“ถ้าเรื่องที่ทำนั้นถูกต้องและเป็นสิ่งที่ดี แม้จะมีอุปสรรคอย่างไร ผมจะยืนหยัดและทำสิ่งนั้น”
นพ. เมธา อภิวัฒนากุล
ประสาทแพทย์ กลุ่มงานประสาทวิทยา สถาบันประสาทวิทยา
เหรัญญิก และรองเลขาธิการ สมาคมประสาทวิทยาแห่งประเทศไทย
แรงบันดาลใจในการเลือกเรียนแพทย์ โดยเฉพาะสาขาประสาทวิทยา
ทางครอบครัวทั้งคุณพ่อกับคุณแม่อยากให้ลูกทำงานราชการ จะเรียนแพทย์หรือวิศวะก็ได้ แต่ช่วงนั้นพี่ชายเรียนแพทย์อยู่ เราได้เห็นตำรา ได้เห็นร่างกายของคนแล้วน่าสนใจ เพราะตัวเองก็ชอบทางด้านชีววิทยาอยู่พอจบมัธยมที่โรงเรียนจิตรลดา ก็สอบติดคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) การเรียนก็คงจะเหมือนกับแพทย์ทั่วไป มาปรับตัวก็ตอนเริ่มเรียนคลินิกปี 4 ที่ต้องมีการอยู่เวร มีการปฏิสัมพันธ์กับคนไข้ การพูดคุยซักประวัติ พอเป็น Extern ก็มีการรักษาคนไข้ด้วยตนเอง ภายใต้แพทย์ประจำบ้านหรืออาจารย์แพทย์
จริง ๆ ผมสนใจเนื้อหาประสาทวิทยาตั้งแต่เรียน ปี 2 มี Neuroscience, Neuroanatomy พอขึ้นปี 4 – 6 ก็ได้เรียนวิชาอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น Neurosurgery ประกอบกับได้เจอกลุ่มคนไข้ระบบประสาทด้วย ทำให้ชอบวิชานี้มากขึ้น ได้อ่านได้เรียนได้เจอคนไข้แล้วยิ่งสนุก สนุกในแง่ที่ว่า ระบบประสาทจะเป็นลักษณะการวาง localization เราต้องบอกให้ได้ว่า ตำแหน่งของโรคอยู่ตรงไหน สาเหตุของโรคเกิดจากอะไร ซึ่งสมัยก่อนระบบการตรวจวินิจฉัยโรค อย่างเรื่อง MRI ยังเป็นของใหม่อยู่เลย ต้องอาศัยอาการทางคลินิกเป็นหลัก
“ผมเลือกไปใช้ทุนที่
โรงพยาบาลประสาทสงขลา
ได้มีโอกาสเจอคนไข้
โรคระบบประสาท
ยิ่งเจอคนไข้
ยิ่งเพิ่มความสนใจ
จึงตัดสินใจเรียนเป็นแพทย์
ทางระบบประสาท”
พอเรียนจบผมเลือกไปใช้ทุนที่โรงพยาบาลประสาทสงขลา (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น โรงพยาบาลจิตเวชสงขลาราชนครินทร์) ที่มีคนไข้จิตเวชและคนไข้โรคระบบประสาท เพราะต้องการประสบการณ์ในการดูแลคนไข้ให้มากขึ้น ปรากฏว่ายิ่งเจอคนไข้ ยิ่งเพิ่มความสนใจให้กับตนเองในการเป็นหมอระบบประสาท หลังจากนั้นผมจึงตัดสินใจเรียนต่อแพทย์เฉพาะทางระบบประสาท ที่สถาบันประสาทวิทยา ตอนเข้ามาเรียนก็เจอเคสระบบประสาทมากขึ้นอีก เพราะที่สถาบันฯ มีสัดส่วนของคนไข้โรคระบบประสาทมากกว่าโรคทั่วไป ชนิดที่ก่อนหน้าเห็นแต่ในตำรา มาเห็นคนไข้จริง ๆ ก็ที่นี่ ยิ่งเห็นความหลากหลายของตัวโรค ยิ่งชอบมากขึ้น และยังได้ศึกษาลึกลงไปอีกหลายโรค เช่น โรคหลอดเลือดสมอง โรคลมชัก โรคการเคลื่อนไหวผิดปกติ โรคภูมิคุ้มกัน เป็นต้น และได้ไปศึกษาเรื่อง Autoimmune Neurology เพิ่มเติมที่ Mayo Clinic ประเทศสหรัฐอเมริกา พอจบแล้วผมก็ทำงานที่สถาบันฯ
โดยสมัยก่อนสาขาย่อย ๆ ของโรคระบบประสาทยังมีไม่มาก แพทย์ประสาทวิทยาก็ต้องรู้ทุก ๆ โรค แต่อาจลงรายละเอียดได้ไม่ครบทุกโรค ต่อมาก็เริ่มมีเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามา ทำให้ความรู้ทางระบบประสาทมีมากขึ้น สามารถหาสาเหตุของโรคและวิธีการรักษาที่เหมาะสมได้มากขึ้น ขณะที่สถาบันฯ ก็มีการพัฒนามากขึ้นเป็นลำดับ ผมจบแล้วก็ทำงานที่สถาบันฯ
เป้าหมายที่ตั้งไว้ในการเป็นแพทย์ และการใช้ชีวิต
เบื้องต้น ผมมีเป้าหมายในการเป็นแพทย์เฉพาะทางด้านระบบประสาทตั้งแต่ตอนเรียนแพทย์ทั่วไป และได้วางแผนโดยเลือกไปใช้ทุนที่โรงพยาบาลประสาทสงขลา ซึ่งให้บริการเฉพาะทางด้านระบบประสาท ระหว่างนั้นก็ศึกษาข้อมูลโรคและการดูแลคนไข้โรคระบบประสาทไปด้วย เมื่อมั่นใจ ก็เลือกเรียนต่อเฉพาะทางที่สถาบันประสาทวิทยา ซึ่งเป็นสถาบันเฉพาะทางด้านนี้ ได้ศึกษาเรียนรู้ ได้เจอเคสคนไข้ที่หลากหลาย สุดท้ายได้เป็นแพทย์เฉพาะทางด้านระบบประสาทอย่างที่ตั้งใจ
ส่วนเป้าหมายของการเป็นแพทย์ ก็คงต้องยึดจรรยาบรรณของแพทย์พร้อม ๆ กับอีก 3 ข้อหลักควบคู่กันไป ข้อแรกการปฏิบัติหน้าที่ดูแลรักษาผู้ป่วยให้ดีที่สุด ต่อด้วย ข้อสองการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมในระหว่างการรักษา ซึ่งสำคัญมาก เพราะการรักษาคนไข้อาจจะมีปัญหาเกิดขึ้น เราก็ต้องศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมอยู่ตลอดเวลา คนไข้อาการแบบนี้ ทำไมยังไม่ดีขึ้น อาจเกิดจากสาเหตุอื่นหรือเป็นโรคอื่นที่เรายังไม่รู้จัก เพราะสมัยเรียนเทคโนโลยียังไปไม่ถึง แต่ปัจจุบันเราอาจตามเทคโนโลยีไม่ทัน หรือเราอาจจะไม่มีความรู้เพียงพอที่จะรักษาคนไข้ หาสาเหตุของโรคไม่ได้ ทำให้การวินิจฉัยและรักษาโรคผิดพลาดได้ สุดท้าย ข้อสามการรักษาแบบเดิมอาจจะยังไม่ตอบโจทย์ทั้งหมด เราจึงต้องมีงานวิจัยเพิ่มเติมเพื่อที่จะหาการรักษาแบบใหม่ การรักษาที่ตอบโจทย์ของคุณภาพชีวิตของคนไข้ให้ดีขึ้น เป้าหมายในการเป็นแพทย์ของผม จึงเป็นการทำ 3 ข้อนี้ ควบคู่กันไปเสมอ
ในส่วนเป้าหมายของการใช้ชีวิต ต้องยอมรับว่าอาชีพแพทย์ การแบ่งเวลาส่วนตัวกับเวลางานให้ชัดเจน ไม่ใช่เรื่องง่าย หลายครั้งที่มีความเชื่อมโยงหรือซ้อนทับกันอยู่ เป้าหมายของผมคือ รักษาสมดุลในการใช้ชีวิตเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว ที่เรียกว่า Work life balance โดยชีวิตส่วนตัว ผมเน้นการดูแลตนเอง เพราะว่าเราจะดูแลคนอื่นหรือให้คนอื่นดูแลตัวอง เราก็ต้องมีสุขภาพที่ดีก่อน ผมให้ความสำคัญกับการออกกำลังกายมาก ๆ โดยทุกวันนี้ ผมออกกำลังกายสัปดาห์ละ 4 – 5 ครั้ง ๆ ละ 1 – 1.30 ชม. การออกกำลังกาย เช่น การวิ่งจะช่วยคลายความเครียดในการทำงานได้ ส่วนเวลาให้กับครอบครัว ช่วงวันหยุดจะกลับไปอยู่กับคุณแม่ บางครั้งก็พาท่านไปเที่ยวต่างจังหวัด ใน 1 สัปดาห์ผมจะถามสารทุกข์สุกดิบกับเขาอย่างสม่ำเสมอ
ที่ผ่านมาเป้าหมายที่ทำได้สำเร็จ เกิดจากปัจจัยอะไรบ้าง
ปัจจัยแรก ผมมีความตั้งใจและซื่อสัตย์กับเป้าหมายของตัวเอง โดยถ้าคิดจะทำอะไรแล้วต้องไปให้ถึงที่สุด ถ้าจะหยุดกลางคัน ก็ต้องมีเหตุผลที่เหมาะสมหรือซื่อสัตย์ต่อตัวเองด้วย โดยต้องเป็นปัจจัยที่เราควบคุมไม่ได้จริง โดยรวมแล้วผมมีเป้าหมายในการดำเนินชีวิต อย่างเรื่องการทำงานผมมีเป้าหมายในเรื่องการบริการรักษาคนไข้ การหาความรู้เพิ่มเติม และการทำวิจัย อย่างในเรื่องชีวิตส่วนตัว ก็มีการรักษาสุขภาพให้ดี การดูแลครอบครัวให้เหมาะสม ถ้าเราดูแลรักษาครอบครัวคนอื่นแต่ไม่ดูแลครอบครัวตัวเอง คงไม่ถูกต้อง ผมก็ต้องบริหารเวลา และทำให้ทุกเรื่องสมดุล ทั้งนี้สมดุลชีวิตของแต่ละคนอาจไม่เหมือนกัน เพราะปัจจัยที่เกี่ยวข้องแตกต่างกัน
ปัจจัยที่สอง ผมยืนหยัดในสิ่งที่ถูกต้อง ถ้าเรื่องที่ผมทำนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องและเป็นสิ่งที่ดี แม้จะมีอุปสรรคเข้ามาอย่างไร ผมจะยืนหยัดและทำสิ่งนั้นต่อไป ไม่ไขว้เขวเปลี่ยนไปจากอุปสรรคที่เข้ามา ผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นปัจจัยให้งานที่ผมทำมาประสบความสำเร็จ
ปัจจัยที่สาม ผมทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ เรื่องนี้ก็มีความสำคัญ ผมให้ความสำคัญกับบุคลากรในทุก ๆ ระดับ ไม่ใช่ว่าเราเป็นแพทย์ แล้วจะอยู่เหนือคนอื่นซึ่งมันไม่ถูก คนอื่นก็มีหน้าที่ มีศักดิ์ศรีที่แตกต่างกันออกไป การที่งานจะสำเร็จได้ ไม่ใช่เราอย่างเดียว ทุก ๆ ภาคส่วนจะส่วนเล็กส่วนน้อย ล้วนเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้งานประสบความสำเร็จ ผมให้ความสำคัญกับทุก ๆ คน ทั้งเพื่อนแพทย์ พยาบาล เภสัช นักเทคนิคการแพทย์ เจ้าหน้าที่ทุก ๆ ส่วน ล้วนมีความสำคัญทั้งสิ้น ในการที่จะทำให้ชีวิตการงานของเราสามารถดำเนินต่อไปได้
เป้าหมายที่ไม่สำเร็จที่ผ่านมา เกิดจากอะไร แก้ไขอย่างไร
เป็นความจริงที่ว่าไม่มีใครทำสำเร็จได้ 100% เราก็ต้องมาดูว่าที่ไม่สำเร็จนั้นเกิดจากอะไร และเป็นเป้าหมายที่สำคัญไหม เพราะหลาย ๆ คน มีทั้งเป้าหมายหลักและเป้าหมายรอง ถ้าเป็นเป้าหมายรองมาก ๆ หรือเราไม่ได้คาดหวังอะไรมาก ถ้าไม่สำเร็จก็อาจไม่ได้ทำอะไรมาก แต่ถ้าเป็นเรื่องที่สำคัญ ก็ต้องมาดูในรายละเอียด
ตัวอย่างเช่น ถ้าเราตั้งเป้าหมายไว้ว่า ภายใน 1 – 2 ปีนี้ จะทำตำแหน่งวิชาการให้สำเร็จ พอไม่สำเร็จ และเป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญ ก็ต้องมาหาสาเหตุว่าเกิดจากอะไร อาจเป็นเพราะงานวิจัยเรายังไม่เสร็จ เก็บข้อมูลไม่ได้หรือเราไม่แบ่งเวลามาทำเลยเพราะงานยุ่งมาก หรือเราขี้เกียจมาทำ เราต้องวิเคราะห์หาสาเหตุให้ได้ก่อน หรือช่วงนั้นมีสถานการณ์โควิด 19 แบบนี้เป็นปัจจัยที่เราควบคุมไม่ได้ ก็ต้องมาดูปัจจัยเหล่านั้นว่าแก้ได้หรือแก้ไม่ได้
อีกตัวอย่างเป็นเรื่องการสื่อสารกับคนไข้หรือญาติคนไข้ บางครั้งการสื่อสารอาจทำให้คนไข้หรือญาติคนไข้ไม่พอใจ อาจรักษาแล้วอาการไม่ดีขึ้น หรืออาจจะสื่อสารได้ไม่ชัดเจน เมื่อเกิดปัญหาขึ้น การแก้ไขของผมก็คือ ต้องตั้งสติ สอบถามข้อมูลและวิเคราะห์ว่าปัญหาเกิดจากอะไร เช่น เกิดจากการสื่อสารที่ผิดพลาดหรือไม่ ใครเป็นคนสื่อสารดังกล่าว ตัวเราเอง เพื่อนร่วมงานหรือระบบการสื่อสาร หรืออาจเกิดจากตัวคนไข้ไม่เข้าใจขั้นตอนหรือขาดข้อมูลที่เพียงพอ แม้กระทั่งเข้าใจผิดได้หรือไม่ หลังจากนั้นก็ต้องมีการเชิญคนไข้หรือญาติมาคุย โดยเบื้องต้นผมจะขอโทษคนไข้และญาติก่อน แล้วค่อยพูดคุยถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ขั้นตอนการแก้ไขปัญหาเพื่อไม่ให้เกิดขึ้นอีก หรือมาตรการอื่น ๆ ในการดูแลคนไข้และญาติ
มีปัญหาเกิดขึ้น ปกติปรึกษาใครบ้าง
ก่อนอื่นผมคิดว่าอาชีพแพทย์ การมีที่ปรึกษาสำคัญมาก และคิดว่าเพื่อน ๆ แพทย์ก็คงมีที่ปรึกษากันอยู่แล้ว สำหรับผมเวลามีปัญหาที่ต้องแก้ไข ต้องตัดสินใจหรือต้องการความคิดเห็น ผมก็จะดูว่าเป็นปัญหาด้านไหนถ้าเป็นปัญหาในเรื่องของการทำงาน อย่างน้อยก็ต้องปรึกษาหัวหน้างาน อาจารย์แพทย์ แต่ถ้าเป็นปัญหาด้านอื่น ๆ ผมก็ปรึกษาอาจเป็นเพื่อนทั้งที่เป็นแพทย์และไม่ใช่แพทย์ บางเรื่องก็เป็นครอบครัว หลักสำคัญคือ การปรึกษาผู้ที่อาจทำให้เราสามารถมองภาพ มองปัญหาได้กว้างมากขึ้นหรือลึกมากขึ้น ในจุดที่เรามองด้วยตัวเองยังไม่ออก
“Professor ทั้งสอง
เป็นต้นแบบของ
Work life balance ที่ดีตอนทำงานก็ทุ่มเทอย่างหนัก
พอนอกเวลางานก็พักผ่อน
ทำกิจกรรมอื่น ๆ”
บุคคลต้นแบบในการดำเนินชีวิต
ท่านแรกคือ คุณพ่อคุณแม่ ท่านสอนให้มีความซื่อสัตย์ มีความพอเพียงในหลาย ๆ เรื่อง ไม่ใช้จ่ายฟุ้งเฟ้อ ไม่ทำตัวเหลวไหล ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ผมท่านทำอาชีพค้าขาย ท่านเป็นต้นแบบให้กับผมในเรื่องนี้ ท่านนี้จะสอนเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลา
ท่านที่สองคือ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผมมีโอกาสไป elective เนื่องจากว่าโรงพยาบาลอยู่ใกล้กัน ท่านเป็นต้นแบบในการดูแลคนไข้ การศึกษาหาความรู้ การทำวิจัย ท่านเป็นต้นแบบที่สมบูรณ์ครบถ้วนทุกอย่าง เป็นสิ่งที่ผมยึดถือในการเป็นแพทย์เฉพาะทางระบบประสาท
ท่านที่สามคือ Prof. Vanda Lennon และ Prof. Sean Pittock ทั้ง 2 ท่าน เป็นเจ้านายตอนไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศ ท่านเป็นต้นแบบของ Work life balance ที่ประสบความสำเร็จในเรื่องงานและการใช้ชีวิต เป็นอย่างดี ตอนทำงานก็ทุ่มเทอย่างหนัก พอนอกเวลางานก็พักผ่อนทำกิจกรรมอื่น ๆ ที่อยากทำ เข้าใจว่าระบบการทำงานของแพทย์ต่างประเทศ สามารถจัดแบ่งเวลาได้ชัดเจน ซึ่งอาจเป็นวัฒนธรรมของเขาอยู่แล้ว กฎระเบียบของแพทย์ต่างประเทศค่อนข้างชัดเจนมาก ตั้งแต่ตอนเป็นนักศึกษาแพทย์แล้ว เช่น วันไหนพัก เขาก็จะพักจริง ๆ จะไปเรียกมาทำงานไม่ได้ ส่วนของไทยก็เริ่มมีการปรับเปลี่ยน โดยแพทยสภาก็เริ่มเข้ามาดู เช่น การอยู่เวร แพทย์จะอยู่เวรได้กี่วัน ไม่เหมือนสมัยก่อนที่แพทย์อยู่เวรกี่วัน ก็อยู่ไปไม่มีระยะเวลาที่ชัดเจน ผมได้เรียนรู้ตรงนี้จากทั้งสองท่าน
“เราต้องทำแต่ละวินาที
ที่ดำเนินอยู่ให้ดีที่สุด
โดยดูว่าเรื่องที่ทำอยู่
สอดคล้องกับเป้าหมาย
ที่ตั้งไว้ไหม”
คติหรือหลักการที่ยึดถือปฏิบัติในการดำเนินชีวิต
ผมยึดหลักที่ว่า “ทำวันนี้ ให้ดีที่สุด” เพราะเราไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นยังไง เราต้องทำแต่ละวินาทีที่ดำเนินอยู่ให้ดีที่สุด รู้ได้อย่างไรว่าดีที่สุด ก็ต้องดูว่าเรื่องที่ทำอยู่นั้นสอดคล้องกับเป้าหมายที่มีการตั้งไว้ตามคำถามที่สองหรือไม่ อย่างในระยะสั้น ระยะกลาง เป้าหมายในการทำงานมีอะไร เป้าหมายในการใช้ชีวิตมีอะไร ตรงไหนต้องทำใหม่ ตรงไหนต้องปรับแก้ ส่วนระยะยาว ถ้าเราอายุมากขึ้น เราจะเป็นยังไงบ้าง เราจะไปอยู่ตรงไหน จะวางแผนเพื่อส่งงานต่อให้กับรุ่นน้อง ผมมีหลัก ๆ วางไว้บ้างแล้ว
มองการแพทย์เมืองไทยในปัจจุบัน และทิศทางในอนาคตเป็นอย่างไร
การแพทย์ในปัจจุบันและในอนาคตจะเปลี่ยนแปลงไปมาก จากการพัฒนาของเทคโนโลยีในหลาย ๆ เรื่อง รวมถึงการใช้โซเชียล มีเดีย ที่มีผู้ใช้มากขึ้น ส่งผลทางด้านบวก และด้านที่เป็นข้อจำกัดต่อระบบสาธารณสุขบ้านเรา
ในด้านบวก ก็จะทำให้มีการค้นพบสาเหตุ การวินิจฉัย และการรักษาโรคทั้งที่มีอยู่ก่อนและโรคอุบัติใหม่ในอนาคตมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยมีแนวโน้มที่จะลงลึกลงไปถึงระดับตัวผู้ป่วย โดยจะเป็นการแพทย์ที่มีเทคโนโลยีในการวินิจฉัย วิธีการรักษาและการป้องกันที่ออกแบบมาเฉพาะบุคคล เป็น Personalized therapy
ในด้านที่เป็นข้อจำกัด ก็จะมีหลายเรื่อง ขอเน้นที่สำคัญ ๆ 2 เรื่อง คือ 1) ปัญหาการฟ้องร้องมีแนวโน้มสูงขึ้นจากหลายสาเหตุ โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์กับคนไข้จะห่างออกไปเรื่อย ๆ เกิดความไม่เชื่อใจกัน มีความรู้สึกเหมือนการซื้อขายสินค้า คงไม่ใช่ความผิดของใคร แต่อาจเป็นการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ที่เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ และ 2) ปัญหาเทคโนโลยีทางการแพทย์ใหม่ ๆ เข้ามามาก จนแพทย์ตามไม่ทัน เป็นไปได้ที่แพทย์จะสับสนกับเทคโนโลยีที่มันซับซ้อน และอาจไม่ตอบโจทย์ผู้ป่วย รวมถึงแพทย์ผู้ใช้เทคโนโลยี ทำให้ปรับใช้ได้ไม่ถูกต้อง และมีค่าใช้จ่ายที่สูง สุดท้าย 3) ปัญหาความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงการรักษา เทคโนโลยีใหม่ ๆ ค่าใช้จ่ายสูง คนไข้จำนวนไม่มากที่จะจ่ายได้ ทำให้เกิดความแตกต่างในการรักษา
“คนไข้รู้เรื่องโรค
มากกว่าแต่ก่อน เพราะศึกษา
อาการป่วยมาแล้วแพทย์จะต้องศึกษา
ข้อมูลใหม่ ๆ อยู่ตลอด
เพื่อให้ข้อมูล
ที่ถูกต้องกับคนไข้”
ข้อแนะนำให้แพทย์รุ่นใหม่ ว่าจะประสบความสำเร็จต้องทำอย่างไร
เรื่องแรก แพทย์รุ่นใหม่ควรให้ความสำคัญเรื่องของการสื่อสาร และให้เวลากับคนไข้มากยิ่งขึ้น เพราะปัจจุบันข้อมูลโรคและการรักษาสามารถเข้าถึงได้ง่าย คนไข้จึงมีความรู้เรื่องโรคมากกว่าแต่ก่อน เพราะส่วนใหญ่จะศึกษาอาการป่วยด้วยตัวเองมาแล้ว การที่แพทย์จะทำได้จะต้องศึกษาข้อมูลใหม่ ๆ อยู่ตลอดและให้ข้อมูลความรู้ที่ถูกต้องกับคนไข้ด้วยความชัดเจน และต้องไม่ปกปิดข้อมูลกับคนไข้ ให้เกียรติคนไข้ ตามหลักจรรยาบรรณในวิชาชีพ
เรื่องที่สอง แพทย์รุ่นใหม่ต้องรู้ถึงเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่เข้ามาให้มาก ๆ ต้องรู้ทั้งข้อดีและข้อจำกัดว่ามีอะไรบ้าง จนมากเพียงพอในการเลือกใช้ให้ถูกต้องและเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ซึ่งบ้านเราไม่เหมือนกับต่างประเทศในหลายเรื่อง
เรื่องที่สาม แพทย์รุ่นใหม่ต้องศึกษากฎระเบียบในการประกอบวิชาชีพมากขึ้น จากข้อก่อนหน้าแนวโน้มการที่แพทย์ถูกฟ้องร้องมีมากยิ่งขึ้น อยากให้แพทย์เพิ่มความระมัดระวัง เพราะเราไม่รู้ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น แพทยสภาก็มีกฎอยู่แล้วว่า เราจะทำอะไรได้มากน้อยแค่ไหน แพทย์รุ่นใหม่ต้องศึกษาเอาไว้ด้วย เพราะแพทย์อาจจะไม่รู้ หรือรู้แล้วอาจจะไม่ได้ให้สำคัญมากนัก