ศ. พญ. ธันยวีร์ ภูธนกิจ
สาขาวิชาโรคติดเชื้อ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
สรุปเนื้อหางานประชุมวิชาการ 9th PED ID CHULA 2025 ในวันที่ 24 พฤษภาคม 2568
- การป้องกัน RSV กลยุทธ์ในการป้องกันโรคจากเชื้อไวรัส RSV ประกอบด้วย
-
- Maternal vaccination: การให้วัคซีนในมารดาเพื่อให้ภูมิคุ้มกันผ่านรกไปป้องกันโรคในทารกโดยระดับ IgG ที่ได้รับจากมารดาจะสูงเพียงพอในการป้องกันโรค 3-6 เดือนหลังคลอด วัคซีนที่มีใช้ในประเทศไทยขณะนี้ ได้แก่ AbrysvoTM ของบริษัท Pfzer ใช้ RSV proF (subtype A และ B) กระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกัน แนะนำให้ฉีดหญิงตั้งครรภ์ที่อายุครรภ์ 32 – 36 สัปดาห์
- Passive immunization: การให้ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป (monoclonal antibody, mAb) ป้องกันการติดเชื้อหลังคลอด ภูมิคุ้มกันชนิดออกฤทธิ์ยาว (long-acting antibody) ป้องกันการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนล่างในฤดูกาลแรกของทารก mAb ที่มีใช้ในประเทศไทยขณะนี้ ได้แก่ Nirsevimab ซึ่งเป็น recombinant human IgG1 keppa monoclonal antibody มีค่าครึ่งชีวิตยาว (ค่าครึ่งชีวิต 60 – 63 วัน) สามารถให้เพียง 1 ครั้ง/ฤดูกาล มีประสิทธิภาพในการป้องกันการนอนโรงพยาบาลจากการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนล่างร้อยละ 83 แนวทางการให้ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป Nirsevimab แนะนำโดยสมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทยแสดงดังภาพที่ 1
- Infant vaccination: ผลการศึกษาวัคซีนป้องกัน RSV ในทารกพบว่าอาสาสมัครเกิดอาการของโรคหลังจากได้รับวัคซีน ปัจจุบันไม่มีคำแนะนำการใช้วัคซีนป้องกัน RSV ในทารก
-
- การให้บริการวัคซีนไอกรนในหญิงตั้งครรภ์ แนะนำวัคซีนไอกรนชนิดไร้เซลล์ (aP) หรือ Tdap/TdaP (วัคซีนบาดทะยัก-คอตีบ-ไอกรน) จำนวน 1 เข็ม ทุกการตั้งครรภ์ แนะนำให้วัคซีนที่อายุครรภ์ 20 – 32 สัปดาห์ สามารถให้ได้เมื่ออายุครรภ์ 16 สัปดาห์ขึ้นไป เพื่อให้ภูมิคุ้มกันจากมารดาถ่ายทอดไปยังทารก การฉีดวัคซีนหลังอายุครรภ์ 32 สัปดาห์แต่ก่อนคลอดอย่างน้อย 2 สัปดาห์ พบว่ามีประโยชน์ลดการติดเชื้อหรือเสียชีวิตของทารกในขวบปีแรกจากไอกรน
- การป้องกันการติดเชื้อ HIV (ชนิดไม่ใช่ความเสี่ยงจากการทำงาน) ประกอบด้วย
การป้องกันหลังสัมผัส (nonoccupational postexposure prophylaxis, nPEP)
-
- แนะนำให้ภายใน 72 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางอนามัย
- ประเมินความเสี่ยงของ index case: สถานการณ์การติดเชื้อ HIV ยาต้านไวรัสที่ได้รับ ระดับไวรัสในเลือด และประเมินความเสี่ยงของผู้สัมผัสว่ามีข้อบ่งชี้ของการป้องกันก่อนการสัมผัส (preexposure prophylaxis, PrEP) หรือไม่
- สูตรยาต้านไวรัส TDF-3TC-DTG, TAF-FTC-DTG หรือ TAF-FTC-BIC รับประทานนาน 28 วัน
- การตรวจการติดเชื้อ HIV: Ag-Ab combo ตรวจวันแรก (4 – 6 สัปดาห์) และ12 สัปดาห์
- พิจารณา PrEP: สำหรับผู้มีความเสี่ยงสูงแนะนำให้ PrEP ทันทีหลังให้ PEP ครบ หากสงสัยการติดเชื้อให้ตรวจ HIV ร่วมกับ viral load เพื่อการวินิจฉัย PrEP มีชนิดรับประทานและฉีดประกอบด้วย
- TDF/FTC รับประทานทุกวัน ประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อร้อยละ 99
- Carbotegravir ยาป้องกันชนิดฉีดออกฤทธิ์ยาวฉีดทุก 2 เดือน
- Lecanapavir ยาป้องกันชนิดฉีดออกฤทธิ์ยาวฉีดทุก 6 เดือน เป็นยาที่มีประสิทธิภาพสูงสุด จากผลการศึกษาพบว่าลดอุบัติการณ์การติดเชื้อ HIV เหลือเพียง 0.1 ต่อ 100 person-year เปรียบเทียบกับยารับประทานที่พบอุบัติการณ์การติดเชื้อ HIV 9 ต่อ 100 person-year
- การใช้ยา doxycycline เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ สามารถป้องกันหนองใน โรคติดเชื้อคลามัยเดีย และซิฟิลิส โดยรับประทานยาหลังการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ใช้ถุงยางอนามัย เรียก “Doxy-PEP” แนะนำให้รับประทาน doxycycline 200 มิลลิกรัม ภายใน 24 – 72 ชั่วโมง