“การพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ความสามารถกว้างและลึกในสายงานจะช่วยให้การทำงานประสบความสำเร็จ และมีประสิทธิภาพ”
รศ. พญ. ชลีรัตน์ ดิเรกวัฒนชัย
อดีตนายกสมาคมโรคภูมิแพ้ โรคหืดและวิทยาภูมิคุ้มกันแห่งประเทศไทย วาระ 2559 – 2561
รองประธาน คนที่ 1 ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทยและสมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย
บทสัมภาษณ์จากวารสาร IDV ฉบับที่ 87 ปี 2563
แรงบันดาลใจในการเลือกเรียนแพทย์ โดยเฉพาะสาขาโรคภูมิแพ้
เรียนมัธยมที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ส่วนแรงบันดาลใจที่เลือกเรียนแพทย์ อย่างแรกเลยคือ หมอชาวเยอรมัน แถวสามเสน ที่เคยไปรักษาตอนเด็กเป็นแรงบันดาลใจ ซึ่งเป็นหมอที่ใจดีมาก รักษาเราแล้วหายป่วย แรงบันดาลใจ อีกอย่างคือ งานฉลอง 50 ปี ศิริราช ที่คุณน้าพาไปดู ได้ไปดูซีอุยและห้องกายภาพ รู้สึกว่าไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด กลับกลายเป็นความรู้สึกที่ดี อีกอย่างคือ พ่อแม่อยากให้เรียนแพทย์ จึงไปสอบเอนทรานซ์ ได้เป็นเตรียมแพทย์ เรียนที่คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ 2 ปี หลังจากนั้นจึงข้ามฟากมาเรียนคณะแพทยศาสตร์ที่ศิริราช
ครั้งแรกที่เข้ามาศิริราช ศ. นพ. วีกิจ วีรานุวัตติ์ กล่าวต้อนรับและแสดงความยินดีที่นักศึกษาได้เข้ามาอยู่ในโรงเรียนแพทย์ที่ดีที่สุดของประเทศไทย เมื่อทบทวนดูแล้ว สิ่งที่ท่านกล่าวมิได้เกินเลย เพราะศิริราชมีผู้ป่วยจำนวนมากที่ป่วยด้วยโรคหลากหลายให้นักเรียนแพทย์ได้เรียนรู้ นับเป็นครูที่ยิ่งใหญ่ และมีอาจารย์ที่มีความรู้และประสบการณ์ให้ความรู้กับนักเรียนเป็นครูแพทย์ที่เสียสละ ซึ่งนักเรียนยังระลึกถึงพระคุณอยู่ตลอดมา
ช่วงเป็นนักเรียนแพทย์มีเรื่องที่ต้องเรียนรู้มากมาย รวมทั้งต้องเตรียมการสอบอยู่เสมอ จึงค่อนข้างเครียดระบบการเรียนจะมีพี่ ๆ แพทย์ประจำบ้านคอยดูแลและให้ความช่วยเหลือ อาจารย์และพี่ ๆ มักจะเล่าเรื่องของอาจารย์ในอดีตให้ฟัง เช่น การเตรียม slide เพื่อสอนวิชาการเจริญเติบโตของตัวอ่อนของมนุษย์ (embryology) ของ ศ. นพ. สุด แสงวิเชียร หรือการพัฒนาเครื่องมือเพื่อสอนวิชาสรีรวิทยา (physiology) ของ ศ. นพ. อวย เกตุสิงห์ แทนการซื้อจากต่างประเทศ ซึ่งมีราคาสูงมาก จึงรู้สึกมีความภาคภูมิใจและสำนึกในพระคุณของท่านที่ช่วยให้นักเรียนแพทย์ได้รับโอกาสที่ดีในการเรียนรู้
เมื่อจบแพทยศาสตรบัณฑิต ได้เป็นแพทย์ฝึกหัดที่โรงพยาบาลศิริราช ฝึกงานด้านรังสีวิทยาได้มีโอกาสเรียนรู้การตรวจวินิจฉัยทางรังสี การรักษาผู้ป่วยมะเร็งด้วยการฉายรังสี มีความประทับใจอาจารย์หลายท่าน ซึ่งมักจะวินิจฉัยร่วมไปกับอาจารย์ทางคลินิกแลกเปลี่ยนประสบการณ์และข้อมูล ทำให้การเรียนด้านรังสีน่าสนใจ ขอเอ่ยนามครูแพทย์ที่ประทับใจมาก คือ ศ. นพ. นรา แววศร ท่านเป็นหมอที่ดีของคนไข้และเป็นครูที่เสียสละ สำหรับลูกศิษย์ และที่ต้องกล่าวถึงคือ ศ. นพ. ประเสริฐ บุญประภัสสร ท่านให้ความสำคัญในการฝังแร่เพื่อรักษาผู้ป่วยมะเร็ง ซึ่งในระยะนั้นไม่ค่อยมีทางเลือกอื่น การฝังแร่ให้ผู้ป่วยแพทย์เองก็มีความเสี่ยงจากรังสีนั้น ๆ จำได้ว่า มีผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูก และลุกลามจนถึงขั้นระยะ 4 มีชีวิตอยู่ได้ถึง 11 ปีในวันที่มาติดตามผลการรักษา อาจารย์จะมีความสุขมากที่ได้ช่วยผู้ป่วยรายนั้น
หลังจากอยู่รังสีวิทยา ได้มีโอกาสมาเรียนกุมารเวชศาสตร์ ที่คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ถือว่าโชคดีมากที่ได้มาเรียนที่ภาควิชานี้เพราะที่นี่เป็นศูนย์รวมอาจารย์ที่สุดยอดในทุกสาขาวิชา ยกตัวอย่างด้านโภชนาการ จะมีอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโปรตีน (ศ. นพ. ไกรสิทธิ์ ตันติศิรินทร์) ไขมัน (ศ. นพ. เพียรวิทย์ ตันติแพทยางกูร) และ ศ. นพ. อารี วัลยะเสวี เจ้าของรางวัลแมกไซไซ ผู้พิชิตโรคขาดอาหารในเด็กและโรคนิ่วในทางเดินปัสสาวะ และ ศ. นพ. สมศักดิ์ โล่ห์เลขา ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ และยังมีอาจารย์ท่านอื่น ๆ อีกหลายท่านล้วนเป็นผู้นำด้านสาขาวิชาต่าง ๆ ระดับประเทศและระหว่างประเทศ
หลังจากจบวุฒิบัตรกุมารเวชศาสตร์ ได้มาเรียนต่อด้านภูมิแพ้และเป็นอาจารย์ในภาคต่อมาจนเกษียณอายุ ได้มีโอกาสไปประชุมวิชาการและเสนอผลงานวิจัยที่ต่างประเทศ และดูงานที่สหรัฐอเมริกา (St. Luke’s Presbyterain Hospital University of Illinois และที่ National Jewish Health ที่ Denver, Colorado) แห่งละ 3 เดือน
สิ่งที่รู้สึกภูมิใจมากที่สุด
สิ่งที่ภูมิใจจริง ๆ เรื่องแรก คือ การที่ได้ช่วยให้เด็กที่เป็นโรคหืดรุนแรงขนาดต้องเข้ารับการรักษาในหออภิบาล (ICU) อยู่ได้ด้วยยาเพรดนิโซโลนขาดเรียนบ่อย ไม่สามารถเล่นได้เหมือนเด็กทั่วไป ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเป็นประจำ (ขณะนั้นยังไม่มียาสูดชนิดสเตียรอยด์) ให้กลับไปมีชีวิตที่ปกติ สามารถเรียนและทำกิจกรรมได้เหมือนเด็กปกติ เมื่อเติบโตสามารถทำธุรกิจได้ ประสบความสำเร็จ แม้ว่าโรคหืดเป็นโรคที่ยอมรับกันว่ารักษาไม่หายขาด แต่การดูแลรักษาที่ดีตั้งแต่แรก จะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้
เรื่องที่สอง เป็นเรื่องครอบครัว สามีทำหน้าที่ดูแลครอบครัวดี และลูก 3 คน เป็นเด็กดีไม่นอกลู่นอกทาง ไม่ติดยา ไม่ติดบุหรี่ หรืออบายมุขเลย นี่เป็นพื้นฐานชีวิตที่สำคัญ เราคอยสอนเขาตั้งแต่เด็กให้เป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี คือไม่ทำชั่ว พยายามทำดี ชอบช่วยเหลือคน
เรื่องที่สาม ความสำเร็จในการทำงาน ได้มีโอกาสทำงานเป็นอาจารย์ที่ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ ซึ่งถือว่าเป็นภาควิชาที่มีเกียรติภูมิสูงในด้านการสร้างกุมารแพทย์ งานวิจัยและงานบริการ ต่อมาทางคณะชวนให้เป็นรองผู้อำนวยการ โรงพยาบาลรามาฯ และเป็นผู้อำนวยการ โรงพยาบาลรามาฯ อยู่ช่วงหนึ่ง ขึ้นเป็นรองอธิการบดีฝ่ายคลัง เมื่อมีโอกาสทำงานนี้ ต้องศึกษาเรื่องการทำงาน ในฐานะผู้บริหาร จะมีปัญหาให้แก้เรื่อย ๆ ซึ่งไม่ได้รู้สึกเบื่อหน่ายกับปัญหาที่เกิดขึ้น ความรู้สึกว่าเขาให้เรามาช่วยตรงนี้เพื่อให้ช่วยจัดการปัญหาเหล่านี้ ซึ่งต้องมีอยู่แล้วทุกวัน เป็นสิ่งที่ภูมิใจที่ท่านคณบดีและอธิการบดีให้โอกาสและความไว้วางใจ และมีโอกาสเป็นเหรัญญิกมูลนิธิรามาธิบดี
เรื่องสุดท้าย คือ การได้รับเลือกตำแหน่งนายกสมาคมโรคภูมิแพ้ฯ เป็นตำแหน่งเดียวในสายิชาชีพ ที่เราสามารถจะทำอะไร ที่เรามีความคิดว่าจะทำให้มันดีขึ้น

ปัจจัยที่นำไปสู่ความสำเร็จ
ปัจจัยแรกคือ ในการทำงานเราไม่สามารถทำได้ด้วยตนเอง ต้องอาศัยเพื่อนร่วมงาน การทำงานในหน่วยโรคภูมิแพ้ โชคดีที่ทุกคนมีความตั้งใจดี มุ่งให้การดูแลผู้ป่วยได้ผลดีสูงสุด ช่วยสนับสนุนเตรียมอุปกรณ์การสอนและงานวิจัย
ปัจจัยที่สอง คือ พื้นฐานตัวเองเป็นคนที่อยากช่วยเหลือผู้อื่น โดยเฉพาะผู้ป่วยและเพื่อนร่วมงานระดับล่าง ๆ เมื่อมีภาระงานก็มักจะได้รับความร่วมมือที่ดี และที่สำคัญในการทำงาน คือ ทางครอบครัว พ่อและแม่ เป็นคนซื่อตรง ไม่เคยเห็นว่าแม่และพ่อจะทำร้ายใครเลย ก็อยากเป็นคนดีเหมือนพ่อและแม่ นอกจากนี้ สามียังเป็นผู้ที่ให้คำแนะนำ สามีเป็นคนที่ชอบเรียนรู้ตลอดเวลาเลยมีโอกาสได้ความรู้ถ่ายทอดมา
ปัจจัยที่สาม ผู้บังคับบัญชา ที่ให้โอกาสและเป็นแบบอย่างในการทำงาน เมื่อได้ร่วมงานแล้ว พบว่า ท่านเป็นผู้มีเมตตาอย่างสูง โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ระดับล่าง เมื่อครั้งมอบหมายให้เป็นประธานสวัสดิการคณะ ได้แนะนำแนวทางการทำงาน “ขอให้ลูกคนงานได้เรียนมหาวิทยาลัย”
โดยสรุปแล้วถือว่าเป็นคนโชคดีที่ได้มีโอกาสเรียนและทำงานในที่ที่ดี ได้มีโอกาสทำงาน ได้รับความไว้วางใจมอบหมายงานและได้ผู้ร่วมงานที่ดี
กว่าจะถึงวันที่ประสบความสำเร็จ เจออุปสรรคอะไรบ้าง แล้วเอาชนะอย่างไร
อุปสรรคที่สำคัญ ก็คือ ตัวเราเอง ในบางครั้งเกิดความเบื่อหน่าย ไม่อยากทำงาน ซึ่งถ้าเลิกก็คงจบ แต่ถ้าสามารถอดทนได้ และมองย้อนกลับไปก็จะเห็นว่า ทุกปัญหาจะมีทางออก
จากการทำงานในฐานะนายกสมาคมโรคภูมิแพ้ โรคหืด และวิทยาภูมิคุ้มกันแห่งประเทศไทย เป้าหมายจริง ๆ คือ ต้องการสนับสนุนด้านวิชาการแก่แพทย์และทีมงานให้สามารถติดตามวิชาการ ซึ่งมีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา ให้สามารถดูแลผู้ป่วยโรคภูมิแพ้และอิมมูโนวิทยาให้ได้ผลดีที่สุด มีความมั่นใจในการดูแลผู้ป่วยและให้คำปรึกษาแก่แพทย์และผู้ป่วยได้ด้วย การทำงานในสมาคมจะแบ่งงานตามความสนใจและความเชี่ยวชาญของแต่ละท่าน ผลงานออกมาเป็นที่พอใจของคนส่วนใหญ่ ท่านทำด้วยความสนุก การจัดประชุมวิชาการจึงได้รับความสนใจจากแพทย์ด้วยดีมาตลอด ถือว่าเป็นความสำเร็จของสมาคม
ถ้าย้อนเวลากลับไปแก้ไขได้บางเรื่อง อยากกลับไปทำเรื่องใดมากที่สุด
เรื่องสำคัญคือ IT ซึ่งมีความสำคัญและจำเป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ ในการพัฒนางาน
เรื่องที่สองคือ การพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ความสามารถกว้างและลึกในสายงาน จะช่วยให้การทำงานประสบความสำเร็จ และมีประสิทธิภาพ
ใครคือบุคคลที่เป็นตัวอย่างในการดำเนินชีวิตหรือการทำงาน
ท่านแรก คือ คุณพ่อ เป็นต้นแบบในเรื่องของความสมถะ ซื่อสัตย์ ดำเนินชีวิตเรียบง่าย ตั้งใจเลี้ยงลูกให้เป็นคนดีเป็นตัวอย่างที่ดี ทุกวันนี้ยังคิดถึงและอยากเป็นอย่างพ่อ
ท่านที่ 2 ศ. พญ. แฉล้ม วรรธนานุสาร หมอสูติฯ ที่ศิริราช ท่านเป็นอาจารย์ที่ดูเหมือนจะดุ เป็นคนเข้มงวด แต่ใจดี อ่อนโยน และรักลูกศิษย์มากเวลาสอนจะเข้มงวด จริง ๆ ไม่ได้สนิทกับอาจารย์มาก แต่ตอนหลัง ๆ ได้ไปพบท่านได้ฟังอะไรจากท่าน ประทับใจในการเป็นครูแพทย์ที่สอน ท่านจะเอาคนไข้เป็นหลัก รักลูกศิษย์ ใจดี เป็นตัวอย่างที่ดี
ท่านที่ 3 รศ. พญ. กรุณา รัตนบรรณางกูร เป็นหมอเด็ก เป็นอาจารย์ที่รามาฯ อาจารย์เคยอยู่เมืองนอกและดูคนไข้เด็กแรกเกิด เป็นหมอที่เก่งมาก มีทักษะชีวิต เวลามีปัญหาจะได้คำตอบที่คิดไม่ถึง ท่านฉลาดและเก่งมากในการแนะนำเราเรื่องดูแลคนไข้ เป็นแม่แบบของกุมารแพทย์
ท่านที่ 4 ศ. นพ. สุด แสงวิเชียร ท่านสอนวิชากายวิภาค ได้เคยฟัง จริยวัตรของท่าน จาก อ. นรา แววศร ท่านเป็นครูที่ลูกศิษย์รักและเคารพเป็นคนสมถะ ชอบช่วยเหลือผู้ป่วย
ท่านที่ 5 ศ. นพ. นรา แววศร ท่านเป็นรังสีแพทย์ เป็นครูที่ดี เป็นอาจารย์ที่เก่งมาก มีความสามารถในการสอนให้รู้สึกสนุก และเสียสละเวลาให้ลูกศิษย์เสมอ ความจริงยังมีอาจารย์อีกหลายท่านที่ประทับใจ และระลึกถึงท่านอยู่เสมอ คงจะบอกได้ไม่หมด

คติหรือหลักการที่ยึดถือปฏิบัติในการดำเนินชีวิต
พยายามทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ด้วยความซื่อตรง ถูกต้อง
มองการแพทย์ของเมืองไทยว่าอย่างไร ทิศทางในอนาคตเป็นอย่างไร
ในปัจจุบันวิทยาการทางการแพทย์ พัฒนาไปไกล มีเครื่องมือและเทคโนโลยีใหม่เข้ามารวดเร็ว แพทย์ต้องติดตามและเลือกใช้ให้เหมาะสมลักษณะของโรคมีแนวโน้มเปลี่ยนไปจากโรคติดต่อมาเป็นโรคไม่ติดต่อ และดูจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และโรคมะเร็ง ซึ่งจะเป็นโรคที่เกิดจากพฤติกรรม การใช้ชีวิตที่ไม่ถูกต้อง การป้องกันโรคจึงเป็นเรื่องสำคัญ หลายโรคดังกล่าวมีจุดเริ่มจากวัยเด็ก กุมารแพทย์จึงมีบทบาทสำคัญในการให้คำแนะนำ เช่น แนะนำด้านโภชนาการ การออกกำลังกาย การพักผ่อนที่เพียงพอ ไม่ให้เด็กติดเกมส์ ติดโทรศัพท์ หรือโทรทัศน์ ทุกโรคมีค่าใช้จ่ายสูง การป้องกันจึงเป็นเรื่องสำคัญและคุ้มค่า
ปัญหาอีกเรื่องที่ควรช่วยกันแก้ไข คือ ในปัจจุบันมีโรงพยาบาลเอกชนเพิ่มขึ้นมา ส่วนหนึ่งถือว่าเป็นการช่วยรับภาระโรงพยาบาลรัฐบาลซึ่งมีผู้ป่วยล้น ในขณะเดียวกันจะมีแพทย์หลั่งไหลเข้ามาทำงานในโรงพยาบาลเอกชนมากขึ้น เพราะมีรายได้สูงกว่าหลายเท่า ทำให้แพทย์ในโรงพยาบาลรัฐทำงานหนัก น่าจะได้รับการดูแลให้เหมาะสม เพื่อจะรักษาแพทย์เหล่านี้ไว้
ข้อแนะนำให้แพทย์รุ่นใหม่ว่าจะสำเร็จต้องทำอย่างไร
นอกจากติดตามวิชาการทางการแพทย์และเทคโนโลยีสมัยใหม่แล้ว เรื่องจริยธรรมเป็นเรื่องสำคัญที่ครูแพทย์ต้องพยายามสอนลูกศิษย์ในเรื่องนี้ น่าแปลกที่แพทย์ต้องทำงานหนักและมีความเครียดตลอด แต่ก็ยังมีแพทย์ส่วนใหญ่ ยังคงอาชีพแพทย์ เป็นคำถามที่น่ามีคำตอบ ได้เคยมีคำสัมภาษณ์แพทย์จำนวนหนึ่งในอเมริกาว่า ทำไมยังคงทำงานอาชีพแพทย์ อีกคำตอบที่ได้คือ ความสุข และความภาคภูมิใจที่ได้ช่วยชีวิตผู้ป่วยหรือช่วยให้ผู้ป่วยหายจากโรคได้ นี่คือสิ่งที่หล่อเลี้ยงจิตใจของแพทย์ให้ดำเนินอาชีพนี้
ดัง สมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ได้ตรัสไว้ว่า “ขอให้ถือประโยชน์ส่วนตนเป็นที่สอง ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง ลาภ ทรัพย์และเกียรติยศจะตกแก่ท่านเอง ถ้าท่านทรงธรรมะ แห่งอาชีพไว้ ให้บริสุทธิ์”
สำหรับแพทย์ในสาขาโรคภูมิแพ้ ในปัจจุบันอุบัติการณ์สูงขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งก็เป็นผลจากการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป การกินอยู่อย่างชาวตะวันตก การมีสุขอนามัยที่ดีขึ้น การคลอดโดยการผ่าตัดแทน การคลอดแบบธรรมชาติ มลภาวะที่เพิ่มขึ้น ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้เพิ่มขึ้นในหลายประเทศรวมทั้งประเทศไทย การรักษาก็มีวิวัฒนาการที่ดีขึ้น แต่ก็ยังมีปัญหามากมายในการดูแลผู้ป่วย มีค่าใช้จ่ายที่สูง คุณภาพชีวิตไม่ดี เด็กต้องขาดเรียนบ่อย ปัญหาเหล่านี้สามารถลดลงได้ หากแพทย์ พยาบาล เภสัชกร และผู้ปกครองให้ความสนใจร่วมมือกันแก้ไขปัญหา

