CIMjournal
Banner CVM 123

อาจารย์ นพ. นราธิป ชุณหะมณีวัฒน์ สาขาวิชาหทัยวิทยา


ชีวิตการเป็นหมอรักษาคนไข้ ความผิดพลาดเกิดขึ้นได้ ต้องเรียนรู้และอย่าปล่อยให้มันเกิดซ้ำ” 

ผศ. นพ. นราธิป ชุณหะมณีวัฒน์
สาขาวิชาหทัยวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
ประธานวิชาการ สมาคมมัณฑนากรหัวใจและหลอดเลือดแห่งประเทศไทย


แรงบันดาลใจในการเลือกเรียนแพทย์ โดยเฉพาะสาขาโรคหัวใจ

จบมัธยมต้นที่โรงเรียนสวนกุหลาบ และมาต่อมัธยมปลายที่โรงเรียนเตรียมอุดม ตอนแรกก็อยากเรียนเศรษฐศาสตร์ แต่คุณพ่อเป็นหมอและอยากให้ลูกเป็นหมอ เราก็เห็นชีวิตพ่อมาแต่เด็กเป็นชีวิตที่ดี เลยเลือกตามที่คุณพ่อแนะนำ โดยมาสอบตรงและเรียนที่ศิริราช ชีวิตในช่วงเรียนแพทย์ก็ราบรื่นดี

พอถึงช่วงเรียนเฉพาะทาง ก็มี 2 สาขาที่สนใจ คือ อายุรกรรมกับศัลยกรรม สำหรับศัลยกรรมตอนปี 4 เคยไปลงเรียนทางศัลยกรรมหลอดเลือด น่าจะเป็นยุคที่ผ่าตัดแบบ Open bypass เจอเข้าไป 6 ชม. ผมรู้สึกไม่โอเคที่จะต้องยืนผ่าตัดนานขนาดนั้น ตัวเองไม่อึดพอ และการที่เราเห็นคุณพ่อเป็นหมออายุรกรรม มีการดูคนไข้เป็นองค์รวม ดูคนไข้ตั้งแต่ต้นจนจบ ก็สนใจ ตอนนั้นก็กำลังเป็นที่นิยม จึงตัดสินใจเลือกเรียนต่อทางอายุรกรรม

สำหรับการเรียนทางด้านหัวใจ ต้องบอกว่าส่วนตัวรู้สึกแปลก ๆ ตั้งแต่มัธยม คือสมัยนั้นพวกที่ชอบเรียนหมอก็จะเก่งชีวะ ชอบเรียนวิศวะก็จะเก่งฟิสิกส์ แต่ตัวเองเคยได้คะแนนท็อปของทั้งชีวะและฟิสิกส์ คือ ได้ 2 แนวเลย ตอนเรียนแพทย์ก็รู้สึกมีความเป็นวิศวะ เป็นศัลยกรรมหลาย ๆ อย่างอยู่ในตัว โดยอยากเรียนสาขาหัวใจมาตั้งแต่เป็น นศ.แพทย์ พอได้มาศึกษาและมีประสบการณ์มากขึ้น ก็พบว่าเป็นสาขาที่ไม่เน้นการท่องจำมาก แต่เน้นที่การเข้าใจกลไกการทำงานเป็นหลัก ก็ตรงกับที่ตั้งใจไว้


เป้าหมายในการเป็นแพทย์หรือการใช้ชีวิต

เป้าหมายเรื่องงาน ไม่ได้มีรายละเอียดมากนัก เพราะคิดว่ามีเป้าหมายเยอะ จะทำให้เราคิดเยอะ คิดเยอะคิดมาก ก็จะผิดหวัง จึงมีเป้าหมายแค่ว่า “ต้องรักษาคนไข้ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด” เคยมีอยู่ช่วงหนึ่งตอนอยู่อเมริกา รู้สึกแย่ หดหู่ในการทำงานมาก มีปัญหาหลาย ๆ เรื่องเข้ามาพร้อมกัน ก็มีอาจารย์มาถามว่า คุณอยากเป็นหมอเพราะอะไร เพราะถ้าคุณคิดว่าเพื่อรักษาคนไข้ให้หายป่วย คุณก็ดูว่าคุณได้ทำให้คนไข้หายป่วยได้ทั้งกายและใจหรือยัง ถ้าทำได้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว เพราะถ้าคุณมีเป้าหมายอย่างอื่น ก็อาจจะทำให้การทำอาชีพหมอไม่มีความสุข เช่น งานหนักเกินไป พักผ่อนน้อยเกินไป ไม่มีเวลาให้ครอบครัว

ส่วนเป้าหมายในชีวิต ผมมีง่าย ๆ คือ “Work Life Balance” ใช้ชีวิตให้สมดุลระหว่างงานกับครอบครัว เป้าหมายนี้สำหรับผมสำคัญเท่ากับเป้าหมายแรก คือ กับคนไข้เรามีเป้าหมายเดียวคือเต็มที่ทุกเคส ขณะเดียวกันเราก็ต้องแบ่งเวลาในการดูแลครอบครัวให้ดีด้วย เราไม่สามารถทุ่มเททั้งหมดให้กับงานและปล่อยให้ครอบครัวมีปัญหาได้ การรักษาสมดุลงานกับครอบครัว จึงเป็นสิ่งที่จำเป็น ทุกวันนี้เวลาอยู่ที่บ้าน เราจะไม่นำมือถือมาเล่นไลน์ ไม่ใช้โทรศัพท์มือถือตอนกินข้าว ลูกหลับแล้วจะทำอะไรก็ค่อยทำ หรือไปสังสรรค์กับเพื่อนน้อยมาก ๆ โชคดีที่เพื่อน ๆ ก็ทำเหมือนกัน แค่นี้ก็มีเวลาเหลือแล้ว”
.

CVM 0123 22


ที่ผ่านมาเป้าหมายที่สำเร็จ เกิดจากปัจจัยอะไรบ้าง

ขอเล่าเป็นภาพรวม ๆ เพราะไม่ได้กำหนดเป้าหมายไว้มาก ปัจจัยแรกผมให้เป็นเรื่องของทุนชีวิต ต้องยอมรับว่า ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ต้นทุนชีวิตของคนเราไม่เท่ากัน การที่ตัวเองเป็นหมอโดยที่มีพ่อเป็นหมอ ถือว่ามีต้นทุนที่สูง ทำให้เราเห็นโลกที่เกี่ยวกับอาชีพแพทย์ได้เร็วกว่าคน เห็นทางที่เราจะเดินได้ตั้งแต่เด็ก ๆ

ปัจจัยที่สอง ซึ่งสอดคล้องกับปัจจัยแรกคือได้เรียนและทำในสิ่งที่ตัวเองมีพรสวรรค์ นั่นคือ การมี hand skill ที่ดี และได้มาเรียนและทำงานในสาขาหัวใจที่ต้องใช้หัตถการ มีอาจารย์ท่านหนึ่งเคยพูดให้ฟังว่า ถ้าเราขยันให้ตาย แต่ไปอยู่ตรงสิ่งที่ตัวเองไม่ถนัด สิ่งที่ทำได้อย่างมากก็อยู่แค่กลาง ๆ

ปัจจัยที่สาม คือ การเข้าใจผู้อื่นได้ดี อย่างตอนนี้ในทุกวงการจะมีความเห็นต่างระหว่างรุ่นใหม่ ๆ กับรุ่นเก่า วงการแพทย์ก็เช่นเดียวกันแต่ผมมีความเข้าใจในความเห็นต่างนั้นและสามารถทำงานได้กับทุก ๆ รุ่นจากใจจริง พอเราเข้าใจปรับจูนเล็กน้อย ก็สามารถทำงานได้อย่างมีความสุขมากขึ้น

ปัจจัยที่สี่ คือ การมีกระบวนการคิดและทักษะการหาความรู้ใหม่ ๆ ที่ดี เรื่องนี้ผมได้มาตอนไปเทรนที่อเมริกา ที่นั่นเขาจะเน้นเรื่องกระบวนการคิด ในโลกที่เปลี่ยนเร็วไล่อ่านหรือท่องจำไม่ทันต้องมีทักษะการหาความรู้ มีกระบวนการคิดที่ดี เขาจะสอนให้คิดและวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ ให้ได้ดี

ปัจจัยที่ห้า คือ การเปิดใจรับฟัง ผมคิดว่าผมมีตรงนี้ บางครั้งเราอาจจะมีอีโก้บ้าง ทำตัวไม่น่ารักบ้าง แต่เราไม่ทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้ว เราพร้อมที่จะเรียนรู้จากอาจารย์ จากรุ่นพี่ ๆ ผมมองว่าการที่มีคนคอยเตือนเรานั้นเป็นสิ่งที่ดี อย่างน้อยก็ทำให้เราไม่เตลิด หรืออีกด้านก็อาจจะมีรุ่นน้อง ๆ ที่เก่งกว่าเรา มีทักษะใหม่ ๆ ที่ดีกว่าเราก็ต้องฟังเขา
.

CVM 0123 33


บางครั้งที่เป้าหมายไม่สำเร็จ แก้ไขปรับปรุงอย่างไร

ทุก ๆ เรื่องในชีวิต หากเจอปัญหาหรือผลลัพธ์ที่ได้ไม่ดี ก็ต้องมานั่งคิดก่อนว่าที่เราทำไปนั้น เราทำได้ดีกว่านี้อีกได้หรือเปล่า อย่างในทางการแพทย์เรามี MM conference เป็นการทบทวนการรักษาในรายที่มีความเสี่ยง ภาวะแทรกซ้อนหรือเสียชีวิต ก็ต้องมานั่งดูจุดพลาดมันอยู่ที่ตรงไหน สาเหตุเกิดจากอะไร ป้องกันได้ไหม ถ้าประเมินแล้วว่า ที่ทำนั้นมันเต็มที่ที่สุดแล้ว ทำอะไรมากกว่านั้นไม่ได้ ก็ต้องรู้จักช่างหัวมัน เพราะการช่างหัวมันก็เป็นสิ่งสำคัญในชีวิตจริงมีน้อง ๆ ที่ดีหลายคน เป็น perfectionist มาก ทำเต็มที่แล้วไม่สำเร็จก็มานั่งโทษตัวเอง

ตรงนี้ขอเสริมให้กับแพทย์รุ่นน้อง ๆ ว่า ชีวิตการเป็นหมอรักษาคนไข้ความผิดพลาดเกิดขึ้นได้ แต่ต้องเรียนรู้และอย่าปล่อยให้มันเกิดซ้ำหรือเกิดบ่อย บางครั้งเราทำเต็มที่แล้ว แต่มันก็สุดวิสัย ทำให้ผลที่ได้มันไม่ดี ถ้าเราทำแบบนั้น เราก็จะพูดกับญาติคนไข้ในกรณีที่ผลลัพธ์ไม่ดีได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า “หมอพยายามทำดีที่สุดตามหลักวิชาการแล้ว ผลมันเป็นแบบนี้” คนไข้และญาติจะสัมผัสได้ และจะเชื่อว่าเราทำแบบนั้นจริง ๆ

 

“ถ้าคนที่อยู่ในวงการเดียวกัน

วิจารณ์ในทิศทางเดียวกัน 2 – 3 คน

อย่างนี้เราต้องรับฟัง

แล้วเอามาคิดแล้ว”


ในอดีตที่ผ่านมาเวลาประสบปัญหา เหนื่อยหรือท้อปรึกษากับใคร

สำหรับปัญหา เรื่องทั่ว ๆ ไปในชีวิตเรียบร้อยดี ถ้าเป็นเรื่องงาน บางทีเราคิดว่าเราเรียนมา เราทำเต็มที่แล้ว ดีแล้ว แต่มีคนมาวิจารณ์สิ่งที่เราทำแรก ๆ แรก ๆ เรามีอีโก้ แต่ต่อมาต้องมาฉุกคิดสักหน่อย เรื่องเดียวกัน ถ้าคนที่เชี่ยวชาญหรืออยู่ในวงการเดียวกัน เขาวิจารณ์มาสัก 2 – 3 คน และไปในทิศทางเดียวกันว่าเป็นอย่างไร อย่างนี้เราต้องรับฟังแล้วเอามาคิดแล้ว

สำหรับการขอคำปรึกษานั้น ผมเห็นว่า เราต้องแยกให้ออกว่าปัญหาของเราเป็นเรื่องอะไร และควรจะปรึกษาใคร เพราะแต่ละท่านก็จะมีความถนัดไม่เหมือนกัน และในเรื่องเดียวกัน บางครั้งเราอาจต้องปรึกษามากกว่า 1 ท่านด้วย เพื่อจะได้คำตอบที่หลากหลาย


บุคคลต้นแบบในการดำเนินชีวิตหรือการทำงาน

คนแรกคือพ่อแม่เรา คุณพ่อเป็นหมอ เป็นต้นแบบทางด้านการทำมาหาเลี้ยง ต้นแบบด้านอาชีพ ส่วนคุณแม่ก็เป็นต้นแบบด้านการดูแลครอบครัวคุณแม่ท่านเต็มที่กับลูก ๆ มาก ในความเป็นจริงพอเราโต เราก็จะเห็นบางด้านที่คุณแม่หรือคุณพ่อทำในสิ่งที่อาจผิดบ้าง แต่เราเลือกทำตามในสิ่งที่ดี ๆ ท่านจึงเป็นต้นแบบจนทุกวันนี้

คนต่อมาเป็นต้นแบบทางด้านอาชีพการงาน จริง ๆ แล้วอาจารย์ทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ก็มีส่วนช่วยทั้งนั้น เช่นเดียวกับคุณพ่อคุณแม่ผม เราสามารถเลือกสิ่งที่ดี ๆ ของอาจารย์แต่ละท่านมาเป็นแนวทางในการปฏิบัติได้ไม่จำเป็นต้องทำตามท่านในทุกเรื่อง อย่างตอนใช้ทุนที่ธรรมศาสตร์ ตอนนั้นเป็นความโชคดี ได้รู้จักกับอาจารย์หลาย ๆ ท่าน อาจารย์ดิลก ภิยโยทัย อาจารย์พิสิษฐ หุตะยานนท์ อาจารย์อดิศัย บัวคำศรี ทั้ง 3 ท่านเป็นตัวอย่างที่ดีที่เราอยากเป็นด้านสาขาหัวใจอยู่แล้ว นอกจากนี้ ก็มีอาจารย์ที่ท่านจบ American board มามีอาจารย์ก้องเกียรติ กูณฑ์กันทรากร ทางด้านนิวโร อาจารย์อนุชา อภิสารธนรักษ์ ทางด้านติดเชื้อ ท่านนี้ก็มีส่วนในการช่วยแนะแนวช่วยบอก อาจารย์ที่เป็นต้นแบบที่ศิริราช ก็มีอาจารย์ พญ. สุภาวดี ลิขิตมาศกุลทางต่อมไร้ท่อเด็ก ท่านเป็นอาจารย์ที่ดี มีเมตตากับเด็ก ๆ ซึ่งเราก็ยังทำไม่ได้ถึงขนาดนั้น อีกท่านที่มีส่วนอย่างมากที่ไปเรียนอเมริกาแล้วกลับมาคือ อาจารย์ชาญ ศรีรัตนสถาวร เจอกับอาจารย์ตั้งแต่เป็นนักศึกษาแพทย์ปี 5 ติดต่อกับอาจารย์มาเรื่อย ๆ ที่ได้กลับมาที่ศิริราชก็เพราะอาจารย์
.

CVM 0123 44
คติหรือหลักการที่ยึดถือปฏิบัติในการดำเนินชีวิต

 

มีหลักที่ยึดถือตอนนี้อยู่ 3 ข้อ ข้อแรก เราทำงานอะไรเสร็จ ก็ต้องมานั่งทบทวนว่า สิ่งที่เราทำไปนั้นสามารถทำได้ดีกว่านี้หรือเปล่า มีทางที่จะทำให้งานสมบูรณ์ขึ้นได้ไหม ถ้าได้ก็พยายามทำในครั้งต่อ ๆ ไป

สำหรับข้อ 2 ต่อจากข้อแรก ส่วนหนึ่งที่ทำให้เรารู้ว่าสามารถทำได้ดีขึ้นไหม คือ การแสวงหาความรู้ใหม่ ๆ อยู่ตลอด และถ้าจะให้ดีควรกลับไปอ่านสิ่งเก่า ๆ ด้วยว่าเรื่องนั้น มีที่มาที่ไปอย่างไร และข้อ 3 ถ้าทำเต็มที่แล้วผลลัพธ์ไม่ได้เป็นอย่างที่หวัง ก็ต้องฝึกปล่อยวาง ไม่งั้นมันจะบ้าได้.


มองการแพทย์ของเมืองไทยอย่างไร ทิศทางอนาคตเป็นอย่างไร

ผมอาจเสนอมุมมองการแพทย์เมืองไทยที่ต่างไป เรื่องแรกเมื่อแพทย์รุ่นใหม่ ๆ ขึ้นมา เขาต้องการ Work Life Balance เหมือนกับวิชาชีพอื่นซึ่งก็ไม่ได้ผิดอะไร ถ้าเขายังทำงานได้อยู่ เราไม่สามารถที่จะบอกเขาได้ว่า ต้องทุ่มให้กับคนไข้ 100% ต้องอยู่โรงพยาบาลทั้งวันทั้งคืน ต้องทำงาน 7 วันแน่นอนอาจารย์แพทย์บางท่านอาจมองว่าเขาไม่มีอุดมการณ์ หรือมีหลักการทำงานที่ไม่ถูกต้อง ความต่างตรงนี้ต้องมีการพูดคุยเพื่อไม่ให้เป็นปัญหาใหญ่ในอนาคต

เรื่องที่สอง ต้องยอมรับว่าการแพทย์กลายเป็นธุรกิจไปแล้ว ไม่ว่าจะภาครัฐบาลหรือเอกชน จะคิดแต่ว่าต้องมีอุดมการณ์เรื่องรักษาคนไข้ให้หายอย่างเดียว โดยไม่มองมิติอื่นนั้นไม่เพียงพอแล้ว การเรียนแพทย์แต่ละสาขาก็จะมีเรื่องของความนิยม การทำงาน การเติบโตในหน้าที่การงาน การมีเวลาว่าง และมีเรื่องของผลตอบแทนด้วย โรงพยาบาลรัฐเองก็ต้องดูเรื่องรายรับรายจ่ายเหมือนกัน โรงเรียนแพทย์ก็ต้องเข้าใจตรงนี้ และสื่อสารกับแพทย์ทั้งที่จบแล้วหรือระหว่างเรียนว่า จริงอยู่ที่มันมีความเป็นธุรกิจมากขึ้น แต่เราจะทำงานหรือดำรงวิชาชีพแพทย์อย่างไร ให้ได้ดี ไม่ธุรกิจมากไปจนออกนอกลู่นอกทาง

เรื่องที่สาม เน้นที่ตัวแพทย์เอง อนาคตก็จะมีเทคโนโลยีเข้ามาเพิ่มมากขึ้น ถ้าแพทย์ทำงานแค่ตามไกด์ไลน์ก็อาจถูก disrupt ด้วย AI ได้ แม้จะไม่ง่ายอนาคตแพทย์จึงต้องปรับตัว รับและเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ มีรายละเอียดตรงนี้อีกมาก แต่ก็อยากจะติงว่า โครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีของเรายังต้องพัฒนา เทคโนโลยีการแพทย์บางอย่างต้องใช้เวลานานกว่าจะให้บริการได้อย่างครอบคลุมทุกพื้นที่

การเปลี่ยนแปลง 2 – 3 เรื่องที่ผมกล่าวมานั้นมันเคยเกิดขึ้นที่ประเทศอื่นแล้ว หลาย ๆ เรื่อง เราก็ตามอเมริกาหรือชาติอื่น ๆ ผมมองว่าถ้าเราเปิดใจกว้าง ๆ มองให้ดี ปลายทางมันไม่ได้แย่เพียงแต่ทุกการเปลี่ยนแปลงมันจะมีคนที่ได้และเสียประโยชน์ คนที่เสียประโยชน์ ก็อาจได้คืนในรูปแบบอื่น ๆ ในอนาคต
.

CVM 0123 11


ข้อแนะนำสำหรับแพทย์รุ่นใหม่

เรื่องแรกเลย ผมเห็นเด็กหลายคนที่ไม่มีความสุขกับการเรียนหรือการเป็นหมอ อยากจะเสนอว่า ใครที่จะมาเรียนแพทย์ต้องคิดให้รอบคอบก่อนว่า เลือกเรียนแพทย์เพราะอะไร เป็นความสุขของเราจริง ๆ ไหม หรือจบแพทย์แล้วจะเรียนต่อแต่ละสาขา หรือเลือกทำงานภาครัฐบาลหรือภาคเอกชน ก็ต้องคิดว่ามันใช่ความสุขของเราจริงไหมถ้าใช่ความสุขของเรา เวลาเราเจออุปสรรค เราย้อนกลับมาคิดว่าเราได้ทำก็ยังมีความสุข แต่ถ้ามองดูแล้วไม่มีความสุข ไม่มีอะไรที่เหมาะกับเราเลยต้องฝืนทำ ก็ต้องรีบเปลี่ยนไปทำอาชีพที่เราถนัดจะทำให้เรามีความสุขได้มากกว่า

เรื่องที่สอง ถ้าเลือกทำอาชีพแพทย์แล้ว ขอบอกว่าอาชีพแพทย์เป็นอาชีพโบราณ ไม่ใช่แค่อ่านหนังสือ อ่านสื่อออนไลน์ ฟังคลิปเสียง แล้วคุณจะเป็นแพทย์ดี ๆ ได้ อาชีพแพทย์ต้องมี “เซนเซ” ต้องมีครูบาอาจารย์ หรือผู้ที่ทำมาก่อนเดินนำอยู่เป็นอาชีพที่มีความเป็นศิลป์อยู่เยอะ ไม่ใช่เป็นวิทยาศาสตร์อย่างเดียว ตัวที่เป็นวิทยาศาสตร์ผมไม่ห่วง หาเปิดอ่านเอาได้ แต่สิ่งที่คุณหาไม่ได้ คือ ส่วนที่เป็นศิลป์ ซึ่งต้องเดินตามอาจารย์หรือผู้ที่มีประสบการณ์มากกว่า

 

 

PDPA Icon

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

บันทึก