ผศ. นพ. กฤษณ์ ลีมะสวัสดิ์
หน่วยวิชาระบบหัวใจและหลอดเลือด ภาควิชาอายุรศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
1. ภาวะขาดธาตุเหล็กในผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลวพบได้บ่อยมาก
โดยทั่วไป การวินิจฉัยภาวะขาดธาตุเหล็ก (iron deficiency) ในผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลว (heart failure) อาศัยการตรวจพบระดับ serum ferritin น้อยกว่า 100 ng/mL หรือมีระดับ serum ferritin 100 – 299 ng/mL ร่วมกับ transferrin saturation (TSAT) น้อยกว่าร้อยละ 20[1] โดยอาจมีภาวะโลหิตจาง (anemia) ร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้ ภาวะขาดธาตุเหล็กสามารถตรวจพบได้ร้อยละ 37 – 61 ในผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลวเรื้อรัง และอาจมากถึงร้อยละ 80 ในผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน[2] ซึ่งสัมพันธ์กับการดำเนินโรคที่ไม่ดี เช่น สมรรถภาพทางกาย (functional capacity) หรือคุณภาพชีวิต (quality of life) ที่แย่ลง เพิ่มความเสี่ยงในการกำเริบของภาวะหัวใจล้มเหลว และเพิ่มโอกาสการเสียชีวิต ปัจจัยที่สัมพันธ์กับการเกิดภาวะขาดธาตุเหล็กในผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลวได้แก่ เพศหญิง ภาวะหัวใจล้มเหลวรุนแรง (advance heart failure) การเพิ่มขึ้นของระดับ N-terminal pro B-type natriuretic peptide (NT-proBNP) และ C-reactive protein (CRP)[3]
ธาตุเหล็กเป็นแร่ธาตุที่มีบทบาทสำคัญในควบคุมสมดุลของออกซิเจนในร่างกาย ทั้งการเก็บ-ขนส่ง การสันดาปภายใน mitochondria รวมถึงการสร้าง-สลายโปรตีน ไขมัน และสารพันธุกรรมภายในเซลล์ ธาตุเหล็กมีความจำเป็นในการผลิตเม็ดเลือดแดงจากไขกระดูก แต่สำหรับเนื้อเยื่ออื่นนอกเหนือจากไขกระดูก (extra-hematopoietic tissue) ธาตุเหล็กจะเป็นตัวควบคุมการสร้างพลังงานภายในเซลล์ การขาดธาตุเหล็กจึงส่งผลโดยตรงต่อการทำงานของเซลล์ที่ต้องการพลังงานสูง เช่น กล้ามเนื้อลาย และกล้ามเนื้อหัวใจ ทั้งยังอาจทำให้เกิดภาวะโลหิตจางเป็นปัจจัยส่งเสริมอีกด้วย
2. การอักเสบเรื้อรังเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญ
ในภาวะหัวใจล้มเหลว ร่างกายจะเกิดการอักเสบเรื้อรัง (chronic inflammation) มีการสร้าง pro-inflammatory cytokine เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะ tumor necrosis factor-α และ interleukin-6 (IL-6) ซึ่งส่งผลยับยั้งการสร้าง erythropoietin ทำให้การสร้างเม็ดเลือดแดงจากไขกระดูกลดลง[4] นอกจากนี้ IL-6 ยังมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นการสร้าง hepcidin จากตับ ซึ่ง hepcidin จะจับกับ ferroportin ที่ผิวเซลล์และทำให้ ferroportin มีจำนวนลดลง ส่งผลให้การดูดซึมธาตุเหล็กในลำไส้เล็กส่วนต้น (duodenum) ลดลง อีกทั้งยังกระตุ้นการปลดปล่อยธาตุเหล็กออกจากแหล่งสะสม ทำให้เกิดการขาดธาตุเหล็กสัมพัทธ์ (relative iron depletion) ในไขกระดูกและเนื้อเยื้ออื่นนอกเหนือจากไขกระดูก โดยเฉพาะกล้ามเนื้อลายและกล้ามเนื้อหัวใจ[4]
ภาวะหัวใจล้มเหลวยังอาจส่งผลให้เลือดคั่ง (congestion) ในระบบทางเดินอาหาร ทำให้เกิดอาการเบื่ออาหาร และลำไส้สามารถดูดซึมแร่ธาตุ-สารอาหารได้ลดลง อีกทั้งยาบางชนิดที่ผู้ป่วยได้รับ เช่น ยาต้านเกล็ดเลือด (antiplatelet drug) ยังเพิ่มโอกาสการเกิดเลือดออกอีกด้วย (รูปที่ 1) ดังนั้น ภาวะขาดธาตุเหล็กในผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลวจึงอาจเป็นได้ทั้งชนิด absolute คือขาดธาตุเหล็กสะสมในร่างกายจริง ๆ (ระดับ serum ferritin มักจะน้อยกว่า 30 ng/mL) หรือ functional ที่ร่างกายมีธาตุเหล็กสะสมอยู่ แต่ไม่สามารถนำมาใช้ได้อย่างเหมาะสม
รูปที่ 1 สาเหตุและผลที่ตามมาจากภาวะขาดธาตุเหล็กในผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลว
(ID = iron deficiency, IV = intravenous, LVEF = left ventricular ejection fraction, TSAT = transferrin saturation)
3. แนะนำให้ตรวจหาภาวะโลหิตจางและภาวะขาดธาตุเหล็กในผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลวทุกราย
คำแนะนำในการรักษาของ European Society of Cardiology (ESC) ในปี ค.ศ. 2021[1] แนะนำให้ตรวจ complete blood count (CBC), TSAT และ serum ferritin เพื่อการวินิจฉัยในผู้ป่วยที่สงสัยภาวะหัวใจล้มเหลวเรื้อรัง และควรส่งตรวจซ้ำเป็นระยะ ในระหว่างติดตามการรักษาผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลวทุกราย นอกจากนี้ ยังควรส่งตรวจก่อนการจำหน่ายผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันออกจากโรงพยาบาล ทั้งนี้เพื่อประเมินการดำเนินโรคและให้การรักษา (หากมีข้อบ่งชี้)
ข้อมูลจากการศึกษา DAPA-HF พบว่าร้อยละ 23.7 ของผู้ป่วยที่ไม่มีภาวะขาดธาตุเหล็กตอนเริ่มการศึกษาจะเกิดภาวะขาดธาตุเหล็กหลังติดตามไปเป็นระยะเวลา 1 ปี และในกลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยยา dapagliflozin จะมีอุบัติการณ์ของภาวะขาดธาตุเหล็กเพิ่มขึ้นร้อยละ 74[5] ดังนั้น ในการรักษาภาวะหัวใจล้มเหลวเรื้อรังในปัจจุบันที่มียากลุ่ม SGLT2 inhibitor เป็นหนึ่งในยามาตรฐาน ผู้ป่วยจะมีโอกาสเกิดภาวะขาดธาตุเหล็กสูงขึ้น การตรวจ CBC, TSAT และ serum ferritin เป็นระยะ (อาจพิจารณาตรวจทุก 6 – 12 เดือน) หรือเมื่อผู้ป่วยมีอาการกำเริบ (มีการเพิ่มขึ้นของระดับ NT-proBNP, มีอาการหอบเหนื่อยมากขึ้น สมรรถภาพทางกายแย่ลง หรือเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน) จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เนื่องจากดัชนีเม็ดเลือดแดง (red blood cell indices) ไม่สัมพันธ์กับภาวะขาดธาตุเหล็กในผู้ป่วยหัวใจล้มเหลว ดังนั้นจึงไม่ควรใช้ mean corpuscular volume (MCV) ในการพิจารณาว่าจะส่งตรวจภาวะขาดธาตุเหล็กหรือไม่
4. ยาเสริมธาตุเหล็กชนิดรับประทานไม่มีประสิทธิภาพในการรักษา
ยาเสริมธาตุเหล็กชนิดรับประทานมักถูกเลือกใช้เป็นอันดับแรกในการรักษาภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก เนื่องจากปลอดภัย มีใช้อย่างแพร่หลาย และราคาถูก แต่กลับไม่มีประสิทธิภาพในการรักษาภาวะขาดธาตุเหล็กในผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลว ในการศึกษา IRONOUT HF[6] ผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลวเรื้อรังที่มี left ventricular ejection fraction (LVEF) น้อยกว่าร้อยละ 40 ร่วมกับภาวะขาดธาตุเหล็ก ถูกสุ่มให้รับการรักษาด้วยยาเสริมธาตุเหล็กชนิดรับประทาน เทียบกับยาหลอก (placebo) เป็นเวลา 16 สัปดาห์ พบว่าผู้ป่วยที่ได้รับยาเสริมธาตุเหล็กชนิดรับประทานมีการเปลี่ยนแปลงของค่าอัตราการใช้ออกซิเจนสูงสุดขณะออกกำลัง (peak oxygen uptake) ไม่แตกต่างกับผู้ป่วยที่ได้รับยาหลอก อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงของคุณภาพชีวิต ระยะทางที่เดินได้ใน 6-minute walk test (6MWT) และระดับ NT-proBNP ก็ไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ
การเปลี่ยนแปลงของ TSAT และระดับ serum ferritin หลังการรักษาด้วยยาเสริมธาตุเหล็กชนิดรับประทาน สัมพันธ์โดยตรงกับระดับ hepcidin ก่อนการรักษา[6] ผู้ป่วยที่มีระดับ hepcidin สูงจะมีการตอบสนองต่อยาเสริมธาตุเหล็กชนิดรับประทานได้ไม่ดี เนื่องจากมีปัญหาในการดูดซึมธาตุเหล็กในระบบทางเดินอาหาร ทำให้ TSAT และระดับ serum ferritin เพิ่มขึ้นได้ไม่มากนัก นอกจากนี้ระดับ hepcidin ยังเพิ่มสูงขึ้นตอบสนองต่อการได้รับธาตุเหล็กอีกด้วย[6] จะสังเกตได้ว่ายาเสริมธาตุเหล็กชนิดรับประทานเป็นการรักษาที่ไม่เหมาะสมกับกลไกของโรค จึงไม่ถูกแนะนำให้ใช้ในการรักษาภาวะขาดธาตุเหล็กในผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลว
5. แนะนำให้ใช้ยาเสริมธาตุเหล็กชนิดฉีดเข้าหลอดเลือดดำในการรักษาภาวะขาดธาตุเหล็กในผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลว
ยา ferric carboxymaltose (FCM) เป็นยาเสริมธาตุเหล็กชนิดที่สามารถให้ทางหลอดเลือดดำได้โดยตรง จึงขจัดปัญหาการดูดซึมธาตุเหล็กในระบบทางเดินอาหาร อีกทั้งยังสามารถให้ธาตุเหล็กได้ครั้งละปริมาณมาก ๆ โดยไม่กระตุ้นการอักเสบของร่างกายเหมือนกับยา iron sucrose การศึกษา FAIR-HF[7] แสดงให้เห็นประสิทธิภาพของการรักษาด้วยยา FCM ในผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลวเรื้อรังที่มี LVEF น้อยกว่าร้อยละ 45 ร่วมกับภาวะขาดธาตุเหล็ก ทั้งในการเพิ่มขึ้นของปริมาณธาตุเหล็กสะสมในร่างกายและอาการทางคลินิกของผู้ป่วย โดยผู้ป่วยที่ได้รับยา FCM จะมีคุณภาพชีวิต สมรรถภาพทางกาย และระยะทางที่เดินได้ใน 6MWT ดีกว่าผู้ป่วยที่ได้รับยาหลอกอย่างมีนัยสำคัญ ตั้งแต่ 4 สัปดาห์แรกหลังการรักษา
ในการศึกษา CONFIRM-HF[8] ที่ทำการศึกษาในผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลวเรื้อรังที่มี LVEF น้อยกว่าร้อยละ 45 ร่วมกับภาวะขาดธาตุเหล็ก ผู้ป่วยที่ได้รับยา FCM มีโอกาสในการนอนโรงพยาบาลด้วยภาวะหัวใจล้มเหลวครั้งแรกน้อยกว่าผู้ป่วยที่ได้รับยาหลอกอย่างมีนัยสำคัญ (HR 0.39; 95% CI 0.19-0.82; P=0.009) ผลการศึกษาดังกล่าวเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับการศึกษา AFFIRM-AHF[9] ที่ทำการศึกษาในผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน (LVEF น้อยกว่าร้อยละ 50) ที่มีภาวะขาดธาตุเหล็กร่วมด้วย จะสังเกตได้ว่ายา FCM มีประโยชน์ในการรักษาภาวะขาดธาตุเหล็ก ทั้งในผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจล้มเหลวเรื้อรังและเฉียบพลัน การศึกษาแบบ Meta-analysis ที่รวมเอาการศึกษา HEART-FID[10] มาวิเคราะห์ร่วมด้วย ยืนยันให้เห็นว่าการรักษาด้วยยา FCM มีผลลดอัตราการนอนโรงพยาบาลด้วยภาวะหัวใจล้มเหลว (RR 0.84; 95% CI 0.71-0.98) แต่ไม่มีผลต่ออัตราการเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือด (RR 0.97; 95% CI 0.80-1.17)[11] (ดังภาพ)
คำแนะนำในการรักษาของ European Society of Cardiology (ESC) ในปี ค.ศ. 2023[12] จึงแนะนำให้การรักษาภาวะขาดธาตุเหล็กด้วยยาเสริมธาตุเหล็กชนิดฉีดเข้าหลอดเลือดดำในผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลวชนิด heart failure with reduced ejection fraction (HFrEF) และ heart failure with mildly reduced ejection fraction (HFmrEF) เพื่อบรรเทาอาการและเพิ่มคุณภาพชีวิต และควรพิจารณาให้การรักษาด้วยยา FCM เพื่อลดความเสี่ยงในการนอนโรงพยาบาลด้วยภาวะหัวใจล้มเหลว
6. ยา ferric carboxymaltose ที่ใช้ในการรักษาต้องปรับขนาดตามความเข้มข้นของเลือดและน้ำหนักตัว
การรักษาภาวะขาดธาตุเหล็กในผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลวด้วยยา FCM เริ่มต้นด้วยการคำนวณปริมาณธาตุเหล็กที่ผู้ป่วยควรได้รับ โดยพิจารณาจากระดับ hemoglobin และน้ำหนักตัวของผู้ป่วย (ดังตาราง) กรณีผู้ป่วยที่มีน้ำหนักตัวน้อยกว่า 35 kg ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ป่วยที่ไม่อยู่ในการศึกษา CONFIRM-HF[8] อาจลดปริมาณธาตุเหล็กที่ให้ชดเชยเหลือเพียง 500 mg หากผู้ป่วยมีระดับ hemoglobin มากกว่า 15 g/dL ไม่ควรให้การรักษาด้วยยาเสริมธาตุเหล็กชนิดฉีดเข้าหลอดเลือดดำ เนื่องจากไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับประโยชน์ของการรักษา[7-9] การให้ยา FCM ต้องไม่เกินครั้งละ 1,000 mg หากปริมาณธาตุเหล็กที่ผู้ป่วยควรได้รับมากกว่า 1,000 mg ควรแบ่งให้เป็น 2 ครั้ง โดยครั้งที่ 2 ห่างจากครั้งแรก 6 สัปดาห์ (และให้เฉพาะในผู้ป่วยที่ยังมีระดับ hemoglobin น้อยกว่า 15 g/dL) หลังจากให้การรักษาจนครบตามปริมาณธาตุเหล็กที่คำนวณไว้แล้ว ควรตรวจ CBC, TSAT และ serum ferritin ซ้ำทุก 3 เดือน ถ้าพบว่ายังมีภาวะขาดธาตุเหล็ก ควรให้การรักษาด้วยยา FCM เพิ่มอีกครั้งละ 500 mg[8,9]
ตารางที่ 1 ปริมาณธาตุเหล็กที่แนะนำในการรักษาด้วยยา ferric carboxymaltose สำหรับภาวะขาดธาตุเหล็กในผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลว[8, 9]
การบริหารยา FCM สามารถทำได้ง่าย ทั้งวิธีการฉีด (injection) หรือหยด (infusion) เข้าทางหลอดเลือดดำ สำหรับการฉีดเข้าหลอดเลือดดำโดยไม่เจือจาง ยา FCM ขนาด 500 mg ควรใช้ฉีดเวลาอย่างน้อย 6 นาที และขนาด 1,000 mg ควรใช้ฉีดเวลาอย่างน้อย 15 นาที สำหรับการผสมยาเพื่อหยดเข้าทางหลอดเลือดดำ ให้ผสมใน normal saline solution (NSS) โดยปริมาณธาตุเหล็กต้องไม่เจือจางกว่า 2 mg/mL อัตราส่วนที่แนะนำคือ ยา FCM ขนาด 500 mg ผสมใน NSS ไม่เกิน 100 mL และขนาด 1,000 mg ผสมใน NSS ไม่เกิน 250 mL ควรสังเกตอาการแพ้ยา (hypersensitivity reaction) อย่างใกล้ชิดในระหว่างและภายหลังการให้ยาอย่างน้อย 30 นาที การบริหารยา FCM จึงเหมาะกับการรักษาทั้งแบบผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน
- McDonagh TA, Metra M, Adamo M; ESC Scientific Document Group. 2021 ESC Guidelines for the diagnosis and treatment of acute and chronic heart failure. Eur Heart J 2021; 42(36): 3599-726.
- Lam CSP, Doehner W, Comin-Colet J; IRON CORE Group. Iron deficiency in chronic heart failure: case-based practical guidance. ESC Heart Fail 2018; 5(5): 764-71.
- von Haehling S, Ebner N, Evertz R, et al. Iron Deficiency in Heart Failure: An Overview. JACC Heart Fail 2019; 7(1): 36-46.
- Anand IS, Gupta P. Anemia and Iron Deficiency in Heart Failure: Current Concepts and Emerging Therapies. Circulation 2018; 138(1): 80-98.
- Docherty KF, Welsh P, Verma S; DAPA-HF Investigators and Committees. Iron Deficiency in Heart Failure and Effect of Dapagliflozin: Findings From DAPA-HF. Circulation 2022; 146(13): 980-94.
- Lewis GD, Malhotra R, Hernandez AF; NHLBI Heart Failure Clinical Research Network. Effect of Oral Iron Repletion on Exercise Capacity in Patients With Heart Failure With Reduced Ejection Fraction and Iron Deficiency: The IRONOUT HF Randomized Clinical Trial. JAMA 2017; 317(19): 1958-66.
- Anker SD, Comin Colet J, Filippatos G; FAIR-HF Trial Investigators. Ferric carboxymaltose in patients with heart failure and iron deficiency. N Engl J Med 2009; 361(25): 2436-48.
- Ponikowski P, van Veldhuisen DJ, Comin-Colet J; CONFIRM-HF Investigators. Beneficial effects of long-term intravenous iron therapy with ferric carboxymaltose in patients with symptomatic heart failure and iron deficiency. Eur Heart J 2015; 36(11): 657-68.
- Ponikowski P, Kirwan BA, Anker SD; AFFIRM-AHF investigators. Ferric carboxymaltose for iron deficiency at discharge after acute heart failure: a multicentre, double-blind, randomised, controlled trial. Lancet 2020; 396(10266): 1895-904.
- Mentz RJ, Garg J, Rockhold FW; HEART-FID Investigators. Ferric Carboxymaltose in Heart Failure with Iron Deficiency. N Engl J Med 2023; 389(11): 975-86.
- Ponikowski P, Mentz RJ, Hernandez AF, et al. Efficacy of ferric carboxymaltose in heart failure with iron deficiency: an individual patient data meta-analysis. Eur Heart J 2023; 44(48): 5077-91.
- McDonagh TA, Metra M, Adamo M; ESC Scientific Document Group. 2023 Focused Update of the 2021 ESC Guidelines for the diagnosis and treatment of acute and chronic heart failure. Eur Heart J 2023; 44(37): 3627-39.