“ตัวเองเป็นคนดวงเฮี้ยน เจอแต่เคสหนัก ๆ ตลอดตั้งแต่ Intern จนเป็นอาจารย์ แต่รู้สึกท้าทาย ยิ่งหนักยิ่งมีความสุข เพราะถือว่าเราโชคดีที่ได้มีโอกาสช่วยชีวิตเด็กน้อย ๆ ให้รอด”
รศ. พญ. พิมล วงศ์ศิริเดช
เลขาธิการ ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย
และสมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย
แรงบันดาลใจในการเลือกเรียนแพทย์ โดยเฉพาะสาขากุมารเวชศาสตร์ ทารกแรกเกิดและปริกำเนิด
จบมัธยมต้นที่ รร.เซนต์โยเซฟคอนเวนต์ แล้วมาจบมัธยมปลายที่ รร.เตรียมอุดมศึกษา ในยุคนั้นเด็กห้องคิงส่วนใหญ่เลือกเรียนแพทย์ไม่ก็วิศวะ พี่สาวก็เรียนแพทย์ จุฬาฯอยู่ ก็เป็นแรงบันดาลใจให้ตัดสินใจเรียนแพทย์ และสอบแพทย์ได้ที่ ศิริราช ตอนนั้นมีอีกสาขาที่สนใจด้วยความที่ตนเองชอบศิลปะคือ สถาปัตย์ แต่ก็ไม่ได้เลือกเรียน
สำหรับการเรียนแพทย์ที่ ศิริราช รู้สึกประทับใจในความเก่าแก่ ความขลัง มีพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระบรมราชชนก ฯ อยู่กลางโรงพยาบาลเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวศิริราช มีวัฒนธรรมองค์กรที่อาจารย์และแพทย์รุ่นพี่ คอยเอาใจใส่ดูแลรุ่นน้องอย่างใกล้ชิด เป็นสังคมที่อบอุ่น รุ่นตัวเองเป็น intern รุ่นสุดท้าย พอเรียนจบ 6 ปี เนื่องจากปีนั้น น้อง extern รุ่นแรก เรียนตามมาจบพร้อมกัน ทำให้พี่ intern ทุกแห่ง ต้องออกไปฝึกนอกโรงเรียนแพทย์หมด ตัวเองได้ไปที่ รพ.ราชวิถี หลังจากนั้นด้วยข้อจำกัดด้านครอบครัว เลยไม่ได้ไปเป็นแพทย์ใช้ทุนต่างจังหวัด มาใช้ทุนที่ภาควิชาเภสัชวิทยา ที่ศิริราช
ส่วนสาเหตุที่เลือกเรียนสาขากุมารฯ เพราะว่าเวลาดูแลคนไข้เด็ก ชอบในความน่ารักบริสุทธิ์ของเด็ก และยิ่งมีความสุขมากเวลาที่เราช่วยทำให้เด็กหายป่วยกลับไปอยู่กับพ่อแม่ได้ และคงเป็นเพราะตอนเป็นเด็กมีความประทับใจในความใจดีของคุณหมอท่านหนึ่งที่เคยดูแลเรา ว่าใจดี พูดเพราะ ยิ้มแย้มตลอด สำหรับสาเหตุที่เลือกเรียนสาขาทารกแรกเกิดนั้น ตอนเรียนกุมารฯนั้น ตัวเองเป็นคนดวงเฮี้ยน อยู่เวรเจอแต่เคสหนัก ๆ เป็นประจำ ตอนอยู่วอร์ดทารกแรกเกิด ต้องเกาะตู้เฝ้ากันทั้งคืน ไม่ได้หลับไม่ได้นอน หลายคนบอกหนักมาก แต่ตัวเองรู้สึกสนุก รู้สึกท้าทาย ที่ได้ฝึกแก้ปัญหาไม่ซ้ำกันแต่ละวัน จำได้ว่ามีช่วงที่ตัวเองครรภ์แก่ใกล้คลอดอยู่เวรก็ถูกตามรับคลอดตลอด ต้องช่วยเข็นตู้อบเด็กป่วยข้ามตึกจากห้องคลอดไป NICU แทบทุกวัน พอเป็นหัวหน้าแพทย์ประจำบ้านปีสุดท้าย ก็มีอาจารย์หัวหน้าสาขาทารกแรกเกิดชวนให้อยู่ต่อเป็นอาจารย์ที่ ศิริราช จากนั้นก็ได้ไปอบรม Clinical Neonatal Fellowship ที่ University of Chicago, USA 3 ปี แล้วกลับมาทำงานต่อจนเกษียณ
“เราสามารถช่วยชีวิต
ทารกแรกเกิด ที่บางคน
โอกาสรอดชีวิตน้อยมากให้กลับมารอดชีวิต
เติบโตเป็นเด็กที่มี
คุณภาพต่อไปได้”
สิ่งที่รู้สึกภูมิใจในช่วงเวลาที่ผ่านมา
เรื่องแรก เป็นเรื่องที่จนเกษียณแล้วก็ยังภูมิใจที่สุดอยู่คือ การที่เราสามารถช่วยชีวิตทารกแรกเกิด ที่บางคนโอกาสรอดชีวิตน้อยมากให้กลับมารอดชีวิต เติบโตเป็นเด็กที่มีคุณภาพ เป็นความภูมิใจของคุณพ่อคุณแม่ และไม่ว่าจะทำงานที่ศิริราช หรือตอนอยู่ที่อเมริกา เพื่อนร่วมงาน โดยเฉพาะแพทย์พยาบาล เขาเห็นความทุ่มเทของเรา การตัดสินใจในการดูแลคนไข้ของเรา ทำให้เพื่อนร่วมทีมมั่นใจในการทำงานร่วมกับเรา ช่วยให้การดูแลเด็กหนัก ๆ จนรอดชีวิตเป็นเรื่องที่ทุกคนมีความสุข เด็กหลาย ๆ คนโตจนเข้ามหาวิทยาลัย เข้าแพทย์ บางคนเป็นนักศึกษาแพทย์ศิริราช คุณพ่อคุณแม่บอกให้มาสวัสดีอาจารย์ที่เคยช่วยชีวิตไว้ รู้สึกปิติบอกไม่ถูก ทุกวันนี้ก็ยังมีการติดต่อกับคุณพ่อคุณแม่และเด็กบางคนที่เราเคยช่วยชีวิตเขาไว้ทั้งที่ไทยและอเมริกาอยู่เป็นระยะ ๆ
เรื่องที่สอง การได้เป็นหัวหน้าสาขาทารกแรกเกิด ที่ศิริราช ต้องเข้าใจก่อนว่างานในสาขานี้ เป็นงานที่หนัก กดดัน เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของเด็ก ต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจในการทำงานเป็นทีมที่สูง การสามารถรวมใจผู้ร่วมงานทุกสาขาวิชาชีพให้ทำงานร่วมกัน จนบรรลุภารกิจต่าง ๆ มาเป็นเวลา 13 ปี
ในยุคนั้นที่มี HA เรามีการดูแลผู้ป่วยแบบ Care team ซึ่งตัวเองได้นำตัวอย่างการทำ multidisciplinary round ที่เคยทำที่อเมริกามาทำในวอร์ดทุก 2 สัปดาห์ เราพูดคุยแลกเปลี่ยนกันทั้งแพทย์ พยาบาล นักสังคมสงเคราะห์ แม้กระทั่งนักศึกษาแพทย์ อภิปรายปัญหาและช่วยกันวางแผนการรักษา ได้ริเริ่มจัดประชุม monthly conference ให้ fellow กับพยาบาลมาพูดคุยแลกเปลี่ยนกันเป็นประจำในทุก ๆ เดือน แพทย์ก็ให้ความรู้ด้านวิชาการแก่พยาบาล พยาบาลก็มาบรรยายให้แพทย์ทราบว่าดูแลผู้ป่วยอย่างไร แพทย์อาจรู้แต่บทบาทของตัวเอง ไม่ค่อยรู้ว่าคนอื่นเขาต้องทําอะไร เป็นแพทย์จะสั่งอย่างเดียวไม่ได้ ซึ่งฝ่ายพัฒนาคุณภาพของคณะฯ ได้เชิญไปบรรยายในการประชุม KM ให้เป็นแบบอย่างแก่หน่วยงานอื่น และได้ชื่อว่า care team และ KM ของสาขา ฯ เข้มแข็งที่สุดทีมหนึ่งจนทุกวันนี้
อีกเรื่องคือการได้สานต่อความก้าวหน้าในการดูแลผู้ป่วยจากอาจารย์ในสาขารุ่นก่อน ๆ ที่ได้วางรากฐานไว้อย่างดีเยี่ยมมาตลอด แต่ในช่วง 10 – 20 ปีที่ผ่านมา มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว ในฐานะของหัวหน้าสาขา จึงพยายามหาเครื่องมือและอุปกรณ์ใหม่ ๆ ให้กับสาขา โดยพยายามติดต่อหลาย ๆ ช่องทาง ทั้งจากงบประมาณภาครัฐ หรือจากผู้มีจิตศรัทธาบริจาคอีกหลาย ๆ ท่าน จนกล้าพูดได้ว่า สาขาทารกแรกเกิดที่ศิริราช มีการนำอุปกรณ์การแพทย์ที่ทันสมัยทัดเทียมประเทศสากลหลายอย่างมาใช้เป็นแห่งแรกๆ ในประเทศ
เรื่องที่สาม การได้รับรางวัลอาจารย์ดีเด่น ด้านคลินิก ของศิริราชในปี 2562 รางวัลนี้มีการเสนอชื่อในหมู่อาจารย์ นักศึกษา ประกอบกับการดูผลงานของอาจารย์ในด้านต่าง ๆ โดยมีคณะกรรมการร่วมตัดสิน ก็เป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจว่า มีในบทบาทการเป็นอาจารย์ของเราเกือบ 30 ปี
“การรู้จักตัวเอง รู้จักงานที่ทำ
และรู้จักคนที่ร่วมทำงานด้วยรวมกันทำให้หลายงานสำเร็จ
ได้ตามที่ตั้งเป้าไว้”
ปัจจัยที่นำไปสู่ความสำเร็จ ตามเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้
ปัจจัยแรก ตัวเองต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจนหรือรู้ว่าผลลัพธ์ที่ต้องการนั้นคืออะไร แล้วพยายามโฟกัสหรือมุ่งมั่นอยู่กับเป้าหมายนั้น ไม่ย่อท้อ ไม่ล้มเลิกกลางคัน เป็นคนที่รับผิดชอบ ทำงานอย่างมีหลักการ หลักการต้องมาก่อนเสมอ แต่เมื่อมีความจำเป็น หลักการก็สามารถยืดหยุ่นได้ ปัจจัยต่อมาก็คือ ต้องมีความรู้ความสามารถเพียงพอในสิ่งที่ทำ ต่อให้เรามีเป้าหมายที่ชัดเจนแต่เรารู้ไม่จริงหรือไม่มากพอก็อาจทำไม่สำเร็จ ปัจจัยต่อมาคือ การทำงานเป็นทีม ไม่มีงานใดทำสำเร็จได้คนเดียว ต้องให้ความสำคัญกับทีมงาน ให้เกียรติ รับฟังความคิดเห็นของผู้ร่วมงานทุกระดับ และเห็นอกเห็นใจผู้ร่วมงานเสมอ จึงสามารถทำงานร่วมกันอย่างกลมกลืน
กล่าวโดยสรุปคือ ต้องรู้จักตัวเอง รู้จักงานที่ทำ และรู้จักทีมที่ทำงานด้วย รวมกันทำให้หลายงานสำเร็จได้
กว่าจะถึงวันที่ประสบความสำเร็จ เจออุปสรรคอะไรบ้าง แล้วเอาชนะได้อย่างไร
ตนเองใช้หลักในการทำงานคือ การรู้จักตัวเอง รู้จักงานที่ทำ และรู้จักทีมงาน ระหว่างปฏิบัติเกิดปัญหา ก็ค่อย ๆ หาสาเหตุ แล้วทำการแก้ไขพร้อมป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก ส่วนตัวหลาย ๆ เรื่องเกิดจากการที่เรารับงานมาทำมากเกินไป พองานล้นมือผลที่ได้มันก็ไม่เป็นไปตามที่ตั้งใจ
ส่วนตัวให้ความสำคัญกับการดูแลเด็กภาวะวิกฤติมากที่สุด หลาย ๆ ครั้ง ที่เราพบว่าผลการรักษาไม่เป็นไปอย่างที่เราคาดหวัง โดยเฉพาะหากเกิดความผิดพลาดทำให้เกิดอันตรายต่อผู้ป่วย เราจะต้องไม่ให้เกิดซ้ำอีก ต้องวิเคราะห์ให้ได้ว่าเกิดจากอะไร เพื่อหาทางแก้ไข ป้องกัน สาเหตุหลัก ๆ ที่ก่อให้เกิดปัญหาในการดูแลผู้ป่วยเด็กวิกฤติ ที่ผ่านมาก็จะมี 1) ความประมาทหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ต้องมีสติ คิดให้รอบคอบ ต้องประมาณตน ฝึกฝนเรียนรู้ให้จริงก่อนลงมือทำ การดูแลผู้ป่วย ต้องคิดไปข้างหน้าเสมอ ว่าอาจจะเจอปัญหาอะไรได้บ้าง จะได้วิ่งไปดักหน้า อย่ามัววิ่งตามปัญหา 2) ขาดความรับผิดชอบอันนี้สำคัญมาก ให้อภัยไม่ได้ ต้องตักเตือนอย่างจริงจัง 3) การสื่อสารไม่เพียงพอ หลายสาเหตุของปัญหาเกิดจากขาดการสื่อสาร หรือสื่อสารไม่ดี หรือไม่กล้าสื่อสาร หากไม่เคยทำหรือทำบางอย่างไม่ได้ การรับไปทำก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อผู้ป่วยมาก ตนเองบอกกับลูกศิษย์เสมอว่าไม่รู้หรือทำไม่ได้ ไม่เป็นความผิด บอกตรง ๆ แล้วไปหาโอกาสฝึก แต่ต้องประมาณตน กล้าที่จะยอมรับว่าทำไม่ได้ แล้วพยายามเรียนรู้ ต้องไม่เกิดจากความประมาท หรือไม่รับผิดชอบ จะคอยย้ำลูกศิษย์เสมอว่า ผู้ป่วยที่มารักษาที่โรงเรียนแพทย์เปรียบเสมือน “หนูทดลอง” ที่ยอมให้แพทย์อย่างเราได้เรียนรู้ ดังนั้นต้องดูแลเขาให้คุ้มค่ากับชีวิตเขาที่ฝากไว้กับเรา
บุคคลตัวอย่างในการดำเนินชีวิตหรือการทำงาน
คนแรกเป็นคุณแม่ คุณแม่มีความอดทนสูงและไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคใด ๆ คอยสอนให้ลูกรู้จักใช้ “ปากถามทาง” คุณแม่สอนว่า ต้องรู้จักถามหรือปรึกษาผู้รู้เพื่อหาทางออกหรือวิธีการแก้ไขปัญหา และคุณแม่ยังเป็นต้นแบบของความอ่อนน้อมถ่อมตนอีกด้วย
ต้นแบบที่เป็นแพทย์นั้น ต้องบอกว่าอาจารย์ทุกท่านที่ตนเองรู้จัก มีส่วนในการหล่อหลอมตนเองให้เป็นอาจารย์แพทย์ในทุกวันนี้ แต่จะขอเอ่ยชื่อ 3 ท่านเป็นพิเศษ เนื่องจากมีความใกล้ชิดกันในการทำงาน เริ่มจาก รศ. พญ. ประอร ชวลิตธำรง อดีตหัวหน้าสาขาที่ชวนตัวเองมาเป็นอาจารย์ และ ศ.เกียรติคุณ พญ. ชนิกา ตู้จินดา ทั้งสองท่านเป็นแบบอย่างให้กับตนเองในการให้เกียรติผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นลูกศิษย์หรือผู้ร่วมงาน และมีความอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นที่ตั้ง ซึ่งตัวเองก็พยายามปฏิบัติตาม ส่วนท่านที่สามคือ ศ.คลินิก นพ. ธราธิป โคละทัต ท่านเป็นแบบอย่างในเรื่องความทุ่มเทกับผู้ป่วย สมัยเราเป็นแพทย์ประจำบ้าน อยู่เวร NICU เฝ้าเกาะตู้เด็กโต้รุ่งกับท่านประจำ
คติหรือหลักการที่ยึดถือปฏิบัติในการดำเนินชีวิต
การดำเนินชีวิตความเป็นแพทย์ ยึดหลักคำสอนของ สมเด็จพระบรมราชชนก ฯ คือ “ขอให้ถือประโยชน์ ส่วนตนเป็นที่สอง ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง ลาภ ทรัพย์ และเกียรติยศจะตกมาแก่ท่านเอง ถ้าท่านทรงธรรมะแห่งวิชาชีพไว้ให้บริสุทธิ์” และ “เอาใจเขามาใส่ใจเรา”
การดำเนินชีวิตทั่วไป ยึดหลัก “คิดดี พูดดี ทำดี” กับทุกคน ทุกคนเท่าเทียมกัน และจะทำอะไรอย่าเพิ่งคิดว่าถึงทางตัน ให้เราพยายามหาทางก่อนให้ถึงที่สุด
มองการแพทย์ของเมืองไทยว่าอย่างไร ทิศทางในอนาคตเป็นอย่างไร
การแพทย์ไทยในปัจจุบันได้พัฒนากว่าอดีตไปมาก โดยส่วนตัวมีข้อคิดข้อห่วงใยบางข้อเพื่อที่จะฝากให้แพทย์รุ่นใหม่ ๆ นำไปคิด ปรับแก้หรือป้องกันเพื่อให้เป็นประโยชน์กับวงการแพทย์บ้านเรา
เรื่องแรกคือ ปัจจุบันมีเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่เป็นเครื่องทุ่นแรงให้กับแพทย์อย่างมากมาย โดยเฉพาะเรื่อง AI สิ่งที่น่าเป็นห่วง ถ้ามีการใช้เทคโนโลยีอย่างไม่สมดุล อาจทำให้แพทย์รุ่นใหม่ ๆ ขาดในเรื่องของ human touch หรือ empathy ในการดูแลผู้ป่วย ซึ่งเรื่องนี้เป็นหนึ่งในจุดแข็งของการแพทย์ของไทย เพราะ AI ไม่สามารถมาแทนการดูแลด้วยหัวใจเป็นมนุษย์เหมือนแพทย์ได้
เรื่องที่สองคือ สภาพสังคมและเศรษฐกิจ อาจทำให้ mindset ของแพทย์รุ่นใหม่ ๆ เปลี่ยนไป เช่น การเรียกร้องในสิทธิของตนเองมากขึ้น เรื่องความสมดุลของการทำงานและการใช้ชีวิต การให้ความสำคัญกับรายได้ค่าตอบแทนมากขึ้น แม้ค่าครองชีพปัจจุบันอาจจะสูงขึ้นก็จริง แต่บางครั้งก็ยึดติดกับค่านิยมบางอย่างที่ทำให้มีค่าใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือยมากขึ้น ประกอบกับภาระงานที่หนัก นโยบายภาครัฐ ไม่สามารถตอบสนองปัญหาได้ตรงจุด ระบบสาธารณสุขที่กระจายตัวไม่สมดุล ทำให้แพทย์ออกนอกระบบมากขึ้น ส่งผลให้แพทย์ภาครัฐไม่เพียงพอในการให้บริการโดยเฉพาะในภูมิภาค มีความรุนแรงมากขึ้น
เรื่องที่สามคือ การเร่งผลิตแพทย์ของภาครัฐและภาคเอกชนมากขึ้น ปัจจุบันมีจำนวนมหาวิทยาลัยที่ผลิตแพทย์กว่า 30 แห่ง หากยังขาดความพร้อมในเรื่อง resources โดยเฉพาะเรื่องผู้สอน จำนวน ความหลากหลายของผู้ป่วย จะส่งผลต่อมาตรฐานของแพทย์ที่จบออกมา
เรื่องที่สี่คือ ปัจจุบันมีประเด็นการฟ้องร้องแพทย์มากขึ้นจากหลายสาเหตุ ทั้งจากปัญหาในการสื่อสารระหว่างแพทย์กับผู้ป่วยที่ไม่เหมาะสม การแพทย์ที่เน้นเชิงพาณิชย์มากขึ้น การใช้สื่อต่าง ๆ ในการโฆษณาชวนเชื่ออย่างไม่เหมาะสม ทำให้กระทบต่อความศรัทธา ภาพลักษณ์ของอาชีพแพทย์ สั่นคลอนต่อจริยธรรม จรรยาบรรณแพทย์มากขึ้นทุกที
ข้อแนะนำสำหรับแพทย์รุ่นใหม่
เรื่องแรกที่แนะนำคือ ต้องตีโจทย์ความสำเร็จของการประกอบอาชีพแพทย์ให้ได้ก่อนว่าคืออะไร ซึ่งแต่ละคนอาจแตกต่างกันได้ แต่ที่อยากจะเตือนก็คือ อาชีพแพทย์คือ มีหน้าที่รักษาผู้ป่วย ดังนั้นความสำเร็จก็ย่อมเกี่ยวเนื่องกับการรักษาผู้ป่วยให้ดีที่สุด ไม่ใช่ตัวเงิน หรือความร่ำรวย จริงอยู่ที่ทุกอาชีพ ต้องมีเงินใช้ในการดำเนินชีวิต แต่ก็ต้องไม่เห็นเรื่องเงินมากจนเกินไป จนมองอาชีพเป็นเชิงธุรกิจ จนกระทบกับจรรยาบรรณที่ดี ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญของการเป็นแพทย์ การประพฤติตนในทำนองคลองธรรม จะทำให้ได้รับความศรัทธา จากผู้อื่นอย่างยั่งยืน เรื่องที่สอง คือการเลือกทำงานที่ตนเองมีความสุข จะช่วยให้สามารถทนต่อความยากลำบาก และอยู่ในวิชาชีพนั้น ๆ ได้อย่างมั่นคง เรื่องสุดท้ายคือ แพทย์รุ่นใหม่ต้องปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของสังคม เทคโนโลยี และค่านิยมที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการดูแลผู้ป่วย
- Expert interview: อาจารย์ พญ. ชนิกา ตู้จินดา
- Future: 10 แนวโน้มการรักษาทางการแพทย์ที่สำคัญ มีผลในเวลาอันใกล้
- Update: ทักษะที่จำเป็นสำหรับแพทย์ ยุคดิจิทัล