CIMjournal
banner หัวใจทั่วไป 2

โภชนาการเพื่อป้องกัน ภาวะผนังหลอดเลือดแดงแข็ง


พญ. สิรกานต์ เตชะวณิชพ.ท.หญิง พญ. สิรกานต์ เตชะวณิช

หน่วยโภชนศาสตร์คลินิก กองอายุรกรรม
โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า


สรุปเนื้อหาการประชุมวิชาการประจำปี พ.ศ. 2564 สมาคมโรคหลอดเลือดแดงแห่งประเทศไทย ในวันที่ 29 มกราคม 2564


บทนำ

การบริโภครูปแบบอาหารเพื่อสุขภาพ (healthy dietary pattern) ถือเป็นปัจจัยหลักอย่างหนึ่งในการป้องกันและรักษากลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (non-communicable disease, NCD) โดยเฉพาะโรคหัวใจและหลอดเลือด (cardiovascular disease, CVD) ที่มีสาเหตุมาจากภาวะผนังหลอดเลือดแดงแข็ง (atherosclerosis) ซึ่งเป็นผลจากการอักเสบและบาดเจ็บของผนังหลอดเลือด (endothelial injury) ปัจจัยทางโภชนาการที่เหมาะสมจะสามารถป้องกันหรือลดความรุนแรงของปัจจัยเสี่ยงด้านสุขภาพอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อการเกิด atherosclerosis


แนวทางป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดโดยไม่ใช้ยา

แนวทางป้องกัน CVD โดยไม่ใช้ยานั้น เน้นที่การปรับพฤติกรรมชีวิต รวมทั้งการปรับพฤติกรรมการกิน อย่างไรก็ดี ผู้ป่วย CVD ที่ต้องใช้ยา การปรับพฤติกรรมชีวิตก็ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพของการรักษาด้วยยา

รูปแบบอาหารสุขภาพนั้นมีหลายรูปแบบ ไม่มีรูปแบบจำเพาะ ซึ่งแตกต่างกันไปตามวัฒนธรรมและรูปแบบการดำเนินชีวิตของแต่ละท้องถิ่น อย่างไรก็ดี รูปแบบอาหารสุขภาพทุกรูปแบบมักมีลักษณะร่วมที่คล้ายกัน (รูปที่ 1) เพื่อหวังผลให้ร่างกายมีสุขภาพโดยรวมที่ดี รวมทั้งลดความเสี่ยงต่อ CVD และควบคุมค่าดัชนีมวลกายหรือน้ำหนักตัว และเส้นรอบเอวอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน

ในปี ค.ศ. 2019 American College of Cardiology/American Heart Association (ACC/AHA) ได้ออกคำแนะนำการป้องกัน CVD ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับรูปแบบอาหารสุขภาพ (dietary pattern) เพื่อลดความเสี่ยงต่อ CVD ที่มีสาเหตุจาก atherosclerosis ไว้ดังนี้

  1. เน้นการกินผัก ผลไม้ พืชตระกูลถั่ว (legume) ถั่วเปลือกแข็ง (nuts) ธัญพืช และปลา
  2. ทดแทนไขมันอิ่มตัว (saturated fats) ด้วย ไขมันไม่อิ่มตัว (unsaturated fats)
  3. หลีกเลี่ยงไขมันทรานส์
  4. กินอาหารคอเลสเตอรอลต่ำและโซเดียมต่ำ
  5. ลดการบริโภคสัตว์เนื้อแดง เนื้อสัตว์ต่าง ๆ ที่ผ่านกระบวนการยืดอายุโดยการรมควัน หมัก เติมเกลือ หรือเติมสารถนอมอาหาร (processed meats) คาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยวและเครื่องดื่มที่มีการเติมน้ำตาล

สำหรับคนไทยสามารถใช้รูปแบบการกินอาหารที่แนะนำโดยกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขเพื่อป้องกัน NCD และควบคุมน้ำหนักตัว โดยในแต่ละมื้อเน้นปริมาณอาหารที่เหมาะสมตามสูตรเมนูอาหาร 2:1:1 กล่าวคือ การกินอาหารแต่ละมื้อให้จินตนาการแบ่งจานอาหารแบนขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 9 นิ้ว ออกเป็น 4 ส่วน เท่า ๆ กัน โดย 2 ส่วน (ครึ่งจาน) ให้กินเป็นผักอย่างน้อย 2 ชนิด อีก 1 ส่วน (1/4 จาน) เป็นข้าว แป้ง เน้นเลือกข้าวที่ไม่ขัดสี เข่น ข้าวกล้องหรือข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีท และธัญพืช และอีก 1 ส่วน (1/4 จาน) เป็นโปรตีน โดยเน้นเนื้อสัตว์ไขมันต่ำ (เช่น เนื้อไก่ไม่ติดหนัง เนื้อปลา ไข่ ถั่วเหลือง เต้าหู้ โปรตีนเกษตร เป็นต้น) (รูปที่ 1) และทุกมื้อสามารถกินผลไม้สดที่มีรสหวานน้อยร่วมด้วยในปริมาณขนาดเท่าจานรองกาแฟ หรือประมาณผลไม้หั่นชิ้น 6 – 8 ชิ้นคำ หรือผลไม้ผลขนาดกลาง 1 ผล หรือผลไม้ผลขนาดเล็ก 4 – 6 ผล นอกจากนี้ ยังแนะนำให้ดื่มนม ไขมันต่ำหรือบริโภคผลิตภัณฑ์จากนมไขมันต่ำ วันละ 1 – 2 แก้ว เพื่อให้ร่างกายได้รับแคลเซียมอย่างเพียงพอ
.

Nutrition Management to Prevent Atherosclerosis

Nutrition Management to Prevent Atherosclerosis

รูปที่ 1 แสดงรูปแบบอาหารเพื่อสุขภาพแบบต่าง ๆ ที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด


ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับอาหาร และการเกิด atherosclerosis

ข้อมูลเพิ่มเติมส่วนใหญ่มักเกี่ยวกับการยืนยัน ผลเสียการบริโภคเนื้อสัตว์ในปริมาณมากเกินไป โดยเฉพาะสัตว์เนื้อแดง และ processed meats รวมทั้งกลไกใหม่ ๆ ที่อธิบายการเกิด atherosclerosis ได้แก่

  1. อาหารประเภทเนื้อสัตว์ โดยเฉพาะสัตว์เนื้อแดง เป็นแหล่งของโคลีน (สารอาหารสำคัญตัวหนึ่งที่จัดอยู่ในกลุ่มของวิตามินบี) และแอล-คาร์นิทีน [เป็นสารที่มีหน้าที่เกี่ยวกับกระบวนการย่อยสลายไขมัน เป็นตัวพาไขมันเข้าสู่ไมโทคอนเดรีย ร่างกายสามารถสังเคราะห์แอล-คาร์นิทีน ขึ้นได้เอง จากกรดอะมิโน 2 ชนิด คือ ไลซีน และเมไทโอนีน] ซึ่งทั้งโคลีนและแอล-คาร์นิทีน ที่ได้จากอาหารจะถูกแบคทีเรียในลำไส้เปลี่ยนเป็นเมตาบอไลต์หลายชนิด รวมทั้งสารไตรเมทิลเอมีน (trimethylamine, TMA) จากนั้นจะถูกเปลี่ยนที่ตับเป็นสารไตรเมทิลเอมีน-เอ็น-ออกไซด์ (trimethylamine-N-oxide, TMAO) ซึ่งออกฤทธิ์กระตุ้นตัวรับบนแมคโครฟาจ (scavenger receptors) ทำให้เกิดการสร้าง foam cells และส่งผลให้เกิด atherosclerosis และเกิด CVD ตามมา
  2. การสลายโปรตีนจากอาหารอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะโปรตีนจากสัตว์ ทำให้เกิดสาร asymmetric dimethylarginine (ADMA) ในเลือดเพิ่มมากขึ้น ซึ่งออกฤทธิ์ยับยั้งการสร้างสารไนตริกออกไซด์ในร่างกายส่งผลให้เยื่อบุผนังหลอดเลือดทำงานผิดปกติ (endothelial dysfunction) (รูปที่ 2)
  3. การกินโปรตีนจากสัตว์มากเกินไปยังกระตุ้นการเกิด atherosclerosis ผ่านการเพิ่มขึ้นของสารโฮโมซิสทีนในเลือด นอกจากนี้ ระดับโฮโมซิสทีนในเลือดที่สูงยังยับยั้งการกำจัด ADMA ออกจากร่างกาย (รูปที่ 2)

Nutrition Management to Prevent Atherosclerosis

รูปที่ 2 กลไกการเกิด atherosclerosis ที่สัมพันธ์การลดลงของสารไนตริกออกไซด์ในเลือด

.
อย่างไรก็ดี แหล่งอาหารโปรตีนจากสัตว์ถือว่าเป็นโปรตีนที่มีคุณภาพสูงและดีกว่าโปรตีนจากพืช เนื่องจากโปรตีนจากสัตว์จัดเป็นโปรตีนที่สมบูรณ์ กล่าวคือ มีกรดอะมิโนที่จำเป็นอย่างครบถ้วน ในขณะที่โปรตีนจากพืชนั้นเป็นโปรตีนที่ไม่สมบูรณ์ เนื่องจากที่มีกรดอะมิโนที่จำเป็นไม่ครบถ้วน ยกเว้นโปรตีนจากถั่วเหลืองเป็นโปรตีนจากพืชเพียงชนิดเดียวที่เป็นโปรตีนที่สมบูรณ์ สำหรับ ผู้ที่เป็นมังสวิรัติ การได้รับโปรตีนจากธัญพืชที่หลากหลายและถั่วเหลืองในปริมาณและสัดส่วนที่เหมาะสมจะสามารถเสริมคุณภาพของโปรตีนให้สมบูรณ์เทียบเท่าโปรตีนจากเนื้อสัตว์ จึงแนะนำให้แหล่งโปรตีนจากอาหารควรมาจากพืชและสัตว์อย่างละครึ่ง โดยจำกัดการบริโภคเนื้อแดงปรุงสุกไม่เกินสัปดาห์ละ 500 กรัมหรือไม่เกินวันละ 5 ช้อนโต๊ะ และพลังงานจากโปรตีนที่เหมาะสมต่อร่างกายควรมีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 10 – 18 ของพลังงานรวม โดยต้องปรับให้เหมาะสมกับกิจกรรมทางกายและโรคร่วมอื่น ๆ


สรุป

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินควรเน้นการปรับเปลี่ยนรูปแบบการกินอาหารที่ดีในภาพรวม โดยไม่เน้นไปที่สารอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งเพียงอย่างเดียว โดยรูปแบบอาหารเพื่อสุขภาพดังกล่าว นอกจากจะสามารถป้องกัน atherosclerosis แล้ว ยังสามารถป้องกัน NCDs ได้อีกด้วย และยังถือเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาโรคดังกล่าวโดยไม่ใช้ยา ทั้งนี้ รูปแบบอาหารเพื่อสุขภาพที่เหมาะสมมีหลากหลายขึ้นกับวัฒนธรรม วัตถุดิบ และพฤติกรรมการบริโภคของแต่ละท้องถิ่น จึงควรปรับให้เหมาะกับโรคร่วมและความพึงพอใจของแต่ละบุคคล เพื่อให้สามารถถือปฏิบัติได้ในระยะยาว ทั้งนี้ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินต้องทำควบคู่ไปกับการปรับพฤติกรรมเสี่ยงด้านสุขภาพด้านอื่น ๆ ซึ่งส่งผลให้เกิดการอักเสบ และบาดเจ็บของผนังหลอดเลือดมากขึ้น เช่น การเลิกบุหรี่ การหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การลดความเครียด การพักผ่อนอย่างเพียงพอ การหลีกเลี่ยงมลพิษต่าง ๆ เป็นต้น

 

เอกสารอ้างอิง

  1. Arnett DK, Blumenthal RS, Albert MA, Buroker AB, Goldberger ZD, Hahn EJ, et al. 2019 ACC/AHA Guideline on the Primary Prevention of Cardiovascular Disease: A Report of the American College of Cardiology/American Heart Association Task Force on Clinical Practice Guidelines. J Am Coll Cardiol. 2019; 74(10): e177 – e232.

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

บันทึก