CIMjournal

อาจารย์ พญ. อลิสา ลิ้มสุวรรณ สาขากุมารเวชศาสตร์โรคหัวใจ

 

“งาน คือ ธรรมะ” การตั้งใจทำงานเหมือนการทำสมาธิ การดูแลรักษาผู้ป่วย (ด้อยโอกาส) คือการทำบุญในชีวิต

ศ. พญ. อลิสา ลิ้มสุวรรณ
สาขาวิชาโรคหัวใจ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
รองคณบดีฝ่ายโรงเรียนการบริหารงานโรงพยาบาล
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
นายกสมาคมโรคหัวใจเด็ก (ประเทศไทย)

 

แรงบันดาลใจในการเลือกเรียนแพทย์ โดยเฉพาะสาขากุมารเวชศาสตร์โรคหัวใจ

เรียนมัธยมต้นที่ รร.มาแตร์เดอีวิทยาลัย และจบมัธยมปลายที่ รร.เตรียมอุดมศึกษา เพราะได้รับการท้าทายว่าไม่น่าจะสอบ รร.เตรียมอุดมได้ ตอน ม.5 สอบได้วิศวะ ไปมอบตัวแล้ว แต่คุณยายขอร้องว่าไม่น่าจะใช่อาชีพของผู้หญิงสมัยนั้น และไม่ต้องรีบที่จะสอบเทียบ ปีต่อมาสอบเข้าคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่โดยส่วนตัวก็มองว่าทุกอาชีพสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงในสังคมให้ดีขี้นได้ เรียนจบไปเป็นแพทย์ใช้ทุนที่กรมแพทย์ทหารเรือ 2 ปี ระหว่างนั้นสอบ FMGEMS (ก่อนปรับเป็น USMLE) และเข้า matching program เป็นแพทย์ประจำบ้านกุมารเวชศาสตร์ ที่มิชิแกน ชอบการดูแลผู้ป่วยเด็กที่มีความตรงไปตรงมา ระหว่างที่เป็นแพทย์ประจำบ้าน เป็นช่วงที่ต้องปรับตัว และได้อยู่กับตัวเองมากขึ้น มีความคิดอยากพิสูจน์ตัวเองว่าจะสามารถเดินไปสุดทางกับเส้นทางที่เราเลือก

การเลือกเรียนต่อกุมารแพทย์หัวใจ เพราะสนใจเรื่อง hemodynamics ที่สามารถใช้การตรวจและคำนวณอย่างเป็นรูปธรรม ได้รับความชื่นชมจากอาจารย์ และการรักษาเด็กโรคหัวใจในสหรัฐมีความก้าวหน้ากว่าไทยมาก ภาพจำตอนเป็นนิสิตแพทย์ การผ่าตัดหัวใจเด็กแบบซับซ้อนมีโอกาสรอดต่ำ แต่ที่อเมริกา การรักษาโรคหัวใจแต่กำเนิดที่ซับซ้อน มีอัตราตายต่ำ และอัตราการอยู่รอดจนถึงวัยผู้ใหญ่สูงมาก คิดว่าการเรียนต่อยอดแพทย์โรคหัวใจเด็กจะสามารถนำความรู้ และทักษะมาสร้างความเปลี่ยนแปลงทางด้านกุมารเวชศาสตร์โรคหัวใจให้ดีขึ้น

การไปสัมภาษณ์ตำแหน่งแพทย์ประจำบ้านต่อยอด เริ่มจากที่ University of California San Diego หลังสัมภาษณ์ ชอบสิ่งแวดล้อม เมือง ผู้ร่วมงานมาก พอทางโปรแกรมเสนอตำแหน่ง ตัดสินใจรับทันที เป็นการทำงานที่มี work -life harmony ที่ดีทีเดียว และเป็นจังหวะที่ลงตัวที่ได้แต่งงานกับสามีที่เป็นแพทย์ ที่ย้ายมาอยู่ San Diego จึงแต่งงาน ตอนนั้นก็มีโอกาสคิดทบทวนว่า ด้วยความสามารถของครอบครัวเรา น่าจะทำประโยชน์ได้ในทุกที่ และมีข้อเสนองานในอเมริกามาหลายที่ แต่ถ้ากลับเมืองไทย น่าจะทำประโยชน์และสร้างความเปลี่ยนแปลงได้มากกว่าที่อเมริกา จึงตัดสินใจกลับประเทศไทย

 

“การพัฒนาภายในนำไปสู่
การเปลี่ยนแปลงภายนอก
เป็นแนวทางในการทำหลักสูตร
ผู้บริหารในด้าน
self-transformation
and leadership
เพราะการเปลี่ยนแปลงที่ดี
ควรจะเริ่มจากการพัฒนา
ปรับเปลี่ยนที่ตนเองก่อน
ก่อนที่คิดจะไปเปลี่ยนคนอื่น”


สิ่งที่รู้สึกภูมิใจมากที่สุด

ส่วนตัวมีความสุขและความภูมิใจกับสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ทำ ถ้าจะให้สรุปเรื่องที่คิดว่าสร้างแรงกระทบและการเปลี่ยนแปลง 3 เรื่อง

เริ่มจาก การเป็นอาจารย์แพทย์ที่คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี ในตอนที่เริ่มทำงาน นักศึกษาแพทย์เกือบทั้งหมดอยู่ในกรอบเดียวกัน เรื่องการเรียนจบแพทย์ ไปใช้ทุน และกลับมาเรียนแพทย์ประจำบ้าน ส่วนตัวคิดว่าโอกาสชีวิตของนักศึกษาแพทย์มีมากกว่านั้น อาทิ การไป residency training ที่ สหรัฐอเมริกา พยายามเสนอแนวคิดให้ผู้บริหารด้านการศึกษา และได้รับความไว้วางใจให้ดำเนินโครงการเล็ก ๆ คือ USMLE workshop ร่วมกับแพทย์ไทยในสหรัฐอเมริกาเป็นระยะ นอกจากนั้นได้อาสาดูแลนักศึกษาแพทย์ที่จะเข้าแข่งขันเพื่อขอรับทุนพระราชทาน ทุนสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล (Prince Mahidol Award -Youth Program) ที่ นศพ. รามาธิบดี เคยได้รับรางวัลคนแรก และทิ้งช่วงมา 5 ปี จนมีคนคิดว่ารางวัลนี้ไม่ใช่ของ นศพ.รามาธิบดี ส่วนตัวดิฉันคิดว่า นศพ.เรามีศักยภาพ แต่ต้องการโค้ช จึงอาสาทำหน้าที่ดูแล นศพ.กลุ่มที่สนใจจะสมัครชิงทุน ผลจากการร่วมพัฒนาและสนับสนุน นศพ. ทำให้ นศพ.รามาธิบดี ได้รับพระราชทานรางวัล PMA-Y ติดต่อกัน 3 ปีในช่วงที่ดิฉันรับผิดชอบ ก่อนที่จะปรับบทบาทและหน้าที่

เรื่องที่สอง การได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองคณบดีฝ่ายโรงเรียนการบริหารงานโรงพยาบาล ทำให้มีโอกาสปรับปรุงหลักสูตรในการพัฒนาผู้บริหารในระบบสุขภาพของประเทศ โดยเฉพาะหลักสูตร CEO for Healthcare ของรามาธิบดีที่ได้ดำเนินการต่อเนื่องยาวนานตั้งแต่ก่อตั้ง รพ.รามาธิบดี ซึ่งดิฉันได้มีโอกาสเข้าอบรมในรุ่นที่ 42 ทำให้ได้มองเห็นว่า หลักสูตรนี้มีโอกาสพัฒนาได้อีก พอรับหน้าที่ในการดูแลหลักสูตรเริ่มจาก CEO48 ซึ่งเป็นโครงหลักสูตรเดิม ดิฉันใช้เวลาร่วมเรียนรู้ในหลักสูตรและทำความเข้าใจความต้องการ ความคาดหวังของผู้เข้าอบรม จนตกผลึกจุดแข็งของหลักสูตร ของ รร.บริหารฯ ในการพัฒนาผู้นำจากภายใน ในรูปแบบของตน ที่เริ่มจากการตระหนักรู้ตน ผ่านกระบวนการ self actualization และ self development ส่วน transformation เป็นกระบวนการร่วมที่เกิดจากปฏิสัมพันธ์ของบุคคลในหลักสูตรที่ช่วยให้เกิดความรู้สึกที่อยากพัฒนาตนในรูปแบบของตนเอง

เรื่องที่สาม การผลักดันโครงการในวิชาชีพ กุมารแพทย์โรคหัวใจ คิดว่าตัวเองมีโอกาสได้คิดริเริ่มงานโครงการหลายอย่าง เพราะได้รับการสนับสนุนจากผู้บริหารไม่มากก็น้อย โครงการที่ได้ริเริ่ม เช่น คลินิกความดันเลือดในปอดสูง (Pulmonary Hypertension Clinic) คลินิกโรคหัวใจแต่กำเนิดในผู้ใหญ่ (Adult Congenital Heart Disease Clinic) โครงการแคมป์สุขภาพสำหรับเด็กโรคหัวใจ (CHD camp) การจัดงาน Bangkok International Fetal Echocardiography และงาน Bangkok International Adult Congenital Cardiology โดยทั้ง 2 งานดำเนินการต่อเนื่องและได้คู่ความร่วมมือกับ UCLA และโครงการเปลี่ยนลิ้นหัวใจโดยผ่านสายสวน Transcatheter pulmonary valve replacement (TPVR) โดยการนำนวัตกรรมที่ก้าวหน้ามารักษาผู้ป่วยโดยต้องขอการสนับสนุนจากทางมูลนิธิรามาธิบดีและมูลนิธิร่วมทางฝัน ความสำเร็จของโครงการคือ กลุ่มผู้ร่วมงานที่สนับสนุนส่งเสริมกัน โดยเฉพาะอาจารย์ นพ. แมน จันทวิมล ทำให้โครงการผ่านอุปสรรคและสามารถดำเนินการต่อเนื่อง และเป็นที่ยอมรับในระดับภูมิภาค

“มีเพื่อน ๆ หลายคนถามว่า
งานนี้มันสนุกตรงไหน
ไม่เหนื่อยเหรอ
ก็คงต้องบอกว่า

สำหรับตนเองมันมี
ความหมายและคุณค่ามาก”

ถ้าถามว่าพลังในการคิดทำโครงการมาจากไหน ย้อนนึกไป น่าจะจากคำพูดขออาจารย์ท่านหนึ่งในภาควิชา ที่กล่าวไว้ว่า “น้ำนิ่งคือน้ำเน่า” ประโยคนี้ทำให้ตนเองคิดว่า เราต้องทำงานแบบ “น้ำไหล” หาทำในสิ่งที่ดีขึ้นและดียิ่งขึ้นไปอีกได้


แรงจูงใจในการทำงานด้านบริหาร

ตอนเริ่มทำงาน ส่วนตัวแล้วมีความมุ่งมั่นในงานวิชาการ งานสอนนักเรียนแพทย์ ไม่ได้อยากทำงานบริหาร เพราะคิดว่างานบริหารคือ การเมืองรูปแบบหนึ่ง แต่พอมีความก้าวหน้าทางตำแหน่งวิชาการเป็นศาสตราจารย์แล้ว ก็พบว่าการทำงานขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโดยเราคนเดียวยากมาก โครงการต่าง ๆ ต้องได้รับความสนับสนุนจากทีมบริหาร ประกอบกับตนเองเป็นคนที่คิดโครงการหรือโปรเจ็กใหม่ ๆ จึงอยากเรียนรู้ว่าทีมผู้บริหารเขามีวิธีและแนวคิดกันอย่างไร พอมีโอกาสได้ร่วมทีมบริหารก็คิดว่า โครงการหรือความคิดเห็นของเรา มีโอกาสที่จะเอาไปดำเนินการต่อได้อย่างเป็นรูปธรรม

พอเป็นรองคณบดี ที่ได้ดูแล รร.บริหารฯ ก็ตั้งใจว่าจะทำหลักสูตรนี้ให้ดี ให้คุ้มกับเวลาที่อาจารย์แพทย์และผู้ทำงานบริหารในองค์กรในระบบสุขภาพ สละเวลามาเรียน และพยายามเพิ่มคุณค่าหลักสูตร ซึ่งสะท้อนได้จากมีผู้สนใจสมัครอบรมเป็นจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ เราต้องมีกรรมการพิจารณาคัดผู้ร่วมอบรม การที่ได้เข้ามาดูแล โรงเรียนบริหารฯ ทำให้ได้เห็นศักยภาพอาจารย์แพทย์และบุคลากรในระบบสุขภาพรุ่นใหม่ ที่มีพลังและแนวคิดในการขับเคลื่อนองค์กร ภายในกรอบโดยเฉพาะถ้าเป็นองค์กรของรัฐที่อยู่ในระบบราชการที่มีการพูดถึงการปฏิรูป การบริหารองค์กรในระบบสุขภาพที่ซับซ้อนและมีความผันแปร และไม่แน่นอน (BANI) ผู้นำองค์กรและทีมบริหารต้องขับเคลื่อนคนในองค์กรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญต่างกัน นอกจากนี้แล้วความต่างของรุ่นของคนทำงานที่มีแนวคิดและมุ่งมองคุณค่าชีวิตที่ต่างกัน การบริหารงานของบุคลากรรุ่นหลากหลาย (multigeneration) จึงเป็นความท้าทายของทีมบริหารที่จะนำคนในองค์กรให้มีเป้าหมายเดียวกัน ทำงานร่วมกันอย่างมีความสุข และเปิดโอกาสให้ผู้นำรุ่นใหม่มาพัฒนาองค์ปรับเปลี่ยนไปจากการบริหารแบบเดิม

ในฐานะผู้ดูแล รร.บริหารฯ คิดว่าเรามีหน้าที่สนับสนุนเพื่อนและน้อง ให้มีมุมมองด้านการบริหารภาพกว้าง แต่ยังคงเอกลักษณ์เฉพาะตนที่จะมาพัฒนาขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการบริหารองค์กรในระบบสุขภาพ (new generation of leadership in healthcare) ให้เป็นคลื่นกระเพื่อมของการเปลี่ยนแปลง อยากให้ระบบสุขภาพและสาธารณสุขดีขึ้น มีประสิทธิผลและประสิทธิภาพอย่างยั่งยืน เคยมีคนถามว่า “งานนี้มันสนุกตรงไหน“ ก็คงต้องบอกว่า สำหรับตนเองมันมีความหมายและคุณค่ามาก

การบริหารสมาคมโรคหัวใจเด็ก ในฐานะนายกสมาคม เริ่มจากการเสนอวิสัยทัศน์ ปักหมุดโครงการและตามด้วยแผนกลยุทธ์ โดยขอความร่วมมือจากสมาชิกด้วยความสมัครใจ เพราะข้อจำกัดเรื่องเวลาที่ต่างกัน ที่ผ่านมาได้รับความร่วมมือ และการมีส่วนร่วมของทั้งกรรมการบริหารและสมาชิกสมาคมแบบเกินความคาดหมาย ทุกคนทุ่มเทกับงานของสมาคมด้วยใจ ทำให้งานประชุมของสมาคมพัฒนาดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

 “การเป็นคนที่มีเป้าหมายชีวิต
ที่ชัดเจน มีการวางแผน
เพื่อบรรลุเป้าหมาย
เหมือนวาดแผนที่
ทำให้การทำงานบรรลุผลเสมอ”


ปัจจัยที่นำไปสู่ความสำเร็จ

ความจริงแล้ว คิดว่าตัวเองทำงานได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ในแต่ละเรื่อง เป็นความสำเร็จของการวางแผนงานต่าง ๆ ในภาพรวม ถ้ามองว่าสิ่งที่ทำมาประสบความสำเร็จก็พอจะเรียบเรียงปัจจัยได้บ้าง

ปัจจัยแรก การเป็นคนที่มีเป้าหมายที่ชัดเจน มีการวางแผนเป็นขั้นเป็นตอน และก็มุ่งมั่นในการทำให้ได้ตามเป้าหมาย เมื่อมองย้อนตั้งแต่เรียนจนทำงาน จะวางเป้าหมายให้ตนเองเสมอ เมื่อวางเป้าหมายแล้วก็มุ่งมั่นกับเป้าหมายที่ตนเองตั้งไว้ ทั้งหมดที่ผ่านมาตั้งแต่เรียนเตรียมอุดมฯ เรียนแพทย์ จุฬาฯ เรียน Resident และ Fellow การเป็นอาจารย์แพทย์ เป็นผู้บริหาร เป็นนักวิจัย จนถึงได้ตำแหน่งศาสตราจารย์ ทั้งหมดเกิดจากการวางเป้าหมาย

ปัจจัยที่สอง ความเชื่อมั่นในตัวเอง โดยเฉพาะเมื่อมีใครมาบอกว่าเราทำไม่ได้ ตนเองพร้อมที่จะทำสิ่งนั้นให้ได้  มีความเชื่อมั่นในศักยภาพภายในทั้งของตน และคนที่เรารู้จัก ตัวอย่างเช่น นักเรียนแพทย์มาปรึกษาว่า การไปเรียนต่อที่อเมริกาเป็นสิ่งที่เกินเอื้อม ก็บอกไปว่ายังไม่เริ่มต้นทำเลย ลองพยายามทำดู เราต้องเชื่อมั่นว่าเราทำได้ และกล้าลองทำ เพราะถ้าคุณไม่ทำ คุณก็จะไม่รู้เลยว่าคุณทำได้หรือไม่  ปัจจุบันนักศึกษาแพทย์กลุ่มหนึ่งที่เคยดูแล ได้เข้า residency training ในสหรัฐอเมริกา หลายคนแล้ว

ปัจจัยที่สาม การเป็นคนที่มีความคิดหรือไอเดียตลอดเวลา  บวกกับมีการคิดเชิงวิเคราะห์ (analytical thinking ) และมีการจัดส่วน (prioritization and compartmentalization) ของงานต่าง ๆ และของชีวิต ซึ่ง 3 แนวคิดนี้ประกอบกันจะทำให้ตนเองสามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ ไม่ท้อแท้หรือผิดหวังกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง  เพราะเป็นการเปิดโอกาสให้ตนเองรับรู้หรือทำงานใหม่ ๆ อยู่ตลอด งานไหนไปต่อได้ก็ไปต่อ งานไหนมีอุปสรรคก็แก้ หรือถ้างานไหนจำเป็นต้องหยุดด้วยปัจจัยหลาย ๆ อย่าง ก็สามารถหยุด แล้วไปทุ่มเทกับงานอื่น ๆ ที่รับผิดชอบหรือเชื่อมโยงงานใหม่ได้


กว่าจะถึงวันที่ประสบความสำเร็จ เจออุปสรรคอะไรบ้าง แล้วเอาชนะอย่างไร

การทำงานทุกงานมีปัญหาหรืออุปสรรคอยู่แล้ว เข้าใจว่าทุกคนที่เจอก็มีวิธีการแก้หรือจัดการที่แตกต่างกันไป ตนเองเป็นคนที่มีไอเดียในการทำงานอยู่ตลอด แน่นอนว่าก็ต้องเจอกับปัญหาอยู่ตลอดเช่นกัน ดีตรงที่ปัญหาที่เจอส่วนใหญ่จะแก้หรือหาทางออกได้ ส่วนที่แก้ไม่ได้ก็ปล่อยวาง แล้วก็ไปทุ่มเทกับงานอื่นแทน คือถ้าเราทำตัวให้พร้อมกับโอกาสต่าง ๆ  ถ้าโอกาสหรืองานนี้เราไม่ได้ทำหรือทำต่อไม่ได้ เราก็ยังมีโอกาสอื่นหรืองานอื่นให้เราได้ทำต่อ คือประตูแห่งโอกาสนั้นพร้อมที่จะเปิดให้เราอยู่ตลอด ชีวิตของเราต้องดำเนินต่อไปเสมอไม่ว่าจะเจออุปสรรคหรือปัญหาแบบไหน ตนเองเป็นคนสนุกกับทุกช่วงเวลาของชีวิต


ถ้าย้อนเวลากลับไปแก้ไขได้บางเรื่อง อยากกลับไปทำเรื่องใดมากที่สุด

ทุกอย่างที่ได้ตัดสินใจทำไปในทุกเรื่อง ได้ผ่านกระบวนการความคิดมาอย่างดีแล้ว ได้วิเคราะห์ถึงข้อดีข้อเสียของการตัดสินใจในแต่ละช่วงเวลาของชีวิต อย่างเช่นตอนตัดสินใจว่าจะกลับมาเมืองไทย หรือจะอยู่ทำงานที่อเมริกา เพราะตอนนั้นก็มีครอบครัวแล้วก็ได้คิดอย่างรอบคอบ แต่สุดท้ายแล้วไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราก็ต้องทำตัวให้อยู่รอดให้ได้


ใครคือบุคคลที่เป็นตัวอย่างในการดำเนินชีวิตหรือการทำงาน

ไม่มีคนที่เป็นต้นแบบ ที่เราอยากจะลอกเลียนแบบมาทั้งหมด ส่วนตัวมองว่า การผ่านชีวิตมาได้จนถึงทุกวันนี้ เราก็คงได้เลือกบางส่วนของบางคนมาเป็นแนวทาง ทั้งแบบที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว หลังจากนั้นเราต้องใช้ความสามารถของเราเป็นแบบอย่างในการใช้ชีวิต ให้เป็นคนที่ดีที่สุดในแบบฉบับของตนเอง

 

“งาน คือ ธรรมะ การทำงาน
ตั้งใจเหมือนการนั่งสมาธิ

งานที่ดูแลรักษาผู้ป่วย
ด้อยโอกาสคือ
การทำบุญในชีวิต


คติหรือหลักการที่ยึดถือปฏิบัติในการดำเนินชีวิต

ขอเลือกคำพูดของ ศ. เกียรติคุณ นพ. บุญชอบ พงษ์พาณิชย์ ท่านเคยพูดไว้ว่า “การทำงานก็คือ ธรรมะ” เป็นหลักการในการใช้ชีวิต ถ้าเราทำงานดูแลคนไข้ มีสมาธิอยู่กับการดูแลรักษาคนไข้ ก็เหมือนกับเราได้ปฏิบัติธรรม

ในทุกเรื่องที่ทำนั้น ใส่พลังความมุ่งมั่นตั้งใจของตนเองอย่างเต็มที่ ถ้าผลที่ได้เป็นอย่างที่ตั้งใจไว้ ก็ดีใจ ถ้าผลลัพธ์ไม่ได้เป็นไปอย่างที่ตั้งใจไว้ ก็เข้าใจ และจะคอยแยกแยะว่าปัญหามันอยู่ตรงไหน จะแก้อย่างไร เพราะเราก็ต้องใช้ชีวิตต่อไป


มองการแพทย์ของเมืองไทยและทิศทางในอนาคต

ปัจจุบันสังคมที่ล้อมรอบเราอยู่ มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา มองมาที่การแพทย์บ้านเรา เห็นว่าการแพทย์เมืองไทยหลาย ๆ เรื่อง ก็ได้พัฒนาไปในระดับนานาชาติแล้ว สมเด็จพระราชบิดา พระองค์ท่านได้ทรงวางรากฐานไว้อย่างดี โดยมีการสนับสนุนอาจารย์แพทย์ไปศึกษาต่างประเทศและนำสิ่งที่ได้เรียนรู้กลับมาพัฒนาประเทศอย่างต่อเนื่อง ฝั่งประชาชนก็มีกองทุนต่าง ๆ ช่วยดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล มีระบบการดูแลคนไข้ ให้คนไข้สามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่ดีขึ้น

แต่โอกาสพัฒนาคือ 1) นวัตกรรมหรือเทคโนโลยีทางการแพทย์และสาธารณสุขที่เป็นของบ้านเราเอง 2) ระบบในการ “ดูแลแพทย์และบุคลากรในระบบสุขภาพ” ที่ดี ทุกวันนี้ประเทศไทยมีความมั่นคงทางสุขภาพอันดับ 5 ของโลก แต่มีจำนวนแพทย์ที่ออกนอกระบบมากขึ้นเรื่อย ๆ และมีการกระจุกตัวของแพทย์ตามหัวเมืองใหญ่ ๆ 3) นโยบาย Medical Hub หรือศูนย์กลางทางการแพทย์ในภูมิภาค 

ส่วนตัวมองว่า วิสัยทัศน์และแผนกลยุทธ์ของระบบสุขภาพของไทยยังมีโอกาสพัฒนา มองภาพรวม จัดสรรหน้าที่ จัดสรรงบประมาณ ตามส่วนงานหน้าที่ความรับผิดชอบ การวางงบประมาณของบ้านเรา เช่น การผลิตแพทย์เป็นหน้าที่หลักของโรงเรียนแพทย์ สาธารณสุขรับผิดชอบหลักในการดูแลสุขภาพของประชาชนส่วนใหญ่ ขณะเดียวกันเราต้องบริหารจัดการให้การรักษาอยู่ในมาตรฐานสากลที่เหมาะสมกับทรัพยากรที่มีอย่างจำกัดในประเทศ เราต้องปรับให้เข้ากับบริบทของประเทศ ด้าน Medical Hub ควรมองภาพกว้างเป็น Health Hub ที่รวมถึง wellness economy เข้ามาด้วยการร่วมมือกับภาคเอกชน

 

“สร้างตัวเองให้มีคุณค่า
ในการใช้ชีวิต ถ้ามีโอกาส
ได้ออกไปดูโลกกว้าง
หรือไปเรียนต่อต่างประเทศ
ก็ขอให้ไปและพยายาม
สร้างทางเลือกใหม่ ๆ
ให้กับตัวเอง”


ข้อแนะนำให้แพทย์รุ่นใหม่ว่าจะสำเร็จต้องทำอย่างไร

สิ่งที่อยากจะแนะนำสำหรับแพทย์รุ่นใหม่ก็คือ สร้างตัวเองให้มีคุณค่าในการใช้ชีวิต ถ้ามีโอกาสได้ออกไปดูโลกกว้างหรือไปเรียนต่อต่างประเทศ ก็ขอให้ไปและพยายามสร้างทางเลือกใหม่ ๆ ให้กับตัวเอง ส่วนจะอยู่ต่างประเทศหรือจะกลับมาเมืองไทย ทั้งหมดก็เป็นสิ่งที่ดีทั้งนั้น ถ้าสามารถทำประโยชน์ให้กับสังคมได้ และรับผิดชอบการตัดสินใจของเราเพราะการใช้ชีวิตเราควรเป็นคนเลือกและตัดสินใจด้วยตัวเอง

 

แนะนำอ่านบทความเพิ่มเติม
  1. 10 แนวโน้มพัฒนาการของโรงพยาบาล ทุกสาขาต้องปรับตัว
  2. Future: 10 แนวโน้มอุตสาหกรรมด้านสุขภาพ บุคลากรการแพทย์ไม่รู้ไม่ได้

 

 

 

PDPA Icon

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

บันทึก