พันเอก นายแพทย์ กิจจา จำปาศรี (หมอเต้)
อายุรแพทย์โรคหัวใจ กองอายุรกรรม
โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า
ปัจจุบันอาจารย์รับผิดชอบงานอะไรอยู่บ้าง

ผมทำงานอยู่ที่กองอายุรกรรม โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า โรงพยาบาลซึ่งเป็นหนึ่งในโรงเรียนแพทย์ชั้นนำของประเทศไทยที่ผมภาคภูมิใจ งานของผมนอกจากงานของอาจารย์แพทย์และงานสวนหัวใจแล้ว ก็ยังมีงานด้านการวิจัย ทั้งงานวิจัยส่วนบุคคล และงานวิจัยของสมาคมแพทย์โรคหัวใจที่ผมเป็นหนึ่งในทีมผู้วิจัยของ Thai PCI Registry โดยผลงานวิจัยล่าสุด คือ เรื่อง Door-to-Device Time and Mortality in STEMI ส่วนในฐานะแพทย์ทหาร หลังจากผมเรียนจบหลักสูตรหลักประจำวิทยาลัยการทัพบกแล้ว ปัจจุบันก็กำลังเรียนปริญญาโทด้านความมั่นคงของโรงเรียนเสนาธิการทหารบก และเป็นตุลาการศาลทหารกรุงเทพ ส่วนงานด้านวิทยากรก็มีบรรยายให้กับสมาคมแพทย์ต่าง ๆ รวมถึงองค์กรด้านการศึกษาอื่นอยู่เป็นระยะ
นอกจากนี้ ในด้านส่วนตัว ผมยังทำยูทูป ช่อง DRK Channel เพื่อให้ความรู้ด้านการแพทย์และการดูแลสุขภาพแก่ประชาชนทั่วไป งานวิทยากรรับเชิญในหลายเวที รายการโทรทัศน์ ThaiPBS ส่วนด้านกีฬา ผมเล่นกีฬาหลายประเภท แต่ที่ชอบที่สุด คือ เทนนิส ที่ผมได้เข้าร่วมการแข่งขันเทนนิสอาชีพในระดับประเทศหลายรายการ
————————————
“เคล็ดลับความสำเร็จ
ของผม มี 3 อย่าง คือ
เปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ
คิดในแง่บวก
และเชื่อมั่นในครอบครัว”
————————————

อะไรคือจุดแข็งที่ทำให้ประสบความสำเร็จในหลาย ๆ ด้านพร้อม ๆ กัน
เรื่องแรก ผมมองตัวเองเป็นคน “เปิดใจที่จะเรียนรู้จากคนที่เขาเก่งกว่า” ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมอย่างตอนเรียนแพทย์ปีแรก ผมเป็นเด็กต่างจังหวัดเพิ่งเข้ามาเรียนกรุงเทพได้เกรด 3.2 เอง ผมก็มาดูว่าเพื่อนที่เขาได้เกรดดี ๆ เขาเรียน แบ่งเวลา อ่านหนังสือกันยังไง ผมก็นำมาปรับปรุง ตอนผมจบแพทย์ได้เกียรตินิยมอันดับ 1 (เหรียญเงิน) จนถึงปัจจุบันผมก็ยังเฝ้ามองท่านอาจารย์หลาย ๆ ท่านที่เก่ง ๆ ทำเรื่องดี ๆ ให้เป็นตัวอย่างแก่แพทย์รุ่นน้อง ผมก็ยังปรับปรุงตัวเองแบบต่อเนื่องจนเป็นนิสัย
เรื่องที่สอง คือ ความยืดหยุ่นในจิตใจ ผมพยายามฝึกคิดปัญหาทุกเรื่องในแง่บวก มองทุกปัญหาว่าหากเราพยายามเต็มที่แล้วจะมีทางออกอยู่เสมอ แม้ว่าบางครั้งในตอนเริ่มต้นเราจะยังมองไม่เห็นทางออกนั้นก็ตาม ดังนั้น หากเริ่มแก้ปัญหาด้วยการจัดการกับความคิดตัวเอง ไม่ให้เครียดเกินไป ค่อย ๆ หาเหตุหาหนทางไปเรื่อย ๆ ทุกอย่างก็จะดีขึ้นได้เอง
เรื่องที่สาม คือ ครอบครัว ตอนเด็ก ๆ ผมก็เหมือนเด็กคนอื่น คือ มุมมองในการวางแผนชีวิตยังแคบอยู่ ดังนั้น การเชื่อมั่นและขอคำปรึกษาคุณพ่อคุณแม่ รวมถึงญาติผู้ใหญ่ จะเป็นแนวทางที่มักจะดีกว่าการคิดด้วยตัวเราคนเดียวเสมอ ตัวอย่างเช่น ตอนผมสอบเอนทรานซ์ช่วงนั้นใคร ๆ ก็อยากเรียนวิศวะ ผมเองก็เหมือนกัน แต่พอปรึกษาครอบครัว คุณแม่บอกว่าถ้าอยากจะเรียนวิศวะแม่ก็ไม่ห้าม แต่แม่เป็นพยาบาล พ่อก็เป็นทหาร ลูกจะลองเป็นแพทย์ทหารดูไหม ลองสอบดูสักปีพ่อแม่ว่าก็ดีนะ ผมก็ลองสอบดูตามที่ท่านบอก พอสอบติดเรียนแพทย์ไปหนึ่งปี แม่ก็ถามผมว่าจะลองสอบวิศวะดูใหม่ไหม แต่ผมว่าไม่ดีกว่าครับ เริ่มชอบเรียนหมอแล้ว ทุกวันนี้ผมก็คิดจะเอาแนวทางนี้มาเลี้ยงลูก คือ มีกรอบให้ประมาณหนึ่ง แต่คนตัดสินใจคือเขาเลือกเองครับ จะไม่บังคับ
————————————
“ถ้ามองความเครียด
เป็นเพียงสัญญาณ
ว่าเราจริงจังกับสิ่งที่ทำ
ความเครียด
อาจเป็นแรงขับที่ดีอีกด้วยซ้ำ”
————————————
ทำภารกิจหลาย ๆ อย่าง แล้วจัดการกับความกดดัน หรือความเครียดอย่างไร
ผมไม่ได้มองว่าความเครียดมันเป็นเรื่องเลวร้าย จริง ๆ แล้วงานทุกงานมันก่อให้เกิดความเครียดได้อยู่แล้ว ถ้าเราตั้งใจ หรือจริงจังกับงานที่ทำ เพราะแม้แต่การเล่นกีฬา ถ้าเราตั้งใจมาก ๆ เช่น ตอนแข่งขันก็ทำให้เครียดได้ ผมมองความเครียดมันเป็นแรงขับที่ทำให้เราทำงานดีขึ้น ตั้งใจ ใช้สมาธิมากขึ้น ถ้าเรามองความเครียดเป็นเรื่องปกติ และเป็นเพียงสัญญาณแสดงว่าเราตั้งใจจริงกับสิ่งที่ทำตอนนั้น ไม่ทุกข์ร้อน ไม่เสียสมดุลในชีวิต ความเครียดอาจเป็นสิ่งที่ดีอีกด้วยซ้ำ ผมใช้วิธีนี้จัดการกับความเครียด ถ้าเจอกรณีที่จมอยู่กับเรื่องที่เครียดนาน ๆ ก็สลับไปทำเรื่องอื่น ๆบ้าง แล้วค่อยกลับมาทำเรื่องนั้นใหม่ ซึ่งเป็นแนวทางที่ผมสามารถจัดการความเครียดและความกดดันได้เป็นอย่างดี

มีความเห็นอย่างไรต่อเรื่องที่แพทย์ลาออกจากระบบมากขึ้น
ผมมองว่าการที่แพทย์สักคนลาออกจากระบบนั้น ไม่ใช่เรื่องที่ตัดสินใจกันง่าย ๆ ต้องผ่านการคิดมาอย่างรอบคอบแล้ว ส่วนสาเหตุนั้นก็อาจแตกต่างกันไปในแต่ละคน ปัญหาเรื่อง work life balance ก็อาจเป็นสาเหตุส่วนหนึ่งได้ แต่สาเหตุหลัก น่าจะเป็น 2 เรื่องนี้มากกว่า
เรื่องแรกคือ ความเจริญของบ้านเรามันกระจุกตัวอยู่ที่กรุงเทพและเมืองใหญ่ ๆ ซึ่งเป็นไปตามโครงสร้างของระบบราชการไทย ทำให้โอกาสดี ๆ ในอาชีพส่วนใหญ่จะอยู่ที่กรุงเทพฯ หรือในเมืองใหญ่ ๆ ถ้าเป็นโรงพยาบาลก็เป็นมหาวิทยาลัยแพทย์และโรงพยาบาลศูนย์ฯ เท่านั้น การกระจุกตัวดังกล่าว ทำให้แพทย์ในต่างจังหวัดที่ทำงานจริง ๆ มีภาระงานที่หนัก และความก้าวหน้าในอาชีพมีน้อย ผมคิดว่าลำพังการผลิตแพทย์จำนวนมากขึ้นอาจไม่ตอบโจทย์ทั้งหมด แต่ควรปรับโครงสร้างของระบบเพื่อช่วยให้โอกาสที่ดีขึ้นกับแพทย์ที่เลือกอยู่ต่างจังหวัดมากขึ้น
เรื่องที่สองคือ ความแตกต่างระหว่างการทำงานของแพทย์ในภาครัฐและภาคเอกชน ทั้งภาระงาน กฎระเบียบต่าง ๆ รวมถึงรายได้ ทำให้แพทย์ซึ่งแต่ละคนมีภาระความจำเป็นในเรื่องต่าง ๆ ที่ไม่เหมือนกันตัดสินใจลาออกจากราชการ
สำหรับหนทางการแก้ไขมีหลากหลายแนวทาง ซึ่งทุกภาคส่วนพยายามช่วยกันอยู่แล้ว ส่วนผมขอเน้นเรื่องการกระจายของมหาวิทยาลัยในต่างจังหวัดให้มากขึ้นอีก รวมถึงให้แต่ละรพ.ศูนย์ฯ มีอุปกรณ์เครื่องมือต่าง ๆ แพทย์ที่เชียวชาญ อำนาจการตัดสินใจในการบริหารใกล้เคียงกับกรุงเทพฯ คิดว่าถ้าทำได้ปัญหาการออกนอกระบบจะลดลง
————————————
“Work life balance
ที่ไม่ใช่เพียงการแบ่งเวลา
แบบ separation แต่คือ
การ integration ทุกมิติด้วยกัน
เพื่อหาสมดุลของชีวิต
ในแบบของเรา”
————————————
อาจารย์มีความเห็นต่อเรื่องของ work life balance ซึ่งเป็นกระแสตอนนี้อย่างไร
บางคนมองว่า work life balance เป็นเรื่องของการแบ่งเวลา ซึ่งนั่นเป็นมุมมองแบบ separation แต่ผมมองว่ามันควรจะเป็นการ integration หรือการผสมผสาน ซึ่งจะทำให้งาน หรือกิจกรรมต่าง ๆ ในทุกมิติของชีวิตมีความสมดุล โดยผมสรุปเป็นแนวคิดและแนวปฏิบัติของผมเองมา 3 – 4 ข้อ เริ่มจาก
ข้อแรก การทำให้งาน หรือภารกิจต่าง ๆ ในชีวิต มีความ “เกื้อหนุนกัน” เคล็ดลับมี 3 ข้อ ข้อแรก จัดลำดับความสำคัญตามเป้าหมาย ข้อที่สอง แบ่งเวลาให้สอดคล้องแต่มีความยืดหยุ่น และข้อสุดท้าย รู้จักการขอความช่วยเหลือเมื่อจำเป็น และก็พร้อมที่จะช่วยเหลือผู้อื่นด้วย
อย่างงานส่วนตัว เช่น การทำช่องยูทูป DRK Channel งานวิทยากรรับเชิญ งานเขียนบทความต่าง ๆ ผมจัดให้เป็นงานอดิเรกที่มีคุณค่าและเติมเต็มชีวิตของผม เป็นการให้ความรู้สุขภาพที่ถูกต้องกับผู้ที่สนใจได้เป็นจำนวนมาก งานเหล่านี้เกื้อหนุนหนึ่งในงานประจำของผม ซึ่งเป็นการตรวจรักษาผู้ป่วยที่โรงพยาบาล ซึ่งผู้ป่วยก็สามารถติดตามและได้ความรู้จากช่องทางนี้ เวลาที่ตรวจรักษาจะสั้นกระชับขึ้น ทำให้ผมสามารถตรวจรักษาผู้ป่วยได้มากขึ้นในเวลาที่มีอยู่ หรืออย่างงานวิจัย ผมก็เลือกทำในเรื่องที่สอดคล้องกับงานตรวจรักษา การสวนหัวใจ เป็นต้น
สำหรับระหว่างเรื่องงานกับเรื่องอื่น ๆ ในชีวิต เราก็ไม่ได้แยกออกจากกันอย่างชัดแจนแบบตายตัว สามารถยืดหยุ่นและปรับเปลี่ยนได้ ตัวอย่าง เช่น วันว่างช่วงเย็น เราอาจวางแผนว่าต้องซ้อมเทนนิสเพื่อแข่งขัน แต่เมื่อมีเพื่อนหมอขอให้มาช่วยดูเคสฉุกเฉิน เราก็เต็มใจเข้าไปช่วย ทำให้เมื่อเรามีธุระด่วนในเวลางาน เช่น ลูกไม่สบาย เราต้องออกไปดูลูก เพื่อนก็เต็มใจที่จะช่วยเหลือเรา เป็นต้น
ข้อที่สอง การใช้ครอบครัวเป็น “พลังเสริม” ในมุมมองผม ครอบครัวเป็นสิ่งที่เติมแรงบันดาลใจและพลังใจให้เราทำงาน ทำภารกิจต่าง ๆ ได้อย่างยั่งยืน ไม่ใช่เรื่องที่แย่งเวลางานของเราไป ตัวอย่าง เช่น แม้ผมกับลูกสาวจะมีเวลาพูดคุยเล่นกันแค่ในช่วงหัวค่ำก่อนนอน แต่ในช่วงที่เราเล่นกีฬา ผมก็พยายามพาลูกสาวไปด้วย เพื่อจะได้ทำกิจกรรมหลาย ๆ อย่างด้วยกัน

ข้อที่สาม การใช้กีฬาเป็น “พื้นที่พักและฝึกใจ” อย่างที่เกริ่นไว้ตอนต้น ผมออกกำลังกายเพื่อดูแลสุขภาพโดยการเข้าฟิตเนสและว่ายน้ำที่คอนโด สำหรับกีฬาผมเล่นเทนนิสได้เด่นสุด โดยเข้าร่วมการแข่งขันเทนนิสอาชีพระดับประเทศหลายรายการ และเป็นนักกีฬาเทนนิสทีมกองทัพบก นอกจากนั้น ยังเล่นฟุตบอลทีมเพื่อนพระมงกุฎ ทีมเพื่อนวิทยาลัยการทัพบก ส่วนกอล์ฟ เพิ่งมาหัดเล่นใหม่ ก็รู้สึกท้าทายตัวเองดี เพราะการเล่นกีฬาไม่ใช่แค่เพื่อสุขภาพ แต่คือ การสร้างสมาธิ วินัย รวมถึงเป็นที่พักและฝึกจิตใจ เพื่อทำให้ผมมีสุขภาพกายและใจที่ดีพร้อมในการดูแลคนไข้ต่อไป
ข้อที่สี่ การเติมพลังใจด้วยกิจกรรมเล็ก ๆ ผมกินเจวันพระ ฝึกการมีวินัยและเมตตา สวดมนต์ก่อนนอน ทำให้ใจสงบ พร้อมรับวันใหม่ สำหรับผมความสมดุลไม่ได้มาจากสิ่งใหญ่เสมอไป แต่อาจได้จากแค่กิจวัตรเล็ก ๆ ในแต่ละวัน
ข้อสุดท้าย การเลือกคบคนและสิ่งต่าง ๆ รอบตัวที่เป็นพลังบวกในการใช้ชีวิต ไม่หลงกับดักทางสังคม เลือกทางสายกลางที่ทำให้เป้าหมายสำเร็จ และที่สำคัญ เลือกปล่อยวางหรือ “ช่างมัน” กับเรื่องที่เราควบคุมไม่ได้ ข้อนี้ต้องการจะบอกว่าสิ่งดี ๆ ในชีวิต เกิดจากการที่เราเลือก ไม่ใช่แค่การแบ่งเวลา
ที่ผมกล่าวมาทั้งหมด หากนำมาผสมกันให้ได้สมดุล การทำงาน หรือภารกิจเพิ่มขึ้น 2 – 3 เท่า จะไม่ได้หมายถึงต้องใช้เวลาเพิ่มเป็น 2 – 3 เท่า แต่สามารถใช้เวลาเท่าเดิม ผสมผสานการทำงานและกิจกรรมต่าง ๆ ให้กลมกลืน ความสมดุลก็เกิดขึ้นได้
————————————
“Work life balance
ไม่ใช่แค่การแบ่งเวลา
แต่เป็นการนำพลังบวก
ทั้งในเรื่องงาน และชีวิตส่วนตัว
ครอบครัว สังคม รวมถึงงานอดิเรก
มาวางเสริมกันให้ได้สมดุล”
————————————
ข้อคิดที่อยากฝากถึงแพทย์รุ่นใหม่
ข้อคิดแรก ถ้าเราพยายามทำงานต่าง ๆ ให้เกิดความสำเร็จ ชีวิตก็จะมีความสุข เมื่อชีวิตมีความสุข ก็จะทำให้เรามีกำลังใจในการทำงานมากขึ้น ทั้งสองอย่างต่างเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน ดังนั้น จงทำงานที่คุณรักให้ได้ดี แต่ก็อย่าลืมแบ่งพื้นที่ให้กับสิ่งที่คุณรักนอกเหนือจากงานด้วย
ข้อคิดที่สอง หากมีเรื่องส่วนตัวที่สำคัญแทรกเข้ามา ต้องรู้จักยืดหยุ่นและจัดการงานให้สำเร็จ แต่หากมีงานที่สำคัญแทรกเข้ามาในเวลาส่วนตัว ก็ต้องรู้จักการเสียสละเวลาส่วนตัว
สำหรับผม work life balance ไม่ใช่แค่การแบ่งเวลา แต่เป็นการนำพลังงานบวกในแต่ละมิติ ทั้่งเรื่องงาน ครอบครัว กีฬา สังคม จิตใจ มาวางให้เสริมกัน จะได้ไม่เหนื่อยและมีความสุขได้ในทุก ๆ วัน แล้วสมดุลของชีวิตจะเกิดขึ้นเองครับ.





