CIMjournal

Ready to use: โรคเบาหวานระยะสงบ 2568 (Diabetes remission)

 

นพ. เอกลักษณ์ วโนทยาโรจน์นพ. เอกลักษณ์ วโนทยาโรจน์
อายุรแพทย์ต่อมไร้ท่อและเมแทบอลิซึม
ศูนย์เบาหวานและไทรอยด์ โรงพยาบาลเทพธารินทร์

 

สมาคมผู้ให้ความรู้โรคเบาหวาน พ.ศ. 2541 : https://thaide.org/
วารสารแสงเทียน The Diabetes Educator Newsletter
https://thaide.org/wp-content/uploads/2025/Diabetes_Vol27-No2.pdf

 

นับตั้งแต่การศึกษา DiRECT study เมื่อปลายปี พ.ศ. 2560 ที่นําเสนอผลการศึกษาที่เป็นหมุดหมายสําคัญที่แสดงให้เห็นผลลัพธ์ในการเกิดโรคเบาหวานระยะสงบในผู้ที่สามารถลดน้ำหนักตัวได้มากจากการปรับพฤติกรรมแบบเข้มงวด หลังจากนั้นก็มีการศึกษาอีกหลายผลงานตามมามากมายทั่วโลกที่แสดงให้เห็นความสําคัญของการลดน้ำหนัก เพื่อทําให้เกิดโรคเบาหวานระยะสงบจนนํามาซึ่งการประชุมฉันทามติ (Consensus Report: Definition and Interpretation of Remission in Type 2 Diabetes) จากองค์กรต่าง ๆ ได้แก่ American Diabetes Association (ADA), European Association of Study of Diabetes (EASD), Diabetes UK, The Endocrine Society, The Diabetes Surgery Summit เมื่อปี พ.ศ. 2564 ในการกําหนดนิยาม คําจํากัดความ รวมทั้งการแปลผลต่าง ๆ ในเรื่องโรคเบาหวานระยะสงบ โดยแนวทางการเข้าสู่โรคเบาหวานระยะสงบทําได้ 3 วิธี ได้แก่ การผ่าตัด bariatric surgery, การใช้ยาและการปรับพฤติกรรมชีวิตอย่างเข้มงวด (Intensive Lifestyle Intervention, ILI) ต่อมาแนวทางเวชปฏิบัติจากหลากหลายองค์กรก็เริ่มแนะนํา ให้ตั้งเป้าหมายในการลดน้ำหนักเพื่อผลประโยชน์ในด้านเมตะบอลิกต่าง ๆ รวมทั้งผลลัพธ์ในการเข้าสู่โรคเบาหวานระยะสงบด้วยเช่นกันและเริ่มเห็นผลลัพธ์ออกมามากขึ้น โดยในปีพ.ศ. 2565 มีแนวทางการดูแลผู้เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ให้เข้าสู่

สําหรับประเทศไทยก็มีหลายโรงพยาบาลที่นําหลักการของโรคเบาหวานระยะสงบมาใช้ในชีวิตจริงโรคเบาหวานระยะสงบด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างเข้มงวดสําหรับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขโดยสมาคมเวชปฏิบัติทั่วไป/เวชศาสตร์ครอบครัวแห่งประเทศไทย สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทยฯ สมาคมผู้ให้ความรู้โรคเบาหวาน สมาคมต่อมไร้ท่อแห่งประเทศไทย สมาคมนักกําหนดอาหารแห่งประเทศไทย สมาคมผู้ให้อาหารทางหลอดเลือดดําและทางเดินอาหารแห่งประเทศไทยและกองโรคไม่ติดต่อกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นแนวทางการดูแลเฉพาะการปรับพฤติกรรมอย่างเข้มงวดในบริบทไทย ต่อมาในช่วงกลางปี พ.ศ.2566 แนวทางเวชปฏิบัติสําหรับโรคเบาหวานซึ่งจัดทําโดย สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทยฯ สมาคมต่อมไร้ท่อแห่งประเทศไทยร่วมกับราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข และสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติก็มีการเพิ่มบทการดูแลรักษาโดยปรับพฤติกรรมการดําเนินชีวิตให้เข้าสู่โรคเบาหวานระยะสงบด้วย ทั้งนี้กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข มีบทบาทสําคัญในการส่งเสริมให้เกิดการปฏิบัติในแนวทางเข้าสู่โรคเบาหวานระยะสงบตามสถานพยาบาลต่าง ๆ ทั่วประเทศไทย และปลายปี พ.ศ.2566 จึงมีแนวทางการดําเนินงานการดูแลผู้เป็นเบาหวานให้เข้าสู่ระยะสงบ (Remission Service) โดยกองโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขขึ้น โดยมีคณะทํางานจากสํานักงานป้องกันควบคุมโรคทั่วประเทศร่วมกําหนดเป้าหมาย คําแนะนํา การคัดเลือกผู้เป็นเบาหวาน ปัจจัยเบื้องต้น กระบวนการ ปัจจัยความสําเร็จรวมทั้งตัวอย่างการดําเนินงานจากสถานพยาบาลต่าง ๆ ในประเทศไทย ส่งผลให้เกิดการตื่นตัวและมีการขยายบริการการดูแลเพื่อให้เข้าสู่โรคเบาหวานระยะสงบมากขึ้นในประเทศไทย

อย่างไรก็ตามในการดูแลผู้เป็นเบาหวานในแนวทางดังกล่าวนี้มีความแตกต่างจากคําแนะนําการปรับพฤติกรรมชีวิตสําหรับผู้เป็นเบาหวานตามแนวทางเวชปฏิบัติโรคเบาหวานโดยเฉพาะคําแนะนําด้านโภชนบํา บัด ดังนั้นการคัดเลือกผู้เป็นเบาหวานที่จะเข้าร่วมในแนวทางโรคเบาหวานระยะสงบจึงเป็นขั้นตอนที่มีความ
สําคัญอย่างยิ่ง เพราะผู้เป็นเบาหวานแต่ละรายไม่เหมือนกัน การตั้งเป้าหมายที่แตกต่างกันก็จะนํามาซึ่งคํา แนะนํา แนวทางการปฏิบัติที่แตกต่างกัน ซึ่งแนวทางการปรับพฤติกรรมชีวิตแบบเข้มงวดนั้นต้องใช้ทรัพยากรเป็นจํานวนมากและต้องมีความพร้อมในด้านต่าง ๆ โดยอาจแบ่งได้เป็น 4 ด้านตามรูปที่ 1 ได้แก่ ปัจจัยด้านDiabetes remission updateรูปที่ 1 ปัจจัยทั้ง 4 ด้านในการจัดการโรคเบาหวานระยะสงบ


บุคลากรการแพทย์สหสาขาวิชาชีพ เช่น พยาบาล นักกําหนดอาหาร ผู้ให้ความรู้โรคเบาหวานด้านตัวผู้เป็นเบาหวานเองที่ต้องคัดเลือกผู้ที่มีความเข้าใจและพร้อมปรับพฤติกรรมชีวิตแบบเข้มงวดโดยมีการตั้งเป้าหมายร่วมกันแบบ SMART goal ด้านอุปกรณ์เช่น เครื่องตรวจน้ำตาลปลายนิ้วด้วยตนเอง เครื่องนับก้าวเดิน และปัจจัยด้านระบบการบริหารจัดการคลินิกเบาหวานซึ่งเป็นที่เข้าใจ โดยทั่วไปว่าสถานพยาบาลส่วนใหญ่ยังไม่มีความพร้อมในการให้บริการในลักษณะนี้ในวงกว้าง จึงมักใช้วิธีเริ่มให้บริการเป็นคลินิกเฉพาะแยกออกมาจากการดูแลแบบปกติเพื่อให้เกิดความพร้อมในการบริการได้เต็มที่ในบริบทที่จํากัด ซึ่งการปฏิบัติในไทยที่มีแพร่หลายมากขึ้นพบว่ายังมีข้อที่ต้องพึงระวังหลายประการ ได้แก่

  • คําแนะนําด้านโภชนบําบัดที่ต่างไปจากแนวทางเวชปฏิบัติโรคเบาหวานปกติซึ่งแนวทางปกติจะแนะนําโภชนบําบัดแบบ individualized meal plan คือปรับตามแต่ละบุคคลโดยมีรูปแบบการกินทั้ง macronutrient เช่น คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมันในสัดส่วนและปริมาณที่เหมาะสมและหลากหลาย ในขณะที่ผู้ที่ปรับพฤติกรรมชีวิตแบบเข้มงวดเพื่อให้เข้าสู่โรคเบาหวานระยะสงบมักใช้รูปแบบการรับประทานแบบจํากัด เช่น low carb diet, low calorie diet, หรือ very low calorie diet หลายครั้งทําให้เกิดความสับสนทั้งกับบุคลากรการแพทย์เองหรือผู้เป็นเบาหวานหรือกับประชาชนในวงกว้างว่าคําแนะนําโภชนบําบัดในผู้เป็นเบาหวานควรเป็นอย่างไร รวมทั้งยังมักขาดการอธิบายผลข้างเคียงจากการรับประทานแบบจํากัดเหล่านี้ดังนั้นการสื่อสารและกําหนดกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกันตั้งแต่แรกจึงเป็นสิ่งที่จําเป็นอย่างยิ่งเพื่อลดข้อเข้าใจผิด
  • การคัดเลือกผู้เป็นเบาหวานที่ไม่เข้าเกณฑ์ที่จะเข้าสู่โรคเบาหวานระยะสงบ เช่น ผู้เป็นเบาหวานที่ผอม เป็นเบาหวานมานานมากหรือผู้ที่เป็นเบาหวานชนิดอื่น เช่น ผู้เป็นเบาหวานชนิดที่ 1 หรือผู้ที่เป็นเบาหวานระหว่างตั้งครรภ์กลุ่มเหล่านี้ต่อให้มีความพร้อมและตั้งใจปฏิบัติก็ไม่เหมาะสมที่จะปฏิบัติตัวตามแนวทางเข้าสู่โรคเบาหวานระยะสงบเพราะ คําแนะนําโภชนบําบัดต่างจากแนวทางปกติหากปฏิบัติไม่เหมาะสมอาจเกิดผลเสียตามมาได้
  • ความเข้าใจเรื่องยา ข้อนี้มีความสําคัญและยังมีความเข้าใจผิดหลายด้าน โดยอาจแบ่งได้เป็น 3 เรื่องได้แก่
    • การหยุดยา เนื่องจากตามนิยามของโรคเบาหวานระยะสงบต้องไม่ได้รับการรักษาด้วยยาลดน้ำตาลในเลือดเป็นเวลาอย่างน้อย 3 เดือนขึ้นไป บ่อยครั้งผู้เป็นเบาหวานที่หยุดยาได้มักเข้าใจว่าการปรับพฤติกรรมเป็นผลสําเร็จจึงไม่ต้องใช้ยาแล้ว แล้วพลอยไปหยุดยาอื่น เช่น ยาลดความดันโลหิตหรือยาลดไขมันในเลือดไปด้วย ซึ่งที่จริงยาเหล่านี้หากมีข้อบ่งชี้ที่ต้องได้รับยาก็ยังต้องใช้ยาต่อไปขึ้นกับแพทย์เป็นผู้พิจารณา
    • สําหรับยาลดน้ำตาลในเลือดที่มีข้อบ่งชี้ในการลดโรคไตและหัวใจร่วมด้วย เช่น SGLT2i หรือ GLP-1 RAs กลุ่มยาเหล่านี้นอกจากใช้เป็นยาลดน้ำตาลในเลือดแล้วยังมีข้อบ่งชี้ในด้านการลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดรวมทั้งโรคไตในผู้เป็นเบาหวานที่มีความเสี่ยงตามที่กําหนด ดังนั้นในผู้เป็นเบาหวานเหล่านี้ แม้คุมน้ำตาลได้จนเข้าเกณฑ์เบาหวานระยะสงบแล้วก็ยังแนะนําให้ใช้ยาที่มีข้อบ่งชี้ในการลดโรคไตและหัวใจเหล่านี้ต่อไป ซึ่งในปัจจุบันยังไม่มีข้อสรุปว่าคนกลุ่มนี้จะเรียกว่าเข้าสู่โรคเบาหวานระยะสงบได้หรือไม่ เนื่องจากยังต้องใช้ยาตามข้อบ่งชี้ที่ก็เป็นยาลดน้ำตาลในเลือดด้วยอย่างต่อเนื่อง โดยแนวทางอาจเป็นได้ 2 แบบ ได้แก่ แนวทางแรกคือ ให้นับว่าเป็นเบาหวานระยะสงบได้ทั้งที่ยังใช้ยาลดน้ำตาลที่มีข้อบ่งชี้เรื่องไตและหัวใจอยู่ โดยนับเหตุผลการใช้ยาเหล่านี้เป็นด้านไตและหัวใจ ไม่ใช่การใช้เพื่อลดน้ำตาล หรือแนวทางที่ 2 คือ คนกลุ่มนี้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดและโรคไตที่มีข้อบ่งชี้ในการได้รับยาเหล่านี้ให้จัดเป็นกลุ่มที่ไม่เข้าเกณฑ์ในการเข้าสู่โรคเบาหวานระยะสงบ จึงไม่ต้องนําคนกลุ่มนี้เข้าสู่การดูแลแบบเบาหวานสงบตั้งแต่แรก โดยขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุปในประเด็นนี้ออกมา ต้องรอการอัปเดตต่อไป
    • การใช้ยาที่มีผลในการลดน้ำหนัก เช่น GLP-1 RAs หรือยาใหม่ dual GIP/GLP-1 RAs ที่จริงแนวทางการใช้ยาก็เป็น 1 ใน 3 แนวทางเพื่อเข้าสู่โรคเบาหวานระยะสงบ แต่หลายคนสับสนเพราะการเข้าสู่โรคเบาหวานระยะสงบตามนิยามคือไม่ได้ใช้ยาลดน้ำตาลในเลือด ตามความหมายของแนวทางที่จริงคือการใช้ยาเพื่อหวังผลในการลดน้ำหนักในช่วงต้นเพื่อช่วยให้ลดน้ำหนักได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้แล้วหลังจากนั้นหยุดยาและติดตาม หากผู้เป็นเบาหวานสามารถคุมน้ำตาลได้ตามเกณฑ์โรคเบาหวานระยะสงบอย่างน้อย 3 เดือนขึ้นไป หลังหยุดยาก็เข้าได้กับโรคเบาหวานระยะสงบ เช่นกัน โดยปัจจุบันมียาที่สามารถลดน้ำหนักได้มากขึ้นกว่าแต่ก่อน ดังนั้นแนวทางนี้อาจมีการทํามากขึ้นแต่อย่างไรก็ตามข้อมูลการศึกษาส่วนใหญ่แสดงให้เห็นว่าการหยุดใช้ยาลดน้ำหนักเหล่านี้ เมื่อติดตามต่อเนื่องพบว่าน้ำ หนักตัวจะค่อย ๆ เพิ่มกลับคืน ดังนั้นหลังหยุดยาจําเป็นต้องติดตาม ผู้เป็นเบาหวานอย่างต่อเนื่องไปตลอด หากน้ำหนักกลับคืนมาก็มีโอกาสสูงที่เบาหวานจะกลับมาด้วยเช่นกัน
  • การติดตามต่อเนื่องในคลินิกเบาหวานยังเป็นสิ่งสําคัญที่เน้นว่าต่อให้เข้าสู่โรคเบาหวานระยะสงบแล้ว การติดตามระดับน้ำตาล A1C และการตรวจประเมินโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ ทั้งตา ไต เท้า หัวใจและหลอดเลือดยังต้องทําต่อเนื่องต่อไปเรื่อย ๆ โดยปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลว่าต้องติดตามไปนานเท่าใดแต่ในชีวิตจริงเมื่อผู้เป็นเบาหวานเข้าสู่ระยะสงบก็มักขาดการติดตามและไม่มาตรวจต่อเนื่อง ซึ่งบ่อยครั้งพบว่าน้ำตาลกลับสูงขึ้นภายหลังและเกิดโรคแทรกซ้อนตามมาหากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม
  • โรคเบาหวานระยะสงบสามารถกลับไปมาได้บ่อยครั้ง ตามนิยามที่ใช้ระดับ A1C <6.5% บางช่วงของฤดูกาลก็มักทําได้ดีจนเข้าสู่เบาหวานระยะสงบ แต่บางช่วงฤดูกาลของไทย เช่น ช่วงฤดูผลไม้หรืองานเทศกาลต่าง ๆ ก็มักมีน้ำตาลสูงกลับมาใหม่สลับไปมาเช่นนี้เป็นเรื่องปกติในเวชปฏิบัติ ดังนั้นจะเห็นว่าที่จริงนิยามโรคเบาหวานระยะสงบในปัจจุบันไม่ได้สะท้อนการดําเนินโรคที่เข้าสู่ระยะสงบโดยตรงแต่เป็นเพียงเกณฑ์ตัดสินโดยดูจากค่าระดับน้ำตาลเฉลี่ยเท่านั้นซึ่งเป็นสิ่งที่มีขึ้นลงได้ตลอดเวลา เรื่องนี้จึงต้องทําความเข้าใจทั้งกับผู้เป็นเบาหวานเองไม่เช่นนั้นก็จะเกิดความสับสนในการดูแลตนเอง รวมทั้งการกําหนดตัวชี้วัดต่าง ๆ ของคลินิกเบาหวานที่ต้องคํานึงถึงบริบทที่โรคกลับไปมาได้บ่อยครั้งด้วยในการประเมินผลลัพธ์ด้วย
  • รูปแบบการบริการคลินิกเบาหวานระยะสงบเป็นการปรับพฤติกรรมแบบเข้มงวดเฉพาะในผู้เป็นเบาหวานที่เข้าเกณฑ์และมีความพร้อมเท่านั้น ซึ่งเป็นสัดส่วนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับจํานวนผู้เป็นเบาหวานทั้งหมดที่มารับบริการ ดังนั้นในด้านการบริหารจัดการและกําหนดนโยบายยังคงต้องมุ่งเน้นและพัฒนาการบริการการให้ความรู้รวมทั้งผลลัพธ์ สําหรับการดูแลผู้เป็นเบาหวานส่วนใหญ่ ไม่โฟกัสเฉพาะเพียงผลลัพธ์การบริการคลินิกเบาหวานระยะสงบเท่านั้น จํานวนผู้ที่เข้ารับบริการขึ้นกับความพร้อมในทุกปัจจัยดังกล่าวและอาจไม่สามารถกําหนดเป็นเป้าหมายในแต่ละสถานพยาบาลได้ เพราะบริบทของแต่ละแห่งมีความแตกต่างกันในแต่ละด้านและในด้านการบริหารจัดการคลินิกเบาหวานระยะสงบควรพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ให้รอบด้านเพื่อให้เกิดการดูแลที่ต่อเนื่องและยั่งยืน

อัปเดตเพิ่มเติมหลังจากแนวทางที่ออกมาข้างต้น เมื่อต้นปี พ.ศ. 2567 มีข้อมูลการติดตามต่อหลังจากการวิจัยหลักของ DiRECT ชื่อการศึกษา DiRECT Extension ผลลัพธ์ติดตามต่อเนื่องถึงปีที่ 5 พบว่าในผู้ที่ยังลด
น้ำหนักได้ต่อเนื่องก็ยังคงให้ผลลัพธ์ที่ดีทั้งด้านเมตะบอลิกและโรคเบาหวานระยะสงบ แต่อย่างไรก็ตามพบว่าผู้เข้าร่วมการศึกษาส่วนใหญ่เกิดภาวะน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นกลับคืน ซึ่งส่งผลให้ผลลัพธ์ไม่สามารถคงได้ต่อเนื่อง ดังนั้นความท้าทาย สําคัญคือทําอย่างไรที่จะไม่ทําให้น้ำหนักกลับคืนมา หลังจากลดน้ำหนักได้ในตอนต้นยังเป็นปัญหาสําคัญที่ต้องรอข้อมูลการศึกษาเพิ่มเติมต่อไปในอนาคตและเนื่องจากข้อพึงระวังต่าง ๆ ข้างต้น รวมทั้งหลักฐานทางวิชาการที่ออกมามากขึ้น เมื่อต้นปีพ.ศ. 2568 จึงมีการออกหลักการและแนวปฏิบัติเพื่อการดูแลโรคเบาหวานให้เข้าสู่ระยะสงบขึ้น โดยสมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทยฯ สมาคมแพทย์เวชปฏิบัติ/เวชศาสตร์ครอบครัวแห่งประเทศไทย สมาคมผู้ให้ความรู้โรคเบาหวาน สมาคมนักกําหนดอาหารแห่งประเทศไทย สมาคมเครือข่ายโรคไม่ติดต่อไทยและกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเป็นการรวบรวมทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการอัปเดตเนื้อหาความรู้ทั้งหมดตั้งแต่ความรู้พื้นฐานการดูแล การควบคุมอาหาร การออกกําลังกาย/กิจกรรมทางกาย แนวทางปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การติดตามผล การป้องกันไม่ให้น้ำหนักเพิ่มในระยะยาว รวมทั้งระบบการบริหารจัดการและตัวอย่างคลินิกโรคเบาหวานระยะสงบเพื่อใช้เป็นแนวทางอ้างอิงฉบัสมบูรณ์สําหรับประเทศไทยต่อไป

โดยสรุปนับตั้งแต่ DiRECT study ที่จุดประกายเรื่องเบาหวานระยะสงบในวงกว้าง ขณะนี้ผ่านมาเข้าปีที่8 แล้วทั่วโลกมีรายงานผลการปฏิบัติออกมามากขึ้น สําหรับในประเทศไทยก็มีหลายสถานพยาบาลที่มีข้อมูลออกมาเช่นกัน แต่ยังขาดการตรวจทานผลงานแบบ Peer review และการตีพิมพ์ผลงานในวารสารวิชาการที่ได้รับการยอมรับ จึงยังขาดหลักฐานอ้างอิงในระดับประเทศ ซึ่งขณะนี้ก็กําลังมีการวางแผนการศึกษาวิจัยในระดับประเทศอย่างเป็นระบบต่อไป ดังนั้นการนําสู่การปฏิบัติในชีวิตจริงในแต่ละสถานพยาบาลควรพิจารณาปัจจัยทั้ง 4 อย่างเหมาะสม รวมทั้งเน้นกระบวนการให้ความรู้ความเข้าใจแก่ผู้เป็นเบาหวานที่เข้าร่วม เพื่อลดการเกิดข้อเข้าใจผิดต่าง ๆ ที่พบบ่อยในปัจจุบันและเกิดการดูแลโรคเบาหวานระยะสงบได้อย่างเหมาะสมต่อเนื่องและยั่งยืน

 

เอกสารอ้างอิง
  1. Lean Michael EJ, et al. Primary-care led weight management for remission of type 2 diabetes (DiRECT):an open-label, cluster-randomised trial. Lancet 2018; 391: 541-551.
  2. Riddle MC, Cefalu WT, Evans PH, Gerstein HC, Nauck MA, Oh WK, et al. Consensus Report: Definition and Interpretation of Remission in Type 2 Diabetes. Diabetes Care 2021; 44 (10): 2438–2444.
  3. Gregg EW, Chen H, Wagenknecht LE, Clark JM, Delahanty LM, Bantle J, et al. for the Look AHEAD Research Group. Association of an intensive lifestyle intervention with remission of type 2 diabetes. JAMA 2012; 308: 2489–2496.
  4. Mingrone G, Panunzi S, De Gaetano A, Guidone C, Iaconelli A, Capristo E, et al. Metabolic surgery versus conventional medical therapyinpatients withtype 2diabetes: 10-year follow-upof anopen-label, single-centre, randomized controlled trial. Lancet 2021; 397: 293–304.
  5. Schauer PR, Bhatt DL, Kirwan JP, Wolski K, Aminian A, Brethauer SA, et al. for the STAMPEDE Investigators. Bariatric surgery versus intensive medical therapy for diabetes: 5-year outcomes. N Engl J Med 2017; 376: 641–651.
  6. แนวทางการดูแลผู้เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ให้เข้าสู่โรคเบาหวานระยะสงบด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างเข้มงวด สําหรับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข โดย สมาคมเวชปฏิบัติทั่วไป/เวชศาสตร์ครอบครัวแห่งประเทศไทย สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทยฯ สมาคมผู้ให้ความรู้โรคเบาหวาน สมาคมต่อมไร้ท่อแห่งประเทศไทย สมาคมนักกําหนดอาหารแห่งประเทศไทย สมาคมผู้ให้อาหารทางหลอดเลือดดําและทางเดินอาหารแห่งประเทศไทย และกองโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กรุงเทพมหานคร 2565
  7. แนวทางเวชปฏิบัติสําหรับโรคเบาหวาน พ.ศ.2566 โดยสมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทยฯ สมาคมต่อมไร้ท่อแห่งประเทศไทย ร่วมกับราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขและสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
  8. แนวทางการดําเนินงานการดูแลผู้เป็นเบาหวานให้เข้าสู่ระยะสงบ (Remission Service) โดยกองโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข 2566
  9. Lean MEJ, Leslie WS, Barnes AC, Brosnahan N, Thom G, McCombie L, et al. Durability of a primary care-led weight-management intervention for remission of type 2 diabetes: 2-year results of the DiRECT open-label, cluster-randomised trial. Lancet Diabetes Endocrinol 2019; 7: 344–355.
  10. Lean Michael EJ, et al. 5-year follow-up of the randomized Diabetes Remission Clinical Trial (DiRECT) of continued support for weight loss maintenance in the UK: an extension study. Lancet Diabets Endocrinol 2024; 12: 233-246.
  11. หลักการและแนวปฏิบัติเพื่อการดูแลโรคเบาหวานให้เข้าสู่ระยะสงบ โดย สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทยฯ สมาคมแพทย์เวชปฏิบัติ/เวชศาสตร์ครอบครัวแห่งประเทศไทย สมาคมผู้ให้ความรู้โรคเบาหวาน สมาคมนักกําหนดอาหารแห่งประเทศไทย สมาคมเครือข่ายโรคไม่ติดต่อไทยและกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข 2568

 

PDPA Icon

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

บันทึก