ร.ท. นพ. ณรงค์ฤทธิ์ ศิริวัฒนสิทธิ์
อายุรแพทย์โรคไต
โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า
สรุปการประชุมวิชาการ สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย วันที่ 2 สิงหาคม 2567
โพแทสเซียม (K+) เป็นเกลือแร่ที่มีการกระจายตัวอยู่ภายในเซลล์เป็นส่วนใหญ่คิดเป็นร้อยละ 98 ของโพแทสเซียมทั้งหมดในร่างกาย หรือคิดเป็นประมาณ 3,300 mEq โดยอยู่ภายในเซลล์กล้ามเนื้อมากที่สุดประมาณ 3,000 mEq รองลงมาในเซลล์เม็ดเลือดแดงประมาณ 235 mEq และเซลล์ตับประมาณ 200 mEq ส่วนของโพแทสเซียมภายนอกเซลล์คิดเป็นร้อยละ 2 หรือประมาณ 65 mEq ความเข้มข้นของโพแทสเซียมภายในเซลล์ 140 mEq/L ขณะที่ภายนอกเซลล์อยู่ที่ 4 mEq/L จะเห็นว่าความเข้มข้นของ K+ ภายในเซลล์สูงกว่านอกเซลล์ถึง 40 เท่า สำหรับการรับประทานอาหารปกติทั่วไปจะมี K+ ประมาณ 100 mEq/day กรณีที่สมดุลของ K+ ปกติ ร่างกายจะขับ K+ ที่รับประทานเข้ามาออกทั้งหมด โดยขับทางปัสสาวะร้อยละ 92 และทางอุจจาระร้อยละ 81 โพแทสเซียมภายในเซลล์และนอกเซลล์จะมีการเคลื่อนที่แลกเปลี่ยนกันไปมาได้ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยซึ่งจะกล่าวในส่วนถัดไป
การควบคุมสมดุลโพแทสเซียมของไต (Renal Handling of Potassium)
1. การควบคุมสมดุลโพแทสเซียมที่ท่อไตส่วนต้น2
ที่ท่อไตส่วนต้นระยะแรก (early proximal tubule) จะมีการดูดน้ำกลับจากฝั่ง lumen เข้าสู่เลือด ผ่านทาง paracellular และ K+ จะเคลื่อนที่ตามโมเลกุลของน้ำเข้าสู่เลือด เรียกกระบวนการนี้ว่า solvent drag ที่ท่อไตส่วนต้นระยะท้าย (late proximal tubule) ความเข้มของประจุบวกใน lumen จะมากขึ้น จนกระทั่งมากกว่าฝั่งเลือด ส่งผลให้ K+ เคลื่อนที่จาก lumen เข้าสู่เลือดผ่านทาง paracellular โดยกระบวนการแพร่ (diffusion) โดยความต่างของ transepithelial voltage (ดังแสดงในรูปที่ 1)
รูปที่ 1 การควบคุมสมดุลโพทสเซียมที่ท่อไตส่วนต้น
2. การควบคุมสมดุลโพแทสเซียมที่ท่อไตส่วน thick ascending limb loob of Henle2
ท่อไตส่วน thick ascending limb loob of Henle ดูดกลับ K+ ผ่าน Na+-K+-2Cl– โดยกระบวนการ active transport และ K+ ที่ดูดกลับเข้าภายในเซลล์ของ thick ascending limb บางส่วนเคลื่อนที่กลับเข้าสู่ lumen ผ่าน ROMK แล้วถูกดูดกลับเข้าสู่เซลล์อีกครั้งโดย Na+-K+-2Cl– เรียกกระบวนการนี้ว่า K recycling ซึ่งกระบวนการนี้จะช่วยรักษาความเป็นประจุบวกภายใน lumen ช่วยผลักให้ K+ เคลื่อนที่ผ่านทาง paracellular เข้าสู่กระแสเลือดโดยกระบวนการ passive transport (ดังแสดงในรูปที่ 2)
รูปที่ 2 การควบคุมสมดุลโพแทสเซียมที่ท่อไตส่วน thick ascending limb loob of Henle
3. การควบคุมสมดุลโพแทสเซียมที่ท่อไตส่วน cortical collecting (CCD)
การขับ K+ ในส่วนนี้อาศัยการทำงานร่วมกับท่อไตส่วน distal convoluted tubule (DCT) โดยในภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูง K+ จะเข้าสู่เซลล์ DCT โดยผ่าน Kir4.1-5.1 channel ทางฝั่ง basolateral membrane ทำให้ภายในเซลล์มีประจุบวกมากขึ้น เกิดกระบวนการ depolarization แล้วไปยับยั้งการทำงานของระบบ WNK (with-no-lysine kinase) ส่งผลให้ NCC (Na+-Cl– cotransporter) ทำงานลดลง ลดการดูดกลับ Na+ ดังนั้น Na+ จึงไหลไปที่ collecting duct เพิ่มขึ้น เซลล์ principal ของ CCD จึงดูดกลับ Na+ ผ่านทาง ENac (epithelium sodium channel) เพิ่มขึ้น lumen มีความเป็นประจุลบมากขึ้น จึงมีการขับ K+ เข้าสู่ lumen เพิ่มขึ้นผ่าน ROMK (renal outer medullary potassium channel) และ Na+ flow ที่เพิ่มขึ้นสามารถกระตุ้นการขับ K+ ของ principal cell ผ่านทาง Maxi- K+ channel ได้โดยตรง3 (ดังแสดงในรูปที่ 3) นอกจากนี้ hyperkalemia ยังยับยั้ง H+– K+-ATPase ของ alpha intercalated cell ที่ตำแหน่ง CCD โดยตรงจึงลดการดูดกลับ K+ 2
รูปที่ 3 การทำงานร่วมกันของ DCT และ CCD ในการขับ K+ ในภาวะ hyperkalemia
ในภาวะ hyperkalemia ปกติไตจะตอบสนองโดยการเพิ่มการขับ K+ ทิ้งทางปัสสาวะ หากไตขับ K+ น้อยกว่าที่ควรจะเป็น แสดงว่า Hyperkalemia เกิดจากสาเหตุทางไต ค่าที่บ่งชี้ว่าไตขับ K+ น้อยกว่าที่ควรจะเป็น ได้แก่ spot urine K+ < 15 mEq/L, TTKG (transtubular potassium gradient) < 3, spot urine K+/Cr < 15 mEq/g Cr, 24 hr. urine K+ < 25 mEq/d การจะใช้ TTKG จะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไข 2 ข้อ คือ urine Na+ > 25 mEq/L และ urine osmolality > plasma osmolality จากการศึกษาเพิ่มเติมในปัจจุบัน ค่า TTKG ไม่ค่อยมีความสัมพันธ์กับการขับ K+ ที่ CCD เนื่องจากที่มาของสูตรสมมุติว่า ที่ตำแหน่งของ CCD มีการดูดน้ำกลับเพียงอย่างเดียว ซึ่งในความเป็นจริงมีการดูดกลับยูเรียด้วย แต่พบว่า TTKG มีความสัมพันธ์โดยตรงกับระดับ plasma aldosterone ดังนั้น ในภาวะ hyperkalemia จึงใช้ TTKG ในการประเมินการออกฤทธิ์ของ aldosterone ในการขับ K+ ที่ CCD
บทบาทของการควบคุมสมดุลโพแทสเซียมผ่านทางเดินอาหาร
ในปัจจุบันมีการศึกษา พบว่า ในทางเดินอาหารมี K+ sensing receptor4 ในเวลาที่รับประทานอาหารที่มี K+ สูง ลำไส้จะส่งสัญญาณไปที่ท่อไตส่วน DCT ทำให้เกิดกระบวนการ dephosphorylation ของ NCC ทำให้การแสดงออกของ NCC ที่ apical membrane ของ DCT มีปริมาณลดลง การดูดกลับของ Na+ จึงลดลง ส่งผลให้การไหลของ Na+ ไปที่ CCD เพิ่มขึ้นจึงเพิ่มการขับ K+ ที่ CCD5 ซึ่งการขับ K+ ที่เพิ่มขึ้นไม่ได้ขึ้นกับระดับของ plasma aldosterone และระดับของ serum K+
การขับ K+ ที่ลำไส้เกิดขึ้นที่ส่วนของ distal colon เป็นหลัก และจากการศึกษาพบว่า ที่ distal colon ฝั่ง apical มีการแสดงออกของ BK และ ENaC channel6 ซึ่งทำหน้าที่ในการขับ K+ และถูกกระตุ้นได้โดย aldosterone ดังนั้นในการให้ยา RAAS blockade สามารถลดการขับ K+ ที่ทางเดินอาหารได้ การศึกษาทาง pathology ของคนไข้โรคไตเรื้อรังระยะสุดท้าย (end stage renal disease; ESRD) กับคนปกติ พบว่า การขับ K+ ผ่านทางเดินอาหารเพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่าของคนปกติ และหลังจากให้ intraluminal barium จะลดการขับ K+ ประมาณร้อยละ 45 ขณะที่คนปกติแทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง นอกจากนี้จากการย้อม Immunostaining พบว่า BK channel มีปริมาณเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับคนปกติ6, 7
การปรับตัวเพื่อควบคุมสมดุลโพแทสเซียมในคนไข้ไตเรื้อรัง5, 8
ในคนไข้โรคไตเรื้อรัง (chronic kidney disease; CKD) มีการปรับตัวของไตและทางเดินอาหารเพื่อเพิ่มการขับ K+
- การปรับตัวของไตเพื่อเพิ่มการขับ K+ ใน CKD
- เซลล์ที่ท่อไตตำแหน่ง DCT และ CCD มี hypertrophy และความหนาแน่นของ mitochondria เพิ่มขึ้น
- การไหลของ Na+ ไปที่ nephron ปกติ มีปริมาณเพิ่มขึ้น
- ส่วนใหญ่การขับ K+ ของไตจะยังปกติจนกระทั่ง GFR < 10-20 ml/min/1.73m2
- เพิ่มการขับ K+ ที่ colon
- กลไก aldosterone dependent: มีการเพิ่มขึ้นของ ENaC, ROMK channel ฝั่ง lumen และ Na+-K+ ATPase ในฝั่ง basolateral
- กลไก aldosterone independent: มี gut-responsive kaliuretic factors เพิ่มการขับ K+
การจัดการผู้ป่วยภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูง (approach to hyperkalemia)
คำจำกัดความของ hyperkalemia คือ plasma K+ สูงเกิน 5 mEq/L หรือ serum K+ สูงเกิน 5.5 mEq/L ความรุนแรงของ hyperkalemia แบ่งเป็น 3 ระดับ คือ mild, moderate และ severe ตามระดับของ K+ ในเลือด และ EKG ที่มีการเปลี่ยนแปลง3 (ดังแสดงในรูปที่ 4)
รูปที่ 4 การแบ่งระดับความรุนแรงของ hyperkalemia
ภาวะ hyperkalemia มีอาการแสดงได้หลากหลาย ตั้งแต่ไม่มีอาการจนถึงขั้นเสียชีวิตจากภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ hyperkalemia ส่งผลให้ resting membrane potential มีค่าเป็นบวกมากขึ้น ทำให้เข้าใกล้ normal threshold ของ cardiac myocytes ส่งผลให้เกิดกระบวนการ depolarization ได้ง่ายขึ้น เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะตามมาในที่สุด
การสืบค้นหาสาเหตุของภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูง
- เทคนิคการเจาะเลือด หากมีการบีบรัดเส้นเลือดมากเกินไปขณะเจาะเลือด ส่งผลให้เซลล์เม็ดเลือดเกิดการแตกตัว K+ จึงออกมาในเลือด แก้ไขโดยเปลี่ยนเทคนิคการเจาะเลือด
- ส่งเลือดตรวจโดยใส่ใน K-EDTA tube แก้โดยเปลี่ยนเป็น heparin tube
- ผู้ป่วยมีภาวะ leukocytosis, thrombocytosis และ hemolysis แก้ไขโดยการรีบส่งตรวจเลือดหลังการเจาะเลือดทันที
รูปที่ 5 สรุปขั้นตอนการสืบค้นหาสาเหตุภาวะ hyperkalemia
หากไม่มีภาวะ pseudo hyperkalemia ให้ประเมินจาก clinical setting ของคนไข้ว่ามีสาเหตุที่ทำให้ K+ shift หรือไม่ กลุ่มนี้มักมีภาวะ acid-base ปกติ ร่วมกับการขับ K+ ทางปัสสาวะเพิ่มขึ้น ซึ่งแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ 1. ลด K+ shift จากนอกเซลล์เข้าสู่ภายในเซลล์ 2. เพิ่ม K+ shift จากในเซลล์เข้าสู่นอกเซลล์ (ดังสรุปในรูปที่ 6) ภาวะ mineral acidosis ทำให้เกิดภาวะ hyperkalemia จาก K+ shift ขณะที่ organic acidosis ไม่เกิด เนื่องจากในภาวะ mineral acidosis จะลดการทำงานของ NHE1 และ Na-3HCO3–cotransporter ที่เซลล์ skeletal muscle ส่งผลให้ intracellular Na+ ลดลง จึงไปยับยั้ง Na+-K+-ATPase ลด K+ shift เข้าสู่เซลล์ นอกจากนี้การที่ HCO3– ในเลือดลดลง จึงกระตุ้น Cl–– HCO3– exchanger ส่งผลให้ intracellular Cl– เพิ่มขึ้น ไปกระตุ้น K+ shift ออกนอกเซลล์ผ่าน K+-Cl– cotransport (ดังแสดงในรูปที่ 7) ส่วนภาวะ organic acidosis จะมีการ shift ของ H+ และ organic anion ผ่าน monocarboxylate transporter 1,4 (MCT1,4) ทำให้เกิด intracellular acidosis ไปกระตุ้น NHE1 ขณะที่ Na-3HCO3–cotransporter ทำงานลดลง ส่งผลให้ Na+ ภายในเซลล์มีระดับปกติ หรือเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ทำให้ไม่เปลี่ยนแปลงการทำงานของ Na+-K+-ATPase จึงไม่เกิด K+ shift (ดังแสดงในรูปที่ 8)
รูปที่ 6 สรุปสาเหตุของภาวะ hyperkalemia จาก K+ shifting
รูปที่ 7 กลไกการเกิด potassium shifting ในภาวะ mineral acidosis
รูปที่ 8 กลไกการเกิด potassium shifting ในภาวะ organic acidosis
หากไม่พบภาวะ pseudo hyperkalemia และ K+ shifting ขั้นถัดมาให้ urine K+ เพื่อคำนวณหา parameter ต่างๆ ดังแสดงในรูปภาพที่ 9 ประเมินว่าไตขับ K+ เพิ่มขึ้นหรือไม่ หากไตขับ K+ ลดลงผิดปกติให้ดู urine Na+ หากน้อยกว่า 25 mEq/L เกิดจากการลดลงของ Na+ distal delivery ไปที่ CCD หาก urine Na+ > 25 mEq/L ให้ประเมินการออกฤทธิ์ของ aldosterone ที่ CCD ว่าเพิ่มขึ้นหรือลดลง โดยคำนวณค่า TTKG ถ้า TTKG > 8 แสดงว่า aldosterone ออกฤทธิ์ปกติ hyperkalemia เกิดจาก reduced tubular flow ซึ่งเกิดได้จาก 2 ภาวะ คือ advanced kidney failure ที่ GFR < 20 ml/min หรือ extracellular volume ลดลง แต่ถ้า TTKG < 5 แสดงว่า aldosterone ออกฤทธิ์ลดลง ทำให้การขับ K+ ที่ CCD ลดลง ให้ทำ fludrocortisone challenge test ต่อ โดยให้ fludrocortisone 0.05 mg ทางปาก 4 ชม. ถัดมาให้ตรวจ TTKG ซ้ำอีกครั้ง หาก TTKG < 8 แสดงว่าเป็นกลุ่ม aldosterone resistance แต่หาก TTKG > 8 ให้ตรวจระดับบ renin และ aldosterone ในเลือด เพื่อแยกสาเหตุของ hyperkalemia ต่อว่าเป็นกลุ่ม rennin สูง หรือ rennin ต่ำ กลุ่ม rennin สูงเกิดจากสังเคราะห์ aldosterone ของ adrenal gland ลดลง จึงมักเกิดจากความผิดปกติของ adrenal gland โดยตรง (ดังแสดงในรูปที่ 9)
รูปที่ 9 แผนผังการสืบค้นหาสาเหตุของภาวะ hyperkalemia
การรักษาภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูง
ก่อนอื่นต้องแยกว่าเป็น acute หรือ chronic hyperkalemia ยังไม่มีระยะเวลาที่ชัดเจนในการแยก แต่ให้ดูจากประวัติ หากผู้ป่วยไม่เคยพบภาวะ hyperkalemia ให้การรักษาแบบ acute ก่อน สิ่งแรกที่ต้องทำ คือ รักษา หรือหยุดสาเหตุของภาวะ hyperkalemia จากนั้นมี 3 ขั้นตอนในการรักษา
- Stabilize myocardial cell membrane: ตรวจ EKG หากพบความผิดปกติที่เกิดจาก hyperkalemia ให้ 10% calcium gluconate 10 ml iv slowly push in 2-3 min หลังจากนั้น 3 ถึง 5 นาที ให้ตรวจ EKG ซ้ำ หากยังมีความผิดปกติ ให้ 10% calcium gluconate ซ้ำได้ ในกรณีที่ K+ สูงเกิน 5 mEq/L ถึงแม้ EKG ไม่มีการเปลี่ยนแปลง อาจจะพิจารณาให้ 10% calcium gluconate ได้ 1 dose การให้ calcium จะเพิ่มระดับ normal threshold ของ cardiac myocyte membrane ทำให้เกิด depolarization ได้ยากขึ้น ป้องกันการเกิด cardiac arrythmia
- Increase intracellular shift: โดยการให้ insulin plus glucose, albuterol nebulize หรือ NaHCO3 ในกรณีมีภาวะ severe metabolic acidosis ร่วมด้วย9 (ดังแสดงในรูปที่ 10)
รูปที่ 10 การรักษา hyperkalemia ในภาวะฉุกเฉิน - Remove K+ form body: ให้ potassium exchange resin เพื่อเพิ่มการกำจัด K+ ทางเดินอาหาร ถ้ามีภาวะ hypervolemia ร่วมด้วย พิจารณาให้ยาขับปัสสาวะเพื่อขับ K+ ทางปัสสาวะ หรือหากผู้ป่วยเป็น ESRD และมีปัสสาวะออกน้อย พิจารณาฟอกเลือด
- Giebisch G, Krapf R, Wagner C. Renal and extrarenal regulation of potassium. Kidney Int. Aug 2007;72(4):397-410. doi:10.1038/sj.ki.5002288
- Palmer BF. Regulation of Potassium Homeostasis. Clin J Am Soc Nephrol. Jun 5 2015;10(6):1050-60. doi:10.2215/CJN.08580813
- Clase CM, Carrero JJ, Ellison DH, et al. Potassium homeostasis and management of dyskalemia in kidney diseases: conclusions from a Kidney Disease: Improving Global Outcomes (KDIGO) Controversies Conference. Kidney Int. Jan 2020;97(1):42-61. doi:10.1016/j.kint.2019.09.018
- McDonough AA, Youn JH. Potassium Homeostasis: The Knowns, the Unknowns, and the Health Benefits. Physiology (Bethesda). Mar 2017;32(2):100-111. doi:10.1152/physiol.00022.2016
- Palmer BF, Clegg DJ. Physiology and Pathophysiology of Potassium Homeostasis: Core Curriculum 2019. Am J Kidney Dis. Nov 2019;74(5):682-695. doi:10.1053/j.ajkd.2019.03.427
- Sorensen MV, Matos JE, Praetorius HA, Leipziger J. Colonic potassium handling. Pflugers Arch. Apr 2010;459(5):645-56. doi:10.1007/s00424-009-0781-9
- Mathialahan T, Maclennan KA, Sandle LN, Verbeke C, Sandle GI. Enhanced large intestinal potassium permeability in end-stage renal disease. J Pathol. May 2005;206(1):46-51. doi:10.1002/path.1750
- Yamada S, Inaba M. Potassium Metabolism and Management in Patients with CKD. Nutrients. May 21 2021;13(6)doi:10.3390/nu13061751
- Kovesdy CP. Management of Hyperkalemia: An Update for the Internist. Am J Med. Dec 2015;128(12):1281-7. doi:10.1016/j.amjmed.2015.05.040


