CIMjournal
banner mite

Virus update: Severe Fever with Thrombocytopenia Syndrome (SFTS) (กลุ่มอาการไข้สูงร่วมกับภาวะเกล็ดเลือดต่ำอย่างรุนแรง)


พญ. นันตรา สุวันทารัตน์รศ. พญ. นันตรา สุวันทารัตน์
อายุรแพทย์โรคติดเชื้อ วิทยาลัยแพทยศาสตร์นานาชาติจุฬาภรณ์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ

 

Severe Fever with Thrombocytopenia Syndrome (SFTS) เป็นโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ที่เกิดจากเชื้อไวรัส SFTS (SFTS virus: SFTSV) โดยในเดือนมิถุนายน ปี พ.ศ. 2568 นี้ มีรายงานพบผู้ติดเชื้อเป็นสัตวแพทย์ ที่ประเทศญี่ปุ่น คาดว่าติดเชื้อจากเห็บที่แพร่จากแมว และในประเทศไทยมีรายงานพบผู้ป่วยติดเชื้อ และมีรายงานการเฝ้าระวังโรค ทั้งนี้โรค SFTS นี้หรือที่รู้จักกันอีกชื่อว่า Dabie bandavirus มาจากลักษณะทางคลินิกที่สำคัญ 3 ประการ ได้แก่

  1. ไข้สูง (Severe Fever)
  2. ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ (Thrombocytopenia)
  3. ภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ (Leukopenia)

SFTS เป็นโรคที่มีความรุนแรงสูงมาก โดยมีอัตราการเสียชีวิต (Case Fatality Rate) อยู่ระหว่าง 12% ถึง 50% ในบางภูมิภาคโรคนี้ได้รับการรายงานครั้งแรกในประเทศจีน และปัจจุบันพบได้ในหลายประเทศของเอเชียตะวันออก เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เวียดนาม ไต้หวัน ปากีสถาน เมียนมา และประเทศไทย


อาการสำคัญของ SFTS

อาการทางคลินิกของ SFTS มี 3 ระยะหลัก โดยเริ่มจากอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ ไปจนถึงภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต ระยะฟักตัวของโรคตั้งแต่สัมผัสเชื้อไวรัสจนถึงเริ่มแสดงอาการโดยทั่วไปอยู่ที่ประมาณ 5 – 14 วัน

ระยะที่ 1: ระยะไข้ (Fever Stage) (5 – 11 วันแรก)
เริ่มมีอาการอย่างเฉียบพลัน ซึ่งอาจคล้ายโรคอื่นทั่วไป เช่น ไข้เลือดออกหรือไข้จากไวรัสอื่น ๆ ในระยะแรกนี้มีลักษณะเด่น คือ
  • มีไข้สูง
  • อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ไม่มีแรง
  • อาการทางระบบทางเดินอาหาร เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ปวดท้อง เบื่ออาหาร
  • ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
  • ปวดศีรษะ
  • ต่อมน้ำเหลืองโต
ระยะที่ 2: ระยะล้มเหลวของอวัยวะหลายระบบ (Multiple Organ Failure Stage) (เริ่มประมาณวันที่ 5 เป็นต้นไป)
ในกรณีที่อาการรุนแรง โรคอาจแย่ลงอย่างรวดเร็วในช่วงสัปดาห์ที่สอง  อาการสำคัญในระยะนี้ ได้แก่
  • อาการเลือดออกผิดปกติ
  • ภาวะอวัยวะล้มเหลวหลายระบบ ซึ่งผลกระทบต่อตับ หัวใจ ปอด และไต
  • อาการทางระบบประสาท เช่น สับสน สั่น ชัก หรือหมดสติ
  • ภาวะลิ่มเลือดแพร่กระจายในหลอดเลือด (Disseminated Intravascular Coagulation: DIC)

ระยะที่ 3: ระยะฟื้นตัว (Convalescence Stage) (เริ่มประมาณวันที่ 11 – 19)
สำหรับผู้ป่วยที่รอดชีวิตจากระยะวิกฤติ อาการจะค่อย ๆ ดีขึ้น ค่าเกล็ดเลือดและเม็ดเลือดขาวเริ่มกลับสู่ระดับปกติ การฟื้นตัวเต็มที่อาจใช้เวลาหลายสัปดาห์


การแพร่เชื้อของ SFTS

SFTS เป็นโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน (Zoonosis) โดยมีเห็บเป็นพาหะสำคัญ ที่นำเชื้อจากสัตว์ไปสู่คน และยังสามารถติดต่อได้จากสัตว์หรือจากคนสู่คนในบางกรณี
  1. การติดเชื้อจากเห็บ การติดเชื้อส่วนใหญ่เกิดจากการถูกเห็บที่มีเชื้อกัด พาหะนำโรคที่สำคัญคือ เห็บชนิด Haemaphysalis longicornis หรือ Asian longhorned tick อย่างไรก็ตาม เห็บชนิดอื่น ๆ ในสกุล Ixodes, Dermacentor, และ Amblyomma ก็อาจเป็นพาหะได้เช่นกัน
  2. การติดเชื้อจากสัตว์ที่มีการติดเชื้อ ไวรัสสามารถแพร่สู่มนุษย์ได้จากการสัมผัสเลือดหรือของเหลวจากสัตว์ที่ติดเชื้อโดยตรง ผู้ที่มีความเสี่ยงสูง ได้แก่ เจ้าของสัตว์เลี้ยง สัตวแพทย์ และเกษตรกร
    1. มีรายงานการติดเชื้อจากแมวสู่คน รวมถึงกรณีสัตวแพทย์ในญี่ปุ่นเสียชีวิตหลังรักษาแมวติดเชื้อโดยไม่ได้สวมอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลที่เพียงพอ
    2. มีรายงานการติดเชื้อจากสุนัขสู่คน โดยเฉพาะในกรณีที่จับเห็บจากตัวสุนัขด้วยมือเปล่าแล้วบดทิ้ง
    3. สัตว์หลายชนิดสามารถเป็นพาหะโดยไม่แสดงอาการ เช่น แพะ แกะ วัว สุนัข แมว ไก่ รวมถึงสัตว์ป่าอย่างกวางและหมูป่า ซึ่งถือเป็นแหล่งรังโรคสำคัญ
  3. การติดต่อจากคนสู่คน (พบได้น้อย) แม้จะไม่พบบ่อย แต่สามารถเกิดขึ้นได้จากการสัมผัสเลือดหรือของเหลวจากร่างกายของผู้ป่วยโดยตรง โดยเฉพาะในบุคลากรทางการแพทย์หรือผู้ดูแลใกล้ชิดผู้ป่วย ที่สำคัญคือมีรายงานว่า อัตราการเสียชีวิตของผู้ที่ติดเชื้อจากการสัมผัสผู้ป่วยโดยตรงสูงกว่าผู้ที่ติดจากเห็บกัด


การวินิจฉัยโรค SFTS  

แม้ว่าโรค SFTS นี้เป็นโรคที่พบได้ไม่บ่อยในประเทศไทย แต่มีความรุนแรงมาก แพทย์จึงควรมีความตระหนักรู้ถึงโรคนี้ในกลุ่มผู้ป่วยที่มาด้วยอาการไข้สูงฉับพลัน โดยควรทำการประเมินและตรวจวินิจฉัยโรคตามหลักการเดียวกับในผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกในเบื้องต้น เช่น การตรวจ CBC Dengue NS 1 antigen เป็นต้น รวมถึงอาจมีความจำเป็นต้องแยกจากโรคติดเชื้อกลุ่ม rickettsial infections (scrub typhus, murine typhus), leptospirosis มาลาเรียอีกด้วย ทั้งนี้ในการตรวจวินิจฉัยที่จำเพาะต่อโรคนี้แนะนำให้ประสานกับกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขในการส่งตรวจและเฝ้าระวังโรค และดำเนินการตามแนวทางของกรมควบคุมโรคต่อไป โดยวิธีการตรวจที่สำคัญ คือ
  • การตรวจหาไวรัส โดยวิธี virus isolation และ reverse transcriptase polymerase chain reaction (RT–PCR) การตรวจหาไวรัส ควรตรวจในช่วงที่มีระดับไวรัสสูง (วันที่ 1 – 6 ของโรค)
  • การตรวจหาแอนติบอดี โดยวิธี serum neutralization test, indirect immunofluorescence assay และ enzyme-linked immunosorbent assay (ELISA) ซึ่ง IgM จะเริ่มขึ้นในวันที่ 7 ของโรค และมีระดับสูงสุดในสัปดาห์ที่ 4 และลดลงจนไม่สามารถตรวจได้หลังติดเชื้อ 1 ปี และ IgG จะมีระดับสูงสุดในเดือนที่ 6 และสามารถตรวจพบได้ต่อเนื่องอย่างน้อย 5 ปี
  • การตรวจทางอนูชีววิทยาชั้นสูง เช่น การตรวจ whole genome sequencing หรือ next-generation sequencing เพื่อระบุเชื้อและความเชื่อมโยงทางสายพันธุ์


การป้องกันโรค SFTS

เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนในการป้องกัน SFTS ดังนั้นแนวทางหลักในการป้องกันจึงเน้นที่การหลีกเลี่ยงการสัมผัสเชื้อและพาหะนำโรค ได้แก่
  1. หลีกเลี่ยงการถูกเห็บกัด – เป็นแนวทางที่สำคัญที่สุด ควรใช้ยาทากันแมลงและสวมเสื้อผ้าปกปิดมิดชิดเมื่ออยู่ในบริเวณที่มีหญ้า ป่า หรือพื้นที่ชนบทที่มีเห็บชุกชุม
  2. ระมัดระวังหลังทำกิจกรรมกลางแจ้ง – หลังจากทำกิจกรรมนอกบ้าน ให้ตรวจสอบร่างกายและเสื้อผ้าเพื่อตรวจดูว่ามีเห็บติดอยู่หรือไม่ อาบน้ำและซักเสื้อผ้าให้สะอาด
  3. จัดการสัตว์เลี้ยงอย่างปลอดภัย – ควรสวมถุงมือเสมอเมื่อเอาเห็บออกจากตัวสัตว์เลี้ยง ห้ามจับเห็บด้วยมือเปล่า และหลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์เลี้ยงที่มีอาการป่วย โดยเฉพาะแมวและสุนัขที่ดูไม่สบาย เนื่องจากพวกมันสามารถแพร่เชื้อไวรัสได้โดยตรง
  4. ใช้มาตรการป้องกันเมื่อดูแลผู้ป่วย – บุคลากรทางการแพทย์หรือผู้ที่ดูแลผู้ป่วย SFTS ควรใช้อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE) เช่น ถุงมือ เสื้อกาวน์ และหน้ากาก เพื่อป้องกันการสัมผัสเลือดหรือสารคัดหลั่งของ
    ผู้ป่วยโดยตรง


การรักษาโรค SFTS

ปัจจุบัน ยังไม่มียาต้านไวรัสเฉพาะเจาะจงที่ได้รับการรับรองเพื่อรักษา SFTS การรักษาหลักคือ การรักษาแบบประคับประคอง (Supportive care) ซึ่งเน้นที่การจัดการอาการของผู้ป่วยและการประคับประคองการทำงานของอวัยวะสำคัญ โดยการให้สารน้ำ การให้เลือดหรือเกล็ดเลือด และมาตรการอื่น ๆ เพื่อป้องกันภาวะเลือดออกและอวัยวะล้มเหลว

แม้ว่าการรักษาแบบประคับประคองจะเป็นการรักษาหลัก แต่ยาต้านไวรัสบางชนิด เช่น favipiravir กำลังอยู่ในระหว่างการศึกษา และพบว่ามีแนวโน้มผลที่ดีในการทดลองทางคลินิกและแบบจำลองในสัตว์

หากสงสัยว่ามีการติดเชื้อ SFTS โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังถูกเห็บกัดหรือสัมผัสกับสัตว์ป่วย ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เพราะการวินิจฉัยและการดูแลอย่างรวดเร็วเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิต


บทสรุป

SFTS เป็นโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ที่มีความรุนแรงและสามารถเสียชีวิตได้ การรู้เท่าทันอาการ การหลีกเลี่ยงเห็บและการป้องกันการสัมผัสเชื้อโดยตรงคือหัวใจสำคัญในการป้องกันและลดการแพร่กระจายของโรคนี้ รวมถึงการตระหนักรู้ การเฝ้าระวังการและการตรวจวินิจฉัยตามแนวทางของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข

 

เอกสารอ้างอิง
  1. Sansilapin C, Tangwangvivat R, Hoffmann CS, Chailek C, Lekcharoen P, Thippamom N, et al. Severe fever with thrombocytopenia syndrome (SFTS) in Thailand: using a one health approach to respond to novel zoonosis and its implications in clinical practice. One Health Outlook. 2024 Oct 1;6(1):18. doi:10.1186/s42522-024-00112-w. PMID: 39350294.
  2. Seo J-W, Kim D, Yun N, Kim D-M. Clinical update of severe fever with thrombocytopenia syndrome. Viruses. 2021 Jun 23;13(7):1213. doi:10.3390/v13071213.
  3. Severe fever with thrombocytopenia syndrome [Internet]. สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย; [cited 2025 Oct 6]. Available from: https://www.pidst.or.th/A581.html
  4. ญี่ปุ่นเฝ้าระวัง หลังสัตวแพทย์เสียชีวิตจากไวรัสเห็บที่แพร่จากแมว [Internet]. ไทยรัฐออนไลน์; 2025 Jun 17 [cited 2025 Oct 6]. Available from: https://www.thairath.co.th/news/foreign/2865061

 

 

PDPA Icon

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

บันทึก