งานวิจัยจากญี่ปุ่นชี้ให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างจุลินทรีย์ในลำไส้กับความสำเร็จในการรักษาภาวะแพ้นมวัวด้วยภูมิคุ้มกันบำบัดทางช่องปาก (Oral immunotherapy) โดยพบว่า เชื้อ Bifidobacterium ในลำไส้ของผู้ป่วยเด็กมีความสัมพันธ์กับโอกาสการรักษาสำเร็จที่สูงขึ้น
เด็กจำนวนมากมีอาการแพ้ต่อโปรตีนบางชนิดในนมวัว แม้ส่วนใหญ่จะอาการดีขึ้นเมื่อระยะเวลาผ่านไป แต่สำหรับผู้ป่วยเด็กบางคน การแพ้นมวัวอาจกลายเป็นโรคเรื้อรังถึงตอนโต หรือเกิดภาวะรุนแรงได้ Oral immunotherapy เป็นวิธีการหนึ่งที่นักวิจัยเอามาทดสอบรักษาในเด็กที่มีอาการแพ้นมวัวอย่างรุนแรง
นักวิจัยจาก RIKEN Center for Integrative Medical Sciences ประเทศญี่ปุ่น ตีพิมพ์ผลการศึกษาในวารสาร Allergology International ได้ใช้ Oral immunotherapy รักษาอาการแพ้นมวัวในเด็กจำนวน 32 คนโดยดำเนินการที่โรงพยาบาลใน 1 เดือนแรก เพื่อติดตามผลการทดสอบอย่างใกล้ชิด เนื่องจากเป็นการรักษาที่มีความเสี่ยง ทั้งนี้ ผู้ป่วยเด็กจะได้รับนมวัวที่เพิ่มปริมาณทีละน้อยเพื่อให้ร่างกายปรับตัว ทว่าระหว่างการทดสอบมีอาสาสมัครเด็ก 4 ราย ที่มีอาการรุนแรงจนต้องถอนตัวจากการรักษาไป เด็กอีก 28 คนที่เหลือได้รับการรักษาต่อ ซึ่งสามารถดำเนินการรักษาไปได้ตลอดจนครบ 12 เดือน โดยหลังจากนี้มีเด็กเพียง 7 คน ที่ผ่านการทดสอบการแพ้ด้วย Double-blind, placebo-controlled, food challenge test นักวิจัยจึงวิเคราะห์ต่อว่า ปัจจัยใดบ้างเป็นสาเหตุที่ทำให้การทำ Oral immunotherapy ในผู้ป่วยกลุ่มนี้ประสบความสำเร็จ เมื่อเทียบกับเด็กอีกกลุ่ม โดยดูข้อมูลทางคลินิกตลอดจนการเปลี่ยนแปลงของภูมิคุ้มกัน และจุลินทรีย์ในลำไส้ ผลพบว่า Oral immunotherapy ที่ไม่สำเร็จมักเกิดกับกลุ่มเด็กที่มีการรักษา Eczema หรือ Asthma อยู่ และเด็กที่มีปริมาณภูมิคุ้มกันต่อโปรตีนนมวัวสูง (Milk-protein antibodies) ในขณะที่โอกาสประสบความสำเร็จในการรักษาสัมพันธ์กับการมีปริมาณ Bifidobacterium สูงในลำไส้
การค้นพบนี้อาจทำให้แพทย์สามารถพัฒนาแนวทางการรักษาโรคแพ้นมวัวด้วย Oral immunotherapy ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นต่อไป โดยอาจพิจารณาการใช้ Probiotics มาเป็นทางเลือกเสริม
เรียบเรียงโดย พญ. สลิล ศิรินาม
ข้อมูลจาก https://www.sciencedaily.com/releases/2024/03/240314122138.htm