การติดเชื้อไวรัส RSV เป็นสาเหตุสำคัญของการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลของเด็กทารก และเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของการเสียชีวิตของเด็ก ล่าสุดองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) ได้อนุมัติยา“nirsevimab” เป็น monoclonal antibody ที่สามารถป้องกันทารกและเด็กเล็ก จากการติดเชื้อไวรัส RSV ได้ตลอดทั้งฤดูกาลการระบาดของเชื้อไวรัส รอบปี พ.ศ. 2566 – 2567
ยา “nirsevimab” เป็น monoclonal antibody ซึ่งจะจำหน่ายภายใต้ชื่อแบรนด์ “Beyfortus” เป็นยาที่ได้รับเพียงครั้งเดียว และพร้อมจำหน่ายสำหรับใช้กับทารกได้ก่อนฤดูกาล RSV ปี พ.ศ. 2566 – 2567 เนื่องจากการติดเชื้อไวรัส RSV เป็นสาเหตุสำคัญของการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลของเด็กทารก และเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของการเสียชีวิตของเด็ก เด็กเกือบทุกคนติดเชื้อ RSV เมื่ออายุ 2 ขวบ อาการส่วนใหญ่จากการติดเชื้อทำให้เกิดไข้ น้ำมูกไหล และไอ ซึ่งจะหายภายใน 2 – 3 สัปดาห์ แต่บางครั้งการติดเชื้อ RSV อาจทำให้เกิดภาวะหายใจลำบาก หรือขัดขวางความสามารถในการดูดนมของทารก ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพร้ายแรงอื่น ๆ ได้และเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดโรคปอดบวมในเด็ก ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีทั่วโลก นพ. รูธ คาร์รอน ศาสตราจารย์ด้านสุขภาพระหว่างประเทศ ระบุว่า การเสียชีวิตเหล่านี้ส่วนใหญ่มากกว่า 95% เกิดขึ้นในประเทศที่มีรายได้ต่ำและปานกลาง
ในการสัมมนาผ่านเว็บเกี่ยวกับนวัตกรรมวัคซีน พบว่า เชื้อไวรัส RSV มีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพสำหรับทารกและเด็กเล็กมากกว่าไข้หวัดใหญ่เสียอีก ยา “nirsevimab” สามารถปกป้องทารกได้ตลอดช่วงฤดูกาลการระบาด ในการทดลองทางคลินิกการฉีดเพียงครั้งเดียวช่วยลดโอกาสของการติดเชื้อรุนแรงที่ต้องได้รับการรักษาจากแพทย์ได้ถึง 74.5% จนถึงขณะนี้ ยาชนิดเดียวที่สามารถช่วยป้องกัน RSV ได้ คือ แอนติบอดีที่เรียกว่า Synagis (palivizumab) ซึ่งต้องฉีดวัคซีน 5 ครั้งต่อเดือน ตลอดช่วงฤดูกาลของไวรัส และการฉีดแต่ละครั้งอาจมีค่าใช้จ่ายมากกว่า 1,000 เหรียญสหรัฐ เนื่องจากราคาและค่าขนส่ง ยานี้จึงมีจำหน่ายเฉพาะสำหรับเด็กที่มีอาการป่วยบางประการ ซึ่งทำให้พวกเขามีความเสี่ยงสูงที่จะป่วยหนักจาก RSV ยา “nirsevimab” ไม่ใช่วัคซีนแต่เป็นยาป้องกันที่ให้ภูมิคุ้มกันแบบ passive ชนิด monoclonal antibody ทำงานโดยให้การป้องกันในทันทีและระยะสั้น ในขณะที่วัคซีน “จะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันของคุณในอนาคต” นพ. David Dowdy ศาสตราจารย์ด้านระบาดวิทยา เขาอธิบายว่า ระบบภูมิคุ้มกันของคุณไม่สามารถ “เรียนรู้” อะไรจากแอนติบอดีได้ ยานี้มีไว้ “โดยพื้นฐานแล้วเพื่อให้ความคุ้มครองในช่วงชีวิตที่ผู้คนมีความเสี่ยงมากที่สุด” ทั้งนี้ ยา nirsevimab ไม่จำเป็นต้องป้องกันการติดเชื้อทั้งหมด แต่สามารถป้องกันการติดเชื้อรุนแรง และป้องกันไม่ให้ทารกต้องนอนโรงพยาบาล นอกจากนี้ การให้แอนติบอดีเหล่านี้แก่ทารกเพียงอย่างเดียวนั้นไม่เหมือนกับการหยุดวงจรตามธรรมชาติของเชื้อ RSV ดังนั้น ยังมีความจำเป็นที่ต้องฉีดวัคซีน ซึ่งปัจจุบันมีวัคซีน RSV สำหรับผู้ใหญ่ที่อายุเกิน 60 ปี และผู้เชี่ยวชาญหวังว่าจะเห็นวัคซีนสำหรับเด็กในเร็ว ๆ นี้ นอกจากนี้ ยังมีความมุ่งหวังในการสร้างภูมิคุ้มกันแบบ passive หรือการฉีดวัคซีนให้กับหญิงตั้งครรภ์เพื่อให้สามารถส่งต่อภูมิคุ้มกันไปยังทารกในครรภ์ได้ อย่างไรก็ยังทำได้ไม่ดีนักกับการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับมารดา สังเกตได้จากอัตราการฉีดวัคซีน Tdap และไข้หวัดใหญ่ในหญิงตั้งครรภ์ที่มีอัตราต่ำในประเทศสหรัฐฯ
เรียบเรียงโดย พญ. พนิดา วิจารณ์
ข้อมูลจาก https://medicalxpress.com/news/2023-07-latest-rsv-kids-antibody-treatment.html
