CIMjournal
banner monkeypox

คำแนะนำการให้วัคซีนป้องกันโรคฝีดาษวานรก่อนและหลังสัมผัสโรค


นพ. เทพฤทธิ์ เทียมประเสริฐนพ. เทพฤทธิ์ เทียมประเสริฐ
หน่วยโรคติดเชื้อ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

พญ. วนัทปรียา พงษ์สามารถรศ. พญ. วนัทปรียา พงษ์สามารถ
หน่วยโรคติดเชื้อ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

 

โรคฝีดาษวานร (Mpox) เกิดจากเชื้อไวรัส Monkeypox (MPXV) ซึ่งเป็นไวรัสใน family Poxviridae, genus Orthopoxvirus พบการติดเชื้อในคนครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1970 ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก และต่อมากลายเป็นโรคประจำถิ่นในทวีปแอฟริกากลางและแอฟริกาตะวันตก MPXV ประกอบด้วย 2 สายพันธุ์ (clades)  คือ clade I (Congo Basin clade) ซึ่งมีอัตราการเสียชีวิตสูงถึงร้อยละ 11 และ clade II (West African clade) ซึ่งมีอัตราการเสียชีวิตต่ำกว่าที่ร้อยละ 11 ก่อนหน้านี้ mpox ส่วนใหญ่พบในทวีปแอฟริกา โดยพบว่ามีการระบาดนอกทวีปแอฟริกาได้บ้าง เช่น การระบาดในประเทศสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 2003 มีรายงานการติดเชื้อจากการสัมผัสแพรรีด็อกซึ่งมีประวัติสัมผัสกับสัตว์ฟันแทะหลายชนิดระหว่างการขนส่งจากประเทศกานามายังประเทศสหรัฐอเมริกา ต่อมาในเดือน พฤษภาคม ค.ศ. 2022 พบว่ามีรายงานการระบาดของ mpox ในหลายประเทศทั่วโลกโดยที่ผู้ติดเชื้อไม่เคยเดินทางไปยังแหล่งระบาดมาก่อน และไม่มีประวัติสัมผัสกับสัตว์ที่นำเข้าจากต่างประเทศ องค์การอนามัยโลกจึงได้ประกาศให้ mpox เป็นภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขระหว่างประเทศ (Public Health Emergency Of International Concern : PHEIC) เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม ค.ศ. 2022 และได้ยุติลงเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม ค.ศ. 2023 ซึ่งการระบาดในครั้งนั้นมีสาเหตุมาจาก MPXV clade IIb โดยติดต่อทางการมีเพศสัมพันธ์เป็นหลัก จากรายงานขององค์การอนามัยโลกพบว่าตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2022 ถึงวันที่ 31 สิงหาคม ค.ศ. 2024 มีจำนวนผู้ป่วยยืนยันการติดเชื้อ 106,310 ราย ในจำนวนนี้มีผู้เสียชีวิต 234 ราย โดยผู้ป่วยที่มีข้อมูลพฤติกรรมทางเพศร้อยละ 85 เป็นชายมีเพศสัมพันธ์กับชาย และผู้ป่วยที่ทราบสถานะเอชไอวีร้อยละ 51.8 เป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวี2

สำหรับสถานการณ์การระบาดในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกนั้นยังคงมีจำนวนผู้ป่วย mpox เพิ่มขึ้นทุกปี ในปี ค.ศ. 2023 พบว่าประมาณร้อยละ 70 ของผู้ป่วยที่สงสัย mpox และร้อยละ 85 ของผู้ป่วยที่เสียชีวิตเป็นเด็กอายุน้อยกว่า 15 ปี และพบว่าเด็กเล็กน้อยกว่า 12 เดือนมีอัตราการเสียชีวิตสูงกว่าผู้ใหญ่ถึง 4 เท่า3 เมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2024 องค์การอนามัยโลกพบว่า จำนวนผู้ป่วย mpox ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกตั้งแต่ต้นปีจนถึงเดือนสิงหาคมมีจำนวนมากกว่า 15,600 ราย มีผู้เสียชีวิต 537 ราย ซึ่งมากกว่าจำนวนผู้ป่วยในประเทศทั้งหมดที่รายงานในปี ค.ศ. 20234 และ MPXV ที่ระบาดเป็น clade ใหม่ คือ clade Ib ที่มีการติดต่อผ่านทางเพศสัมพันธ์และการสัมผัสใกล้ชิดเป็นหลัก และยังไม่ทราบอัตราการเสียชีวิตจาก clade นี้ที่แน่ชัด5 ร่วมกับเริ่มพบว่ามีการระบาดไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ บุรุนดี เคนยา รวันดา และยูกันดา ซึ่งไม่เคยพบการรายงานโรค mpox มาก่อน จึงได้ประกาศให้ mpox เป็นภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขระหว่างประเทศอีกครั้งเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม ค.ศ. 2024 เพื่อให้ทั่วโลกได้ตระหนักและเฝ้าระวังโรค4 โดยในประเทศไทยมีรายงานผู้ป่วยยืนยันการติดเชื้อ Mpox clade Ib นี้แล้ว 1 ราย เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม ค.ศ. 2024 เป็นชายชาวยุโรป อายุ 66 ปี ซึ่งเดินทางมาจากทวีปแอฟริกา

การป้องกัน mpox ทำได้โดยการหลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยหรือผู้ที่มีผื่นคล้าย mpox หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสิ่งของเครื่องใช้ที่ผู้ป่วยเคยใช้ ในบางพื้นที่ เช่น ทวีปแอฟริกาหลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ที่อาจเป็นพาหะของเชื้อ ล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำและสบู่หรือแอลกอฮอล์เป็นประจำ หลีกเลี่ยงกิจกรรมหรือสถานที่ที่อาจมีการสัมผัสใกล้ชิด เช่น การมีเพศสัมพันธ์ งานเลี้ยงหรือสถานบันเทิงที่มีการสวมใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้น เป็นต้น รวมถึงการให้วัคซีนป้องกันทั้งก่อนและหลังการสัมผัสโรค โดยในบทความนี้จะกล่าวถึงการป้องกัน mpox ด้วยวัคซีน เป็นหลัก


คำแนะนำการให้วัคซีนป้องกันโรคฝีดาษวานรก่อนและหลังสัมผัสโรค

วัคซีนป้องกัน mpox เป็นวัคซีนชนิดเดียวกันกับที่ใช้ในการป้องกัน smallpox โดยผลิตมาจากไวรัส vaccinia ซึ่งเป็นไวรัสในกลุ่ม orthopoxviruses เช่นกัน วัคซีนป้องกัน smallpox มี 4 รุ่น ดังนี้3

วัคซีนรุ่นที่ 1 เป็นวัคซีนชนิดแบ่งตัวได้ (replicating) มีการเพาะเลี้ยงบนผิวหนังของสัตว์ มี 2 สายพันธุ์ (strain) ที่นิยมนำมาทำวัคซีน คือ สายพันธุ์ New York City Board of Health (NYCBH) และ สายพันธุ์ Lister

วัคซีนรุ่นที่ 2 เป็นวัคซีนชนิดแบ่งตัวได้เช่นกัน และยังคงใช้ไวรัสสายพันธุ์เดียวกันกับรุ่นที่ 1 แต่มีการเพาะเลี้ยงในเซลล์เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อที่แยกมาจาก viral plaques จึงไม่มีไวรัสอื่นปนเปื้อนและสามารถทำให้อ่อนฤทธิ์ลงได้ วัคซีนในรุ่นนี้ เช่น ACAM2000

วัคซีนรุ่นที่ 3 ใช้สายพันธุ์ที่ถูกทำให้อ่อนฤทธิ์ลง และเพาะเลี้ยงในเซลล์เพาะเลี้ยงหรือในสัตว์เพื่อเพิ่มความปลอดภัย ได้แก่ สายพันธุ์ LC16m8 เป็นสายพันธุ์ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นในประเทศญี่ปุ่นโดยใช้สายพันธุ์ Lister ที่มีการกลายพันธุ์ของยีนส์ B5R เป็นวัคซีนชนิดแบ่งตัวได้เล็กน้อย (minimally replicating vaccine)  และ สายพันธุ์ MVA-BN เป็นวัคซีนชนิดไม่แบ่งตัว (non-replicating vaccine) ซึ่งจะได้กล่าวรายละเอียดต่อไป

วัคซีนรุ่นที่ 4 ใช้การดัดแปลงจีโนม (genome) ของไวรัส vaccinia โดยการลบยีนส์เฉพาะส่วนที่มีหน้าที่สร้างโปรตีนที่เกี่ยวกับความรุนแรงของโรค วัคซีนในรุ่นนี้ ได้แก่ VacΔ6 หรือ OrthopoxVac

โดยมีการศึกษา surveillance study พบว่า ผู้ที่เคยได้รับวัคซีน smallpox รุ่นที่ 1 มาก่อนมีความเสี่ยงในการเกิด mpox น้อยกว่าผู้ที่ไม่เคยได้รับวัคซีน 5.2 เท่า (0.78 และ 4.05 ต่อ 10,000 ประชากรตามลำดับ) แสดงถึงประสิทธิภาพในการป้องกันก่อนสัมผัสโรคของวัคซีนที่ร้อยละ 80.7 (95%CI 68.2–88.4%)6

ในปัจจุบันวัคซีนที่ได้รับการขึ้นทะเบียนสำหรับป้องกัน smallpox และได้ขยายข้อบ่งชี้สำหรับป้องกัน mpox มี 3 ชนิด ได้แก่3

  1. ACAM2000 วัคซีนเชื้อเป็นที่มีการแบ่งตัวได้ (live, replicating vaccine)
  2. LC16m8 วัคซีนเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์ชนิดแบ่งตัวได้เล็กน้อย (live, attenuated, minimally replicating vaccine)
  3. MVA-BN (modified vaccinia Ankara-Bavarian Nordic, JYNNEOS) วัคซีนเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์ชนิดไม่แบ่งตัว (live, attenuated, non-replicating vaccine)

และเมื่อวันที่ 13 กันยายน ค.ศ. 2024 องค์การอนามัยโลกได้ออกประกาศรับรองวัคซีน MVA-BN เป็นวัคซีนชนิดแรกสำหรับป้องกัน mpox และได้ขึ้นทะเบียนอยู่ใน prequalification list ขององค์การอนามัยโลก7 โดยคาดว่าจะช่วยให้สามารถเข้าถึงวัคซีนได้อย่างทันท่วงทีและเพิ่มการเข้าถึงวัคซีนได้มากขึ้น เพื่อลดการแพร่เชื้อและช่วยควบคุมการระบาดของ mpox ขณะนี้ในประเทศไทยมีวัคซีน MVA-BN เพียงชนิดเดียวสำหรับป้องกัน mpox


วัคซีน MVA-BN (JYNNEOS)

เป็นวัคซีนป้องกัน smallpox รุ่นที่ 3 ถูกพัฒนาขึ้นมาหลังจากมีการกวาดล้างโรค smallpox ไปแล้ว ผลิตจากไวรัส vaccinia สายพันธุ์ MVA-BN ที่ถูกทำให้อ่อนฤทธิ์ลงและมีการตัดลำดับเบสออกจากจีโนมของไวรัสประมาณ 30 กิโลเบส

วัคซีน MVA-BN นี้ได้รับการขึ้นทะเบียนในประเทศแคนาดาและสหภาพยุโรป สำหรับการป้องกัน smallpox ในผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2013 และได้รับการขึ้นทะเบียนสำหรับป้องกัน smallpox และ mpox ในประเทศสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2019  และในสหภาพยุโรปเมื่อเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2022 ที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้วัคซีน MVA-BN ไม่ได้ขึ้นทะเบียนสำหรับผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี แต่ในปี ค.ศ. 2022 องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (U.S. FDA) ได้อนุมัติการใช้วัคซีน MVA-BN เป็นกรณีฉุกเฉิน (emergency use authorization) สำหรับผู้ที่มีต่ำกว่า 18 ปีในการป้องกันหลังสัมผัสโรค

คำแนะนำการให้วัคซีน Mpox เปรียบเทียบคำแนะนำการให้วัคซีนโดยองค์การอนามัยโลก (WHO) และศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา (U.S. CDC)3, 8Mpox-Vaccine-Recommendation*เป็นการใช้ยานอกข้อบ่งใช้ (off-label use) สำหรับช่วงที่มีการระบาด เนื่องจากวัคซีนมีไม่เพียงพอ


วัคซีนป้องกันก่อนสัมผัสโรค (pre-exposure prophylaxis)

ประสิทธิภาพของวัคซีนก่อนสัมผัสโรค
มีการศึกษาถึงประสิทธิภาพของวัคซีน MVA-BN ซึ่งทำการศึกษาในลิง macaques 24 ตัว9 โดยแบ่งลิงเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 ให้วัคซีน ACAM2000 1 เข็ม ด้วยวิธี scarification โดยใช้ bifurcated needle กลุ่มที่ 2 ให้วัคซีน MVA-BN 1 เข็ม กลุ่มที่ 3 ให้วัคซีน MVA-BN 2 เข็ม โดยกลุ่มที่ 2 และ 3 ฉีดวัคซีนเข้าชั้นใต้ผิวหนัง เทียบกับกลุ่มที่ 4 ที่ไม่ได้รับวัคซีน หลังจากให้วัคซีนครั้งสุดท้ายแล้ว 28 วัน จึงทำ aerosol challenge ด้วย MPXV ในขนาดที่ทำให้เสียชีวิตได้ (lethal dose) พบว่า วัคซีน ACAM2000 1 เข็ม และวัคซีน MVA-BN 2 เข็ม มีประสิทธิภาพในการป้องกัน MPXV ร้อยละ 100 ในขณะที่วัคซีน MVA-BN 1 เข็ม มีประสิทธิภาพในการป้องกัน MPXV ร้อยละ 67

เมื่อปี ค.ศ. 2022 ในช่วงที่มีการระบาดของ mpox ทั่วโลก มีการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ10 ถึงประสิทธิผลของวัคซีน MVA-BN พบว่า วัคซีน MVA-BN ที่ฉีดเข้าชั้นใต้ผิวหนัง 1 เข็ม มีประสิทธิผลในการป้องกัน mpox ร้อยละ 76 (95%CI 64–88%) และ 2 เข็ม มีประสิทธิผลในการป้องกัน mpox ร้อยละ 82 (95%CI 72–92%)

และเนื่องจากในการระบาดที่ผ่านมามีวัคซีนไม่เพียงพอ จึงมีการนำวัคซีน MVA-BN มาให้ โดยฉีดเข้าในชั้นผิวหนัง เนื่องจากมีการศึกษาโดย Frey SE และคณะ11 พบว่าการฉีดวัคซีน MVA-BN เข้าในชั้นผิวหนังสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ไม่ด้อยกว่าการฉีดเข้าชั้นใต้ผิวหนัง และจากการศึกษาของ Dalton AF และคณะ12 ในปี ค.ศ. 2023 พบว่า วัคซีน MVA-BN เมื่อนำมาแบ่งโด๊ส (fractional dose) เป็นขนาด 1 ใน 5 ของขนาดมาตรฐาน (0.1 mL) และฉีดเข้าในชั้นผิวหนัง 2 ครั้ง ห่างกัน 4 สัปดาห์นั้น มีประสิทธิผลต่อการป้องกัน mpox ถึงร้อยละ 80

อย่างไรก็ตามการศึกษาถึงประสิทธิผลของวัคซีนในช่วงที่มีการระบาดที่ผ่านมานั้นเป็นการศึกษาที่สัมพันธ์กับ MPXV clade IIb แต่คาดว่าวัคซีน MVA-BN และวัคซีนที่ผลิตจากไวรัส vaccinia อื่น ๆ จะมีประสิทธิผลในการป้องกัน MPXV clade Ib ได้ เนื่องจากมีคุณสมบัติในการป้องกันไวรัสในกลุ่ม orthopoxviruses อื่น ๆ ได้เช่นกัน

ขนาด วิธีการใช้ และช่วงเวลาในการฉีดวัคซีนก่อนสัมผัสโรค

  • ฉีดวัคซีนครั้งละ 0.5 mL เข้าชั้นใต้ผิวหนัง 2 ครั้ง ห่างกัน 4 สัปดาห์
  • หรือฉีดครั้งละ 0.1 mL เข้าในชั้นผิวหนัง 2 ครั้ง ห่างกัน 4 สัปดาห์
  • โดยวัคซีนจะมีประสิทธิภาพสูงสุดหลังฉีดครบ 2 เข็มไปแล้ว 2 สัปดาห์

หมายเหตุ สำหรับผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 18 ปี ควรใช้วิธีฉีดเข้าชั้นใต้ผิวหนังเท่านั้น


วัคซีนป้องกันหลังสัมผัสโรค (post-exposure prophylaxis)

ประสิทธิภาพของวัคซีนหลังสัมผัสโรค
มีการศึกษาโดย L Montero Morales และคณะ13  ในผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย mpox และได้รับวัคซีน MVA-BN 0.5 mL เข้าชั้นใต้ผิวหนังหลังสัมผัสภายใน 14 วัน 1 ครั้ง พบว่าวัคซีน MVA-BN มีประสิทธิผลของวัคซีนที่ปรับแล้ว (adjusted vaccine effectiveness) ในการป้องกันการเกิด mpox ร้อยละ 88.8 (95% CI 76.0–94.7%) อย่างไรก็ตามจากการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบในปี ค.ศ. 202410 จาก 7 การศึกษาพบว่า วัคซีน MVA-BN มีประสิทธิผลในการป้องกัน mpox หลังการสัมผัสโรคในบริบทของการแพร่เชื้อผ่านการมีเพศสัมพันธ์อยู่ที่ร้อยละ 20 (95%CI -24% ถึง 65%)

ขนาด วิธีการใช้ และช่วงเวลาในการฉีดวัคซีนหลังสัมผัสโรค
ฉีดวัคซีน 0.5 mL เข้าชั้นใต้ผิวหนัง 1 ครั้ง โดยควรให้วัคซีนเร็วที่สุดภายใน 4 วัน เพื่อลดโอกาสการติดเชื้อ เนื่องจาก vaccinia virus ใช้เวลาประมาณ 4 วัน ในการเข้าสู่เนื้อเยื่อน้ำเหลือง แต่อาจพิจารณาให้ได้ไม่เกิน 14 วันหากยังไม่มีอาการของโรค mpox เพื่อลดความรุนแรงของโรค14  หลังการฉีดวัคซีนโด๊สที่ 1 หากไม่ป่วยเป็น mpox และยังมีความเสี่ยงในการสัมผัสโรคต่อเนื่อง ควรให้วัคซีนเข็มที่ 2 ห่างกันอย่างน้อย 4 สัปดาห์ โดยอาจฉีดวัคซีน 0.5 mL เข้าชั้นใต้ผิวหนัง หรือ 0.1 mL เข้าในชั้นผิวหนังก็ได้15

วัคซีน MVA-BN นี้บรรจุขวดอยู่ในรูปสารแขวนลอย (suspension) 1 โด๊ส ปริมาณ 0.5 mL ซึ่งจะมีปริมาณไวรัสประมาณ 1×108 PFU (plaque forming units) ต่อ 1 ขวด ก่อนนำมาใช้งานควรปล่อยไว้ให้ละลายจนถึงอุณหภูมิห้องก่อน เมื่อละลายแล้ววัคซีนจะเป็นสารแขวนลอยมีลักษณะคล้ายนม สีเหลืองอ่อนถึงสีขาวจาง ๆ แนะนำให้หมุนขวดเบา ๆ (swirl) ประมาณ 30 วินาทีก่อนทำการดูดวัคซีน หลังละลายแล้วสามารถเก็บวัคซีนไว้ที่อุณหภูมิ 2-8°C ได้นานสูงสุด 4 สัปดาห์ หลังถูกละลายแล้วไม่สามารถแช่แข็งซ้ำได้อีก16

ขณะนี้ในประเทศไทยได้มีการเปิดให้บริการฉีดวัคซีนป้องกัน mpox (วัคซีน MVA-BN) โดยสถานเสาวภา สภากาชาดไทย ให้บริการในผู้มีความเสี่ยงที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป เฉพาะวิธีการฉีดเข้าในชั้นผิวหนัง ขนาด 0.1 mL เท่านั้น เนื่องจากวัคซีนยังคงมีปริมาณจำกัด โดยฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 28 วัน


ผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีน8

  • อาการเฉพาะที่ เช่น เจ็บ แดง และคันบริเวณที่ฉีดวัคซีน
  • อาการทางร่างกาย เช่น มีไข้ ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ หนาวสั่น และปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เป็นต้น


ความปลอดภัยของวัคซีน

มีการรายงานเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ทั้งชนิดเฉพาะที่และทางร่างกายหลังการได้รับวัคซีน MVA-BN และมีการศึกษา observational study โดย Duffy และคณะ17 ในปี ค.ศ. 2022 พบว่ามีรายงานกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (myopericarditis) 4 ราย จากการรับวัคซีน MVA-BN 839,178 โด๊ส คิดเป็นอัตราอุบัติการณ์ (incidence rate) 4.77 (95% CI, 1.3–12.2) ต่อวัคซีน 1 ล้านโด๊ส ในขณะที่วัคซีน ACAM2000 มีรายงานกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ 5.7 ราย ต่อผู้ฉีดวัคซีน 1,000 ราย เนื่องจากความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบข้างต้น ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งประเทศสหรัฐอเมริกาจึงได้แนะนำให้ฉีดวัคซีน MVA-BN หรือ ACAM2000 ห่างจากการฉีดวัคซีน covid-19 อย่างน้อย 4 สัปดาห์


ข้อห้ามสำหรับการฉีดวัคซีน8

ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่มีประวัติแพ้รุนแรง (anaphylaxis) หลังได้โด๊สแรก หรือในผู้ที่มีประวัติแพ้ส่วนประกอบของวัคซีน


ข้อมูลสำหรับประชากรกลุ่มพิเศษ3

1. ทารก เด็กและวัยรุ่นอายุน้อยกว่า 18 ปี
ถึงแม้จะยังไม่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้ใช้ในเด็กอายุน้อยกว่า 18 ปี แต่มีการศึกษา observational study ในกลุ่มตัวอย่าง 72 ราย ซึ่งมีอายุระหว่าง 4 เดือนถึง 17 ปี ที่ได้รับวัคซีน MVA-BN อย่างน้อย 1 โด๊ส พบเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ระดับไม่รุนแรงในผู้ที่ได้รับวัคซีนหลังโด๊สแรก 10 ราย (จาก 57 ราย) และหลังโด๊สที่สอง 5 ราย (จาก 24 ราย) และไม่พบว่ามีรายงานเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ร้ายแรง นอกจากนี้ในปี ค.ศ. 2022 ยังมีการศึกษาถึงความปลอดภัยของการให้วัคซีน MVA-BN 1 โด๊ส ในเด็กที่ได้รับวัคซีนเป็นการป้องกันหลังสัมผัสโรค โดยมีเด็กทั้งหมด 87 รายในการศึกษา ในจำนวนนี้มีผู้ตอบกลับแบบสอบถาม 45 ราย โดยมีอายุเฉลี่ย 5 ปี พบว่า ไม่มีการรายงานเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ร้ายแรงหรือการป่วยเป็น mpox หลังการฉีดวัคซีน โดยร้อยละ 40 ของผู้ตอบแบบสอบถามพบอาการเฉพาะที่ เช่น ปวดและบวมบริเวณที่ฉีด ในขณะที่ร้อยละ 24 มีอาการทางร่างกาย ซึ่งเกิดขึ้นแยกกันหรือเกิดร่วมกับอาการเฉพาะที่ และมีการตรวจเลือดในเด็ก 7 ราย พบว่า วัคซีน MVA-BN 1 โด๊ส สามารถกระตุ้นการตอบสนองของภูมิคุ้มกันได้นานถึง 15 สัปดาห์หลังการฉีดวัคซีน ยิ่งไปกว่านั้นมีการศึกษา surveillance study ในผู้ที่อายุต่ำกว่า 18 ปี จำนวน 1,003 รายที่ได้รับวัคซีน MVA-BN ซึ่งไม่พบเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ร้ายแรงเลย

องค์การอนามัยโลก แนะนำการให้วัคซีนในทารก เด็กและวัยรุ่นอายุน้อยกว่า 18 ปี เป็นการใช้ยานอกข้อบ่งใช้ อาจพิจารณาให้ได้ เมื่อประโยชน์ของการฉีดวัคซีนมีมากกว่าความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในสถานการณ์ที่มีการระบาดของโรค mpox

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา แนะนำให้ใช้ในวัยรุ่นอายุน้อยกว่า 18 ปีได้ สำหรับการป้องกันหลังสัมผัสโรคเป็นกรณีฉุกเฉิน แต่สำหรับผู้ป่วยอายุน้อยกว่า 6 เดือน ควรพิจารณาใช้ Vaccinia Immune Globulin Intravenous (VIGIV) แทนการใช้วัคซีน MVA-BN

2. หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
ข้อมูลการให้วัคซีน MVA-BN ในหญิงตั้งครรภ์ยังคงมีไม่เพียงพอ แต่จากการศึกษาในสัตว์ทดลองพบว่าวัคซีนไม่มีอันตรายต่อตัวอ่อนในครรภ์ อย่างไรก็ตามยังไม่มีข้อมูลด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัยในหญิงที่ให้นมบุตร หรือผลของวัคซีนต่อการสร้างน้ำนมและความปลอดภัยในทารกที่กินนมแม่

องค์การอนามัยโลก แนะนำการให้วัคซีนในหญิงตั้งครรภ์ โดยเป็นการใช้ยานอกข้อบ่งใช้ อาจพิจารณาให้ได้

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา แนะนำให้ในหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตรได้ โดยให้มีการปรึกษาและตัดสินใจร่วมกันกับผู้ป่วย

3. ผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่อง* และผู้ติดเชื้อเอชไอวี
มีการศึกษาทางคลินิกพบว่า วัคซีน MVA-BN มีความปลอดภัยและสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันในผู้เข้าร่วมการศึกษาที่ติดเชื้อเอชไอวีที่ควบคุมโรคได้ดี (CD4 ≥ 200) และมีหนึ่งการศึกษาได้รวมผู้ป่วยบางรายที่ควบคุมโรคเอชไอวีได้ไม่ดี (CD4 < 200)18 และรายงานว่าการให้วัคซีน MVA-BN มีความปลอดภัยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ไม่มีการแยกข้อมูลเฉพาะสำหรับประชากรกลุ่มนี้ในการศึกษาดังกล่าว นอกจากจากนี้ยังมีการศึกษา randomized, controlled trial ในผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายไขกระดูกจำนวน 24 ราย โดยได้รับวัคซีน MVA-BN 2 โด๊ส ห่างกัน 28 วัน พบว่าวัคซีน MVA-BN มีความปลอดภัย และสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันในผู้ป่วยกลุ่มนี้ได้ โดยวัดจากการตอบสนองของ MVA neutralizing antibody titers ซึ่งมีการตอบสนองร้อยละ 90 ในกลุ่มที่ได้รับวัคซีน19

การให้วัคซีนในผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่อง เป็นการใช้ยานอกข้อบ่งใช้ อาจพิจารณาให้ได้

สำหรับผู้ป่วยที่ได้รับยากดภูมิ หรือมีโรคผิวหนังชนิด proliferative เช่น ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง สามารถพิจารณาให้ได้เช่นกัน

*ผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่อง ได้แก่ ผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ยังต้องได้รับการรักษา ผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ ผู้ป่วยโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง (immunodeficiency) ผู้ป่วยที่ยังได้รับการรักษาด้วยยากดภูมิ และผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่มี CD4 น้อยกว่า 200


คำถามที่พบบ่อย20

  • หากเคยเป็น mpox แล้ว ยังต้องฉีดวัคซีนอีกหรือไม่?
    จากข้อมูลในขณะนี้ผู้ที่หายจาก mpox ไม่แนะนำให้ฉีดวัคซีน เนื่องจากหลังหายจาก mpox แล้ว จะมีภูมิคุ้มกันต่อ mpox และมีโอกาสติดเชื้อซ้ำน้อยมาก (น้อยกว่าร้อยละ 0.001) หรือหากติดเชื้อซ้ำอาการก็มักจะน้อยกว่าการติดเชื้อครั้งแรก
  • สามารถเปลี่ยนวิธีการฉีดวัคซีน MVA-BN ระหว่างเข็ม 1 และเข็ม 2 ได้หรือไม่?
    สามารถเปลี่ยนวิธีการฉีดวัคซีนได้ โดยเว้นระยะห่าง 28 วันตามเดิม
  • สามารถฉีดวัคซีนป้องกัน mpox พร้อมกับวัคซีนอื่นได้หรือไม่?
    สำหรับวัคซีน MVA-BN ยังไม่มีข้อมูลการฉีดพร้อมวัคซีนอื่น แต่เนื่องจากเป็นวัคซีน live, attenuated non-replicating จึงอาจให้ร่วมกับวัคซีนอื่นๆ เช่น วัคซีนไข้หวัดใหญ่ได้ แต่ควรฉีดคนละตำแหน่ง
    สำหรับการฉีดร่วมกับวัคซีน covid-19 ควรฉีดห่างกันอย่างน้อย 4 สัปดาห์ เนื่องจากมีความเสี่ยงในการเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบและเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบได้

 

เอกสารอ้างอิง
  1. American Academy of Pediatrics. [Mpox.] In: Kimberlin DW, Banerjee R, Barnett ED, Lynfield R, Sawyer MH, eds. Red Book: 2024 Report of the Committee on Infectious Diseases. Itasca, IL: American Academy of Pediatrics: 2024 [606-611]
  2. World Health Organization. (2024). 2022-24 Mpox (Monkeypox) Outbreak:Global Trends. Retrieved Sep 22, 2024, from https://worldhealthorg.shinyapps.io/mpx_global/
  3. World Health Organization. (2024). Smallpox and mpox (orthopoxviruses): WHO position paper, August 2024. Retrieved Sep 22, 2024, from https://www.who.int/publications/i/item/who-wer-9934-429-456
  4. World Health Organization. (2024). WHO Director-General declares mpox outbreak a public health emergency of international concern. Retrieved Sep 22, 2024, from https://www.who.int/news/item/14-08-2024-who-director-general-declares-mpox-outbreak-a-public-health-emergency-of-international-concern
  5. Hoffmann, Christian. Mpox—is there a more dangerous new clade? The Lancet Infectious Diseases. 2024. Doi: 10.1016/S1473-3099(24)00564-4
  6. Rimoin AW et al. Major increase in human monkeypox incidence 30 years after smallpox vaccination campaigns cease in the Democratic Republic of Congo. Proc Natl Acad Sci USA. 2010;107:16262–7.
  7. World Health Organization. (2024). WHO prequalifies the first vaccine against mpox. Retrieved Sep 22, 2024, from https://www.who.int/news/item/13-09-2024-who-prequalifies-the-first-vaccine-against-mpox
  8. Centers for Disease Control and Prevention. (2024). Mpox vaccination. Retrieved Sep 22, 2024, from https://www.cdc.gov/mpox/vaccines/index.html
  9. Hatch GJ et al. Assessment of the protective effect of Imvamune and Acam2000 vaccines against aerosolized monkeypox virus in cynomolgus macaques. J Virol. 2013;87:7805–15
  10. Pischel L et al. Vaccine effectiveness of 3rd generation mpox vaccines against mpox and disease severity: a systematic review and meta-analysis. Vaccine. 2024. doi: 10.1016/j.vaccine.2024.06.021.
  11. Frey SE et al. Comparison of lyophilized versus liquid modified vaccinia Ankara (MVA) formulations and subcutaneous versus intradermal routes of administration in healthy vaccinia-naïve subjects. Vaccine. 2015;33:5225–34.
  12. Dalton AF et al. Estimated effectiveness of JYNNEOS vaccine in preventing Mpox: a multijurisdictional case-control study – United States, August 19, 2022–March 31, 2023. MMWR Morb Mortal Wkly Rep. 2023;72:553–8.
  13. Montero Morales Laura, et al. Post-exposure vaccine effectiveness and contact management in the mpox outbreak, Madrid, Spain, May to August 2022. Euro Surveill. 2023;28(24):pii=2200883. https://doi.org/10.2807/1560-7917.ES.2023.28.24.2200883
  14. Fenner F, Henderson DA, Arita I, Jezek Z, Ladnyi ID, World Health O. Smallpox and its eradication / F. Fenner … [et al.]. Geneva: World Health Organization; 1988.
  15. Australian Immunisation Handbook. (2024). Vaccination after exposure to mpox: post-exposure preventive vaccination (PEPV). Retrieved Sep 22, 2024, from https://immunisationhandbook.health.gov.au/contents/vaccine-preventable-diseases/mpox-previously-known-as-monkeypox#recommendations
  16. S. FOOD & DRUG ADMINISTRATION. (2023). Package-Insert-JYNNEOS (fda.gov). Retrieved Sep 22, 2024, from https://www.fda.gov/media/131078/download
  17. Duffy J et al. Safety monitoring of JYNNEOS vaccine during the 2022 Mpox outbreak – United States, May 22–October 21, 2022. MMWR Morb Mortal Wkly Rep. 2022;71:1555–9.
  18. Overton ET et al. Safety and immunogenicity of modified Vaccinia Ankara-Bavarian Nordic smallpox vaccine in vaccinia-naive and experienced human immunodeficiency virus-infected individuals: an open-label, controlled clinical Phase II trial. Open Forum Infect Dis. 2015;2:ofv040.
  19. Walsh SR al. Safety and immunogenicity of modified vaccinia Ankara in hematopoietic stem cell transplant recipients: a randomized, controlled trial. J Infect Dis. 2013;207:1888–97.
  20. Centers for Disease Control and Prevention. (2024). Interim Clinical Considerations for Use of Vaccine for Mpox Prevention in the United States. Retrieved Oct 3, 2024, from https://www.cdc.gov/mpox/hcp/vaccine-considerations/vaccination-overview.html

 

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

บันทึก