งานวิจัยพบว่า สตรีที่มีภาวะโลหิตจางในไตรมาสแรก มีแนวโน้มเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด ทารกมีน้ำหนักตัวน้อย
ภาวะโลหิตจางในสตรีตั้งครรภ์เป็นปัญหาที่พบบ่อย และอาจส่งผลต่อภาวะแทรกซ้อนของการตั้งครรภ์ หรือการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ แต่ความเข้มข้นของฮีโมโกลบินในสตรีตั้งครรภ์จะลดลงตั้งแต่ไตรมาสที่สองขึ้นไป เนื่องจากปริมาตรพลาสมาที่เพิ่มขึ้นซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติของการตั้งครรภ์ ดังนั้น การวัดความเข้มข้นของฮีโมโกลบินตั้งแต่ไตรมาสที่สองขึ้นไป อาจจะทำให้เกิดการวินิจฉัยภาวะโลหิตจางในสตรีตั้งครรภ์มากเกินความจริง เพราะฉะนั้น การวัดความเข้มข้นของฮีโมโกลบินในสตรีตั้งครรภ์อายุครรภ์ก่อน 14 สัปดาห์ จึงบ่งบอกถึงภาวะโลหิตจางตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ และอาจเป็นตัวทำนายผลแทรกซ้อน หรือการเจริญเติบโตของทารกที่เกี่ยวข้องกับภาวะโลหิตจางในมารดาได้
Yige Chen และคณะ จากประเทศจีน ได้ทำการรวบรวมข้อมูลจากสตรีตั้งครรภ์อายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป ที่มาฝากครรภ์ครั้งแรกที่อายุครรภ์ระหว่าง 8 – 14 สัปดาห์ ของการตั้งครรภ์ในโรงพยาบาล Hunan Provincial Maternal and Child Health Care Hospital เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะโลหิตจางของมารดาในไตรมาสแรกกับผลต่อทารก โดยมีสตรีตั้งครรภ์เดี่ยวเข้าร่วมการศึกษา 34,087 ราย พบว่า มี 16.3% ที่มีภาวะโลหิตจางตั้งแต่ไตรมาสแรก ซึ่งมีความสัมพันธ์กับการคลอดก่อนกำหนด โดยแบ่งตามความรุนแรงของภาวะโลหิตจาง คือ โลหิตจางระดับน้อย ปานกลาง และรุนแรง จะมีความเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนดเป็น 1.37 1.54 และ 4.03 เท่า ของผู้ไม่มีภาวะโลหิตจาง ภาวะโลหิตจางดังกล่าวยังมีความสัมพันธ์กับการที่ทารกแรกเกิดมีน้ำหนักตัวน้อย เมื่อเทียบกับอายุครรภ์ โดยแบ่งตามความรุนแรงของภาวะโลหิตจางเช่นกัน คือ โลหิตจางระดับน้อย ปานกลาง และรุนแรง จะมีความเสี่ยงต่อการที่ทารกแรกเกิดมีน้ำหนักตัวน้อยเป็น 1.61 2.01 และ 6.11 เท่า ของผู้ไม่มีภาวะโลหิตจาง ส่วนความเสี่ยงต่อการที่ทารกมีน้ำหนักตัวน้อยเมื่อเทียบกับอายุครรภ์เป็น 1.37 1.54 และ 2.61 เท่า ตามระดับความรุนแรงของภาวะโลหิตจางเช่นกัน แต่ยังไม่พบความสัมพันธ์ระหว่างภาวะโลหิตจางกับความพิการแต่กำเนิดของทารก
ภาวะโลหิตจางของมารดาในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ สัมพันธ์กับความเสี่ยงการคลอดก่อนกำหนด ทารกน้ำหนักตัวผิดปกติ ตามระดับความรุนแรงของภาวะโลหิตจาง
เรียบเรียงโดย พญ. นิษฐา ปรุงวิทยา
ข้อมูลจาก https://bmjpaedsopen.bmj.com/content/8/1/e001931

