraluminal barium จะลดการขับ K+ ประมาณร้อยละ 45 ขณะที่คนปกติแทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง นอกจากนี้จากการย้อม Immunostaining พบว่า BK channel มีปริมาณเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับคนปกติ6, 7


การปรับตัวเพื่อควบคุมสมดุลโพแทสเซียมในคนไข้ไตเรื้อรัง5, 8

ในคนไข้โรคไตเรื้อรัง (chronic kidney disease; CKD) มีการปรับตัวของไตและทางเดินอาหารเพื่อเพิ่มการขับ K+

  1. การปรับตัวของไตเพื่อเพิ่มการขับ K+ ใน CKD
    • เซลล์ที่ท่อไตตำแหน่ง DCT และ CCD มี hypertrophy และความหนาแน่นของ mitochondria เพิ่มขึ้น    
    • การไหลของ Na+ ไปที่ nephron ปกติ มีปริมาณเพิ่มขึ้น
    • ส่วนใหญ่การขับ K+ ของไตจะยังปกติจนกระทั่ง GFR < 10-20 ml/min/1.73m2
  2. เพิ่มการขับ K+ ที่ colon
    • กลไก aldosterone dependent: มีการเพิ่มขึ้นของ ENaC, ROMK channel ฝั่ง lumen และ Na+-K+ ATPase ในฝั่ง basolateral
    • กลไก aldosterone independent: มี gut-responsive kaliuretic factors เพิ่มการขับ K+


การจัดการผู้ป่วยภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูง (approach to hyperkalemia)

คำจำกัดความของ hyperkalemia คือ plasma K+ สูงเกิน 5 mEq/L หรือ serum K+ สูงเกิน 5.5 mEq/L ความรุนแรงของ hyperkalemia แบ่งเป็น 3 ระดับ คือ mild, moderate และ severe ตามระดับของ K+ ในเลือด และ EKG ที่มีการเปลี่ยนแปลง3 (ดังแสดงในรูปที่ 4)Practical and Pathophysiologic Approach to Hyperkalemiaรูปที่ 4 การแบ่งระดับความรุนแรงของ hyperkalemia 

ภาวะ hyperkalemia มีอาการแสดงได้หลากหลาย ตั้งแต่ไม่มีอาการจนถึงขั้นเสียชีวิตจากภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ hyperkalemia ส่งผลให้ resting membrane potential มีค่าเป็นบวกมากขึ้น ทำให้เข้าใกล้ normal threshold ของ cardiac myocytes ส่งผลให้เกิดกระบวนการ depolarization ได้ง่ายขึ้น เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะตามมาในที่สุด


การสืบค้นหาสาเหตุของภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูง

ขั้นตอนการหาสาเหตุของภาวะ hyperkalemia มี 6 ขั้นตอน (ดังแสดงในรูปภาพที่ 5) การหาสาเหตุของ hyperkalemia ก่อนอื่นต้องแยกภาวะ pseudo hyperkalemia ออกไปก่อน ควรสงสัยภาวะนี้ในกรณีที่ severe hyperkalemia โดยที่ EKG ของคนไข้ปกติ และไม่มีปัจจัยเสี่ยที่ทำให้เกิด hyperkalemia ซึ่งเกิดได้จาก 3 สาเหตุหลัก
  1. เทคนิคการเจาะเลือด หากมีการบีบรัดเส้นเลือดมากเกินไปขณะเจาะเลือด ส่งผลให้เซลล์เม็ดเลือดเกิดการแตกตัว K+ จึงออกมาในเลือด แก้ไขโดยเปลี่ยนเทคนิคการเจาะเลือด
  2. ส่งเลือดตรวจโดยใส่ใน K-EDTA tube แก้โดยเปลี่ยนเป็น heparin tube
  3. ผู้ป่วยมีภาวะ leukocytosis, thrombocytosis และ hemolysis แก้ไขโดยการรีบส่งตรวจเลือดหลังการเจาะเลือดทันที

Practical and Pathophysiologic Approach to Hyperkalemiaรูปที่ 5 สรุปขั้นตอนการสืบค้นหาสาเหตุภาวะ hyperkalemia 

หากไม่มีภาวะ pseudo hyperkalemia ให้ประเมินจาก clinical setting ของคนไข้ว่ามีสาเหตุที่ทำให้ K+ shift หรือไม่ กลุ่มนี้มักมีภาวะ acid-base ปกติ ร่วมกับการขับ K+ ทางปัสสาวะเพิ่มขึ้น ซึ่งแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ 1. ลด K+ shift จากนอกเซลล์เข้าสู่ภายในเซลล์ 2. เพิ่ม K+ shift จากในเซลล์เข้าสู่นอกเซลล์ (ดังสรุปในรูปที่ 6) ภาวะ mineral acidosis ทำให้เกิดภาวะ hyperkalemia จาก K+ shift ขณะที่ organic acidosis ไม่เกิด เนื่องจากในภาวะ mineral acidosis จะลดการทำงานของ NHE1 และ Na-3HCO3cotransporter ที่เซลล์ skeletal muscle ส่งผลให้ intracellular Na+ ลดลง จึงไปยับยั้ง Na+-K+-ATPase ลด K+ shift เข้าสู่เซลล์ นอกจากนี้การที่ HCO3 ในเลือดลดลง จึงกระตุ้น Cl– HCO3 exchanger ส่งผลให้ intracellular Clเพิ่มขึ้น ไปกระตุ้น K+ shift ออกนอกเซลล์ผ่าน K+-Cl cotransport (ดังแสดงในรูปที่ 7) ส่วนภาวะ organic acidosis จะมีการ shift ของ H+ และ organic anion ผ่าน monocarboxylate transporter 1,4 (MCT1,4) ทำให้เกิด intracellular acidosis ไปกระตุ้น NHE1 ขณะที่ Na-3HCO3cotransporter ทำงานลดลง ส่งผลให้ Na+ ภายในเซลล์มีระดับปกติ หรือเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ทำให้ไม่เปลี่ยนแปลงการทำงานของ Na+-K+-ATPase จึงไม่เกิด K+ shift (ดังแสดงในรูปที่ 8)

Practical and Pathophysiologic Approach to Hyperkalemiaรูปที่ 6 สรุปสาเหตุของภาวะ hyperkalemia จาก K+ shifting 

 

Practical and Pathophysiologic Approach to Hyperkalemiaรูปที่ 7 กลไกการเกิด potassium shifting ในภาวะ mineral acidosis 

 

Practical and Pathophysiologic Approach to Hyperkalemiaรูปที่ 8 กลไกการเกิด potassium shifting ในภาวะ organic acidosis


หากไม่พบภาวะ pseudo hyperkalemia และ K+ shifting ขั้นถัดมาให้ urine K+ เพื่อคำนวณหา parameter ต่างๆ ดังแสดงในรูปภาพที่ 9 ประเมินว่าไตขับ K+ เพิ่มขึ้นหรือไม่ หากไตขับ K+ ลดลงผิดปกติให้ดู urine Na+ หากน้อยกว่า 25 mEq/L เกิดจากการลดลงของ Na+ distal delivery ไปที่ CCD หาก urine Na+ > 25 mEq/L ให้ประเมินการออกฤทธิ์ของ aldosterone ที่ CCD ว่าเพิ่มขึ้นหรือลดลง โดยคำนวณค่า TTKG ถ้า TTKG > 8 แสดงว่า aldosterone ออกฤทธิ์ปกติ hyperkalemia เกิดจาก reduced tubular flow ซึ่งเกิดได้จาก 2 ภาวะ คือ advanced kidney failure ที่ GFR < 20 ml/min หรือ extracellular volume ลดลง แต่ถ้า TTKG < 5 แสดงว่า aldosterone ออกฤทธิ์ลดลง ทำให้การขับ K+ ที่ CCD ลดลง ให้ทำ fludrocortisone challenge test ต่อ โดยให้ fludrocortisone 0.05 mg ทางปาก 4 ชม. ถัดมาให้ตรวจ TTKG ซ้ำอีกครั้ง หาก TTKG < 8 แสดงว่าเป็นกลุ่ม aldosterone resistance แต่หาก TTKG > 8 ให้ตรวจระดับบ renin และ aldosterone ในเลือด เพื่อแยกสาเหตุของ hyperkalemia ต่อว่าเป็นกลุ่ม rennin สูง หรือ rennin ต่ำ กลุ่ม rennin สูงเกิดจากสังเคราะห์ aldosterone ของ adrenal gland ลดลง จึงมักเกิดจากความผิดปกติของ adrenal gland โดยตรง (ดังแสดงในรูปที่ 9)

Practical and Pathophysiologic Approach to Hyperkalemia

Practical and Pathophysiologic Approach to Hyperkalemia รูปที่ 9 แผนผังการสืบค้นหาสาเหตุของภาวะ hyperkalemia


การรักษาภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูง

ก่อนอื่นต้องแยกว่าเป็น acute หรือ chronic hyperkalemia ยังไม่มีระยะเวลาที่ชัดเจนในการแยก แต่ให้ดูจากประวัติ หากผู้ป่วยไม่เคยพบภาวะ hyperkalemia ให้การรักษาแบบ acute ก่อน สิ่งแรกที่ต้องทำ คือ รักษา หรือหยุดสาเหตุของภาวะ hyperkalemia จากนั้นมี 3 ขั้นตอนในการรักษา

  1. Stabilize myocardial cell membrane: ตรวจ EKG หากพบความผิดปกติที่เกิดจาก hyperkalemia ให้ 10% calcium gluconate 10 ml iv slowly push in 2-3 min หลังจากนั้น 3 ถึง 5 นาที ให้ตรวจ EKG ซ้ำ หากยังมีความผิดปกติ ให้ 10% calcium gluconate ซ้ำได้ ในกรณีที่ K+ สูงเกิน 5 mEq/L ถึงแม้ EKG ไม่มีการเปลี่ยนแปลง อาจจะพิจารณาให้ 10% calcium gluconate ได้ 1 dose การให้ calcium จะเพิ่มระดับ normal threshold ของ cardiac myocyte membrane ทำให้เกิด depolarization ได้ยากขึ้น ป้องกันการเกิด cardiac arrythmia
  2. Increase intracellular shift: โดยการให้ insulin plus glucose, albuterol nebulize หรือ NaHCO3 ในกรณีมีภาวะ severe metabolic acidosis ร่วมด้วย9 (ดังแสดงในรูปที่ 10)
    Practical and Pathophysiologic Approach to Hyperkalemiaรูปที่ 10 การรักษา hyperkalemia ในภาวะฉุกเฉิน
  3. Remove K+ form body: ให้ potassium exchange resin เพื่อเพิ่มการกำจัด K+ ทางเดินอาหาร ถ้ามีภาวะ hypervolemia ร่วมด้วย พิจารณาให้ยาขับปัสสาวะเพื่อขับ K+ ทางปัสสาวะ หรือหากผู้ป่วยเป็น ESRD และมีปัสสาวะออกน้อย พิจารณาฟอกเลือด

 

เอกสารอ้างอิง
  1. Giebisch G, Krapf R, Wagner C. Renal and extrarenal regulation of potassium. Kidney Int. Aug 2007;72(4):397-410. doi:10.1038/sj.ki.5002288
  2. Palmer BF. Regulation of Potassium Homeostasis. Clin J Am Soc Nephrol. Jun 5 2015;10(6):1050-60. doi:10.2215/CJN.08580813
  3. Clase CM, Carrero JJ, Ellison DH, et al. Potassium homeostasis and management of dyskalemia in kidney diseases: conclusions from a Kidney Disease: Improving Global Outcomes (KDIGO) Controversies Conference. Kidney Int. Jan 2020;97(1):42-61. doi:10.1016/j.kint.2019.09.018
  4. McDonough AA, Youn JH. Potassium Homeostasis: The Knowns, the Unknowns, and the Health Benefits. Physiology (Bethesda). Mar 2017;32(2):100-111. doi:10.1152/physiol.00022.2016
  5. Palmer BF, Clegg DJ. Physiology and Pathophysiology of Potassium Homeostasis: Core Curriculum 2019. Am J Kidney Dis. Nov 2019;74(5):682-695. doi:10.1053/j.ajkd.2019.03.427
  6. Sorensen MV, Matos JE, Praetorius HA, Leipziger J. Colonic potassium handling. Pflugers Arch. Apr 2010;459(5):645-56. doi:10.1007/s00424-009-0781-9
  7. Mathialahan T, Maclennan KA, Sandle LN, Verbeke C, Sandle GI. Enhanced large intestinal potassium permeability in end-stage renal disease. J Pathol. May 2005;206(1):46-51. doi:10.1002/path.1750
  8. Yamada S, Inaba M. Potassium Metabolism and Management in Patients with CKD. Nutrients. May 21 2021;13(6)doi:10.3390/nu13061751
  9. Kovesdy CP. Management of Hyperkalemia: An Update for the Internist. Am J Med. Dec 2015;128(12):1281-7. doi:10.1016/j.amjmed.2015.05.040

 

 

PDPA Icon

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

บันทึก