“ผมอยู่ในคณะทำงานผลข้างเคียงของวัคซีนหรือ AEFI ดูข้อมูลเรื่องผลข้างเคียงของวัคซีนโควิด 19 อยู่ก็มีไม่มาก ถ้าไม่ฉีดจะเห็นการเสียชีวิตมากกว่านี้มาก”
รศ. นพ. สุพจน์ ศรีมหาโชตะ
สาขาวิชาโรคหัวใจ ภาควิชาอายุรศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
นายกสมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์
(เนื้อหาเรียบเรียงจากการสัมภาษณ์ 2 ครั้ง ในระยะเวลาห่างกัน 3 ปี)
ก่อนเข้าคำถามหลัก ขอเริ่มด้วยคำถามตามสถานการณ์ จากการระบาดของโรคโควิด 19 ส่งผลต่อผู้ป่วยโรคหัวใจหลัก ๆ ในเรื่องอะไรบ้าง
เราได้รับผลกระทบมากเหมือนกัน ในเรื่องของการดูแลผู้ป่วยโควิดและไม่โควิดที่มีปัญหาหัวใจ อย่างปัญหาการผ่าตัด ผู้ป่วยรอการตรวจสวนหัวใจหรือการรักษาศัลยกรรมผ่าตัดหัวใจ ก็ถูกเลื่อนออกไป แพทย์เองก็ต้องไปสนับสนุน ทีมที่ดูแลโควิดให้เขาทำงานได้ดีขึ้น โดยเฉพาะในเคสที่มีปัญหาเรื่องโรคหัวใจ อีกทั้งการรักษาบางอย่างก็เปลี่ยนไป เช่น คนไข้ acute MI, STEMI ก็ต้องให้ยาละลายลิ่มเลือด แทนที่จะทำบอลลูนซึ่งได้ผลดีกว่าชัดเจน ส่วนในต่างจังหวัด เราให้ยาละลายลิ่มเลือดเป็นหลักอยู่แล้ว หลาย ๆ ที่ก็ทำบอลลูนบ้าง แต่กรุงเทพฯ ทำบอลลูนเกือบ 100% พอช่วงโควิด 19 ระบาด บางส่วนก็ต้องไปให้ยาละลายลิ่มเลือด ถามว่าได้ผลไหม ก็ได้ผลอยู่เหมือนกัน แต่คงสู้ทำบอลลูนไม่ได้ ก็เป็นตัวอย่างที่เปลี่ยนแปลง ส่วนการรักษาอื่น ๆ ก็ล่าช้าไปเหมือนกัน
ในรายที่เป็นการรับยา การตรวจติดตาม ก็มีการปรับเปลี่ยนวิธีการ มาใช้แพทย์ทางไกลมากขึ้น มีการสั่งยาทางไปรษณีย์มากขึ้น ถ้าคนไข้สบายดี ไม่อยากมา เราก็ส่งยาทางไปรษณีย์ บางทีส่งผ่าน 7-11 ของ รพ.จุฬาฯ ผู้ป่วยสามารถไปรับที่ 7-11 ใกล้บ้านได้ เรายังได้เก็บข้อมูลของจุฬาฯ เองก็มีการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องโควิด 19 กับโรคหัวใจ STEMI มีการตีพิมพ์ในวารสาร Biomedicines 2022 คลิก อัตราการเสียชีวิตขณะนอนโรงพยาบาลในผู้ป่วยกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดชนิด STEMI ในช่วงที่มีการระบาดของไวรัสโคโรนา 2019
สำหรับความคิดเห็นเรื่องวัคซีนที่บางคนกลัวอยู่ โดยกลุ่มที่ต่อต้านวัคซีนก็พยายามจะบอกว่า ฉีดไปแล้วคนไข้เสียชีวิตมาก บางครั้งหัวใจอักเสบ มันไม่ได้เป็นแบบนั้นหรอก ผมอยากจะสื่อไปว่า วัคซีนช่วยเรามาก ถ้าเราไม่มีวัคซีนคงเห็นการสูญเสียมากกว่านี้มาก เรื่องของกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (myocarditis) ที่เกิดจากวัคซีนเป็นส่วนน้อยจริง ๆ และการเกิดก็ไม่ได้เกิดรุนแรง น้อยมากที่เกิดภาวะรุนแรงหรือเสียชีวิต มีอยู่เคสเดียวที่จริง ๆ ที่เราคิดว่าอาจเกิดจากวัคซีนได้ แต่อย่างไรก็ตาม ก็อาจเกิดจากสาเหตุอื่นได้เช่นกัน เคสอื่นไม่สามารถบอกได้ชัดเจนว่าเกิดจากวัคซีน ถามว่าในประเทศไทย กรณีกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบมีไหม ตอบว่า มีแน่ แต่ไม่ได้มาก ตัวเลขน้อยกว่าต่างประเท
ส่วนประเภทของวัคซีนมีผลไหม มีผลแน่ อย่างวัคซีน mRNA ทำให้เกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบได้บ่อย โดยเฉพาะในเด็ก ผมอยู่ในคณะทำงานของผลข้างเคียงจากวัคซีนหรือ Adverse Events Following Immunization, AEFI ของประเทศไทย ดูข้อมูลเรื่องผลข้างเคียงของวัคซีนอยู่ ก็มีไม่มาก ถ้าไม่ฉีดคงจะเห็นการสูญเสียมากกว่านี้มาก วัคซีนจึงมีประโยชน์มากอยู่รวมทั้งวัคซีนตัวอื่น ๆ เช่น แอสตร้า ซิโนแวค ซิโนฟาร์ม อย่างไรก็ดีกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบสามารถเกิดจากโรคโควิด 19 โดยตรงได้เช่นกัน คือถ้าไม่ฉีดวัคซีน โรคโควิด 19 ก็ทำให้เกิดภาวะนี้สูงขึ้น บางรายฉีดไปแล้ว เกิด acute MI ก็บอกยากว่าเกิดจากการฉีดวัคซีนหรือเปล่า กลุ่มนี้ก็ตกอยู่ในกลุ่มที่บอกไม่ได้ อาจเกิดจากวัคซีนที่ทำให้มีไข้ และกระตุ้นให้เกิดภาวะ acute MI ก็ได้ ซึ่งไม่ได้มาจากวัคซีนโดยตรง เป็นผลโดยอ้อมมากกว่า ซึ่งวัคซีนไข้หวัดใหญ่ก็อาจจะเกิดได้เหมือนกัน
แพทย์หัวใจ เรียนรู้เรื่องอะไรจากสถานการณ์นี้ และต้องปรับตัวรองรับโรคติดเชื้ออุบัติใหม่อย่างไร
จริง ๆ แพทย์หลายสาขาก็เจอคนไข้น้อยลง เพราะคนไข้ไม่ได้มา เคสรอรักษาก็น้อยลงไป เราก็มีแบ่งงานกันไปช่วยดูเคสโควิดแทน ทุกคนได้เรียนรู้สถานการณ์ ก็มีอะไรบางอย่างที่เราคาดไม่ถึง ช่วงแรกที่ยังไม่มีวัคซีนเราเห็นข้อมูล ยอมรับว่าเป็นโรคอะไรที่น่ากลัวมาก ผู้ป่วยเป็นปอดบวม เข้าไอซียู อัตราการเสียชีวิตเกือบ 10% แม้จะมีความพยายามป้องกันไม่ให้เกิดโรค ทุกคนกลัว กังวล ยาไม่มี วัคซีนก็ไม่มี เป็นอะไรที่ทุกคนต้องเรียนรู้ เกิดแล้วทำอย่างไร มีวิธีอะไรที่จะป้องกันการติดเชื้อหรือแพร่เชื้อได้ การตรวจคนไข้มีวิธีการทำอย่างไรที่เราไม่ติดคนไข้ คนไข้ไม่ติดเรา ไม่ใช่ว่าเราติดจากคนไข้ เราเป็นความเสี่ยงที่จะไปติดคนไข้เหมือนกัน เพราะแพทย์ต้องติดต่อคนมาก ทุกคนก็ต้องมีการป้องกัน เป็นวิธีการเรียนรู้ ตอนนี้อัตราการป่วยโรคระบบหายใจ ลดลงอย่างชัดเจน เพราะทุกคนป้องกันตัวเอง พอมีวัคซีนทุกคนจะสบายใจขึ้นระดับหนึ่ง ถึงแม้ว่าช่วงแรกมีคนบ่นไม่เอาวัคซีนดี ๆ เข้ามา แต่มีก็ดีแล้วอะไรก็ได้ เพราะป้องกันได้ระดับหนึ่ง ทำให้การทำงานสบายใจขึ้น ทุกคนเริ่มมีภูมิต้านทานบางส่วน พอติดก็ไม่ได้รุนแรงมาก
“ตอนนั้นเคสผู้ป่วยโควิด 19
เป็นกล้ามเนื้อหัวใจตาย ต้องฉีดสี
ต้องใช้เวลาเตรียมกัน 2 ชม.กว่าจากปกติเตรียมไม่ถึง 5 – 10 นาที”
ช่วงนั้นเคสผู้ป่วยโควิด 19 เป็นกล้ามเนื้อหัวใจตาย ต้องฉีดสี ตอนนั้นวัคซีนได้บ้างไม่ได้บ้าง การเตรียมตัวรับเคส ใช้เวลา 2 ชม.กว่า จากปกติไม่ถึง 5 – 10 นาทีก็พร้อม กว่าเราจะให้เขาส่งมาได้ เราต้องเตรียมชุด PAPR กว่าจะไปเอา ห้องแคทเองก็ต้องเซ็ตระบบ จะทำอย่างไรให้เป็นห้องเนกาตีฟ ช่วงหลังสถานการณ์เริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ 2 – 3 ปีที่ผ่านมา จำนวนผู้ป่วย acute MI ลดลง หลัง ๆ PAPR เราไม่ได้ใช้แล้ว ถ้าเคสไหนเป็นโควิด ก็ใช้แค่ N95 ไม่ใส่ชุดป้องกันเหมือนเดิมแล้ว ก็เปลี่ยนไป มีการปรับตัวไปเรื่อย ๆ ยอมรับว่าได้เรียนรู้หลาย ๆ อย่างจากเรื่องโรคอุบัติใหม่
สำหรับเรื่องของการปรับตัว เราต้องปรับตัวให้อยู่กับโควิด 19 และสามารถทำงานรักษาคนไข้ให้ได้ ใช้การแพทย์ทางไกลให้ได้ มีการเปลี่ยนแปลงปรับแต่งการรักษาบางอย่าง เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ ช่วงระบาดโควิด 19 ก็มีไกด์ไลน์ว่า จะทำอะไร ต้องมีขั้นตอนอย่างไร กรณีจำเป็นต้องทำก็ต้องทำ ถ้าเลื่อนได้ก็ค่อยเลื่อน แต่ต้องดูอย่างรอบคอบแล้วว่าคนไข้ปลอดภัย แพทย์ก็มีการปรับตัวมากขึ้นตามสถานการณ์
คำถามหลัก แรงบันดาลใจในการเลือกเรียนแพทย์ โดยเฉพาะสาขาโรคหัวใจ
เรียนมัธยมศึกษาที่ โรงเรียนอัสสัมชัญ บางรัก ที่บ้านมีพี่น้อง 9 คน พี่ชายเป็นวิศวกร 3 คน ผมสนใจเรียนแพทย์ เพราะได้ช่วยรักษาคนไข้ และที่บ้านสนับสนุน ตอนนั้นพี่ชายเรียนอยู่ที่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2 คน พอได้ขึ้นไปเที่ยวแล้ว รู้สึกชอบบรรยากาศ วิวสวย จึงตัดสินใจเอนทรานซ์เข้าที่ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตอนเรียนได้ทำกิจกรรมไปด้วย ส่วนใหญ่เล่นกีฬา เล่นฟุตบอลกับตะกร้อ และช่วยงานของชั้นปี พอจบ 6 ปีเป็นแพทย์ใช้ทุน เหมือนเป็นแพทย์ประจำบ้านต่อที่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อีก 4 ปี
เหตุที่สนใจเรียนอายุรศาสตร์ เพราะอยากเรียนด้านโรคหัวใจตั้งแต่แรก ไม่ค่อยชอบศัลยกรรมและสูติฯ ผมชอบอายุรกรรมมากกว่าเด็ก เพราะเด็กตัวเล็ก ดูบอบบางไป เหตุที่สนใจ cardio เพราะมีแรงบันดาลใจ มีลูกพี่ลูกน้องเป็นแพทย์โรคหัวใจ และคนที่เป็นไอดอล คือ ศ.เกียรติคุณ นพ. เกษม วัฒนชัย องคมนตรี ตอนที่ผมเป็นนักศึกษาแพทย์ ปี 1 อาจารย์เป็นผู้ช่วยคณบดี ท่านอยู่หน่วยหัวใจ ภาควิชาอายุรศาสตร์ ท่านเป็นคนน่ารักมากเข้ากับนศพ. ได้ดี เมื่อผมได้เป็นแพทย์ใช้ทุนอายุรศาสตร์ ท่านเป็นอธิการบดี แต่ก็ยังมาสอนมามอร์นิ่งรีพอร์ททุกเช้า พอ 8 โมง ท่านจึงกลับไปที่มหาวิทยาลัย ทำหน้าที่อธิการบดีต่อ ตอนค่ำวันอาทิตย์ท่านจะมาราวน์ มาสอนตรวจร่างกาย 1 – 3 ทุ่ม อาจารย์จะมีโครงการไปออกหน่วยของโครงการหลวงตรวจชาวเขาทุกเดือน ถ้าผมไม่ได้อยู่เวรก็จะติดตามท่านไปออกหน่วยรักษาโรคทั่วไปด้วย อีกเหตุผลที่ชอบทางด้านหัวใจ เพราะจับต้องได้ realistic ทำและพิสูจน์ได้ว่าเป็นแบบนี้จริง อย่างบางโรคต้องรอ ต้องคิดก่อน แพทย์หัวใจถ้ารักษาดี จะเห็นผลการรักษาค่อนข้างเร็ว คนไข้จะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ตอนนั้น มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ยังไม่เปิดรับสาขาโรคหัวใจ พอดีมีรุ่นพี่ที่จบแพทย์ใช้ทุนที่เชียงใหม่มาอยู่ที่ จุฬาฯ แนะนำให้มาเรียน และ รศ. พญ. คุณหญิง พึงใจ งามอุโฆษ หัวหน้าหน่วยในขณะนั้น ใจดีรับเราไว้ มาเป็นแพทย์ประจำบ้านต่อยอดอีก 2 ปี หลังจากนั้น ยังไม่ทันจะเรียนจบ มีตำแหน่งว่าง อาจารย์จึงบรรจุให้ก่อน ทำงานอยู่สักพักไปเรียนต่อ ที่ Leiden University Medical Center, Netherlands 1 ปี ไปศึกษาทางด้านการทำบอลลูนขยายหลอดเลือดหัวใจ ช่วงนั้นการทำบอลลูนในคนไข้กล้ามเนื้อหัวใจวายเฉียบพลันในบ้านเราแทบจะไม่มี มีแต่ยุโรปที่ทำ จึงตัดสินใจไปยุโรป ตอนอยู่ที่ จุฬาฯ เราได้ทำบอลลูนเพื่อฝึกทักษะระดับหนึ่ง พอไปถึงจึงง่ายและสามารถดูแลคนไข้ได้ หลังจากนั้น กลับมาเป็นอาจารย์แพทย์ที่ รพ.จุฬาฯ
สิ่งที่รู้สึกภูมิใจมากที่สุด
สิ่งที่ภูมิใจมากที่สุดเริ่มจาก ได้ช่วยคนไข้และคนไข้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจนอย่างคนไข้ที่เราทำบอลลูนกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน เจ็บหน้าอกมา ช็อก บางคน arrest พอช่วยเขาได้ รู้สึกภูมิใจ และรู้สึกดีที่ได้ช่วยเขาให้หาย กลับไปใช้ชีวิตกับครอบครัวได้
ภูมิใจที่สอง ทำสิ่งประดิษฐ์ที่ช่วยรักษาคนไข้ได้ และเป็นอุปกรณ์ที่ผลิตขึ้นในประเทศของเราเอง ผลงานชิ้นแรกได้รับรางวัลผลงานประดิษฐ์ คิดค้นประจำปี 2560 “ระดับดีมาก” (สาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์) ผลงาน “ลิ้นหัวใจเทียมชนิดเนื้อเยื่อไฮดร้าสำหรับการเปลี่ยนลิ้นหัวใจเอออร์ติกโดยไม่ต้องผ่าตัด” (HYDRA Bioprosthesis Valve for Transcatheter Aortic Valve Implantation (TAVI) จาก สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ผลงานชิ้นที่สอง การวิจัยเรื่องของอุปกรณ์สำหรับปิดรยางค์หัวใจห้องบนซ้ายที่เรียกว่า OMEGA left atrial appendage (LAA) occluder ในการป้องกันการเกิดลิ่มเลือดที่เป็นสาเหตุของอัมพฤกษ์/อัมพาต ในผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจห้องบนเต้นพริ้ว (Atrial Fibrillation – AF) โดยได้ร่วมออกแบบกับ บริษัท แวสคูล่า อินโนเวชั่นประเทศไทย และได้รับมาตรฐานของยุโรป CE Mark
นอกเหนือจากนั้น ปัจจุบันได้รับเลือกเป็นนายกสมาคมแพทย์โรคหัวใจ ฯ การที่เราได้ตำแหน่งมากขึ้นภาระงานที่เพิ่มขึ้น ความรับผิดชอบมากขึ้นเป็นเรื่องปกติ พยายามที่จะทำให้สมาคมฯเราพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น และทำให้สมาชิกได้รับความรู้ในเรื่องของ Cardiovascular management ต่าง ๆ รวมทั้งพยายามที่จะพัฒนาการเรื่องการฝึกอบรมให้ได้มาตรฐาน เพื่อหมอโรคหัวใจที่จบมาจะได้ดูแลคนไข้โรคหัวใจ ตอนที่เขาจบมาอยู่ในต่างจังหวัด ทำให้การรักษามีมาตรฐานดีขึ้น ช่วยคนไข้ได้มากขึ้น ที่สำคัญคือ พยายามสร้างให้เขาเป็นแพทย์ที่ช่วยเหลือคนไข้และมีคุณธรรม
โปรเจกต์ของสมาคมฯช่วงที่ทำงาน จะเป็นการพัฒนางานที่มีอยู่ให้ดีขึ้น มีบางอันที่เพิ่มเติมขึ้นมา อย่างเช่น ช่วง 2-3 ปี ที่มีโควิด 19 การจัดงานประชุม การไปติดต่อต่างประเทศก็น้อยลง ตอนนี้เรามีการทำ MOU กับ ESC ทำให้เห็นรูปแบบความร่วมมือกันมากขึ้น ปีที่ผ่านมาที่ บาร์เซโลนา เขาให้เราทำ ESC daily highlight เป็นห้องถ่ายทอดสดจากที่ประชุม ไลฟ์มาที่เมืองไทย เลือกหัวข้อที่เราคิดว่าน่าสนใจ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเซ็กชั่นไกด์ไลน์ กับ ฮอตไลน์ ปีที่ผ่านมา การนำเสนอของเราเป็นห้องที่มีคนเข้าชมมากที่สุด ถ้าเทียบกับประเทศอื่น อาจเป็นเพราะว่า เรามีการประชาสัมพันธ์ที่ดี ทางสมาคมฯ เองและทุกคนก็ช่วยกัน นี้เป็นสิ่งที่สำคัญ และเขายังให้โอกาสเรา ในการเลือกผู้ที่จะได้รับการเป็น fellow ของเขา (Fellow of ESC, FESC) ถ้าได้รับการคัดเลือกจากสมาคมของเรา เขาก็จะอนุมัติให้เลย เป็นข้อตกลงที่เราทำกับเขาและได้ความร่วมมือมา
การประชุมอื่น ๆ จะเริ่มมีการประชุมวิชาการสัญจรของสมาคมฯ กลับมาจัด ทุก 3 – 4 เดือน เวียนไปตามที่ต่าง ๆ เป็นการเผยแพร่ความรู้ให้น้อง ๆ ที่อยู่ต่างจังหวัด ซึ่งเขาไม่มีโอกาสมาประชุม ถือว่าเป็น CSR ของสมาคมฯอย่างหนี่ง ที่เผยแพร่ความรู้ให้น้อง ๆ ที่อยู่ต่างจังหวัด
“ไม่ปฏิเสธงาน ใครส่งคนไข้มา
ส่วนมากจะไม่ปฏิเสธ
เขาจะรู้ว่าพอเรารับเขาก็จะส่งมาเรื่อย ๆ”
ปัจจัยที่นำไปสู่ความสำเร็จ
ปัจจัยแรก การพัฒนาตนเอง เรียนรู้อยู่เสมอ การดูแลคนไข้อย่างต่อเนื่องจะนำไปสู่การเรียนรู้ของเรา และการเรียนรู้ของลูกศิษย์ ในที่สุดก็จะมีการพัฒนาความรู้ความสามารถมากขึ้น มีประสบการณ์มากขึ้น นำประสบการณ์นี้มาต่อยอด จะรู้ว่าต้องทำงานวิจัยอะไรบ้าง จะต่อยอดส่วนไหนได้ นี่เป็นประสบการณ์จริงที่จะต้องเก็บสะสม ไม่ใช่ว่าจะประสบความสำเร็จได้ทันที
ปัจจัยที่สอง ไม่ปฏิเสธงาน ใครส่งคนไข้มาส่วนมากจะไม่ปฏิเสธ เรารู้ว่าการที่เขาส่งคนไข้มาเพราะเขาต้องการความช่วยเหลือ เมื่อเรารับคนไข้เขา ก็จะส่งมาเรื่อย ๆ ถ้าปฏิเสธ เขาจะรู้สึกไม่ดี ไม่อยากส่งคนไข้มาให้เราอีก เคสพวกนี้ทำให้มีประสบการณ์ และทำให้ลูกศิษย์ของเราได้ศึกษา เพื่อที่จะเอาประสบการณ์ตรงนี้ไปรักษาคนไข้ต่อไปเมื่อเขาเรียนจบแล้ว บางครั้งเราต้องมองว่าเหตุผลที่เขาส่งมาคือ เขาต้องการความช่วยเหลือ ถ้าไม่ช่วยเขา เขาก็ไม่รู้ว่าจะไปทางไหน นี่เป็นเหตุผลว่าคนที่เขาติดต่อขอส่งตัวคนไข้มา ผมจะไม่ค่อยปฏิเสธ ช่วยได้ก็จะช่วย
ปัจจัยที่สาม พยายามทำสิ่งที่ทำได้ให้เต็มที่ เต็มศักยภาพ ศักยภาพเราแค่ไหน ก็พยายามทำให้เต็มที่ นอกจากนี้ยังต้องทำงานร่วมกับผู้อื่นให้ได้ การได้รับความร่วมมือที่ดีของผู้ร่วมงานจะช่วยให้เราสามารถทำงานได้เต็มศักยภาพ อันนี้สำคัญมากเช่นกัน
เมื่อ 2 ปีก่อนได้รับเกียรติจากราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทยให้เป็นอายุรแพทย์ดีเด่น ด้านวิชาการ ซึ่งอาจมาจากการทำงานวิจัย โดยอาศัยงานบริการของเรามาต่อยอดเขียนเป็นงานวิจัยและตีพิมพ์ในวารสารต่าง ๆ รวมทั้งการทำนวัตกรรมลิ้นหัวใจเทียมที่ไม่ต้องผ่าตัดและอุปกรณ์ปิด left atrium ป้องกันการเกิด stroke นอกจากนี้ผมจะเดินทางไปสอนน้อง ๆ ในต่างจังหวัดเป็นประจำ ช่วงแรก ๆ เป็นเรื่องของ coronary intervention แต่ตอนหลัง ๆ จะเป็นคนไข้ประเภท Structural heart intervention คือการปิดรูรั่วต่าง ๆ การขยายลิ้นหัวใจในคนไข้รูมาติก ก็พยายามไปสอนเขา เพราะว่าวิวัฒนาการเกี่ยวกับการรักษา Structure heart มันเกิดมาไม่นานนัก และน้อง ๆ ไม่ค่อยมีประสบการณ์ ตอนเรียนเขาก็ไม่ค่อยมีเคสให้ทำมากนัก เราทำมาตั้งแต่ในสัตว์ทดลองและทำกับคนไข้ พอมีประสบการณ์พอสมควรก็ไปช่วยน้อง ๆ ได้เรียนรู้ เพื่อเขาจะได้พัฒนาและสามารถทำได้ด้วยตนเอง
กว่าจะถึงวันที่ประสบความสำเร็จเจออุปสรรคอะไรบ้าง แล้วเอาชนะอย่างไร
งานทุกงานมีอุปสรรคอยู่แล้ว แต่ผมเป็นคนที่พยายามไม่ค่อยคิดว่ามันเป็นอุปสรรคมากโดยพยายามหาทางแก้ไขไป อย่างอุปสรรคเรื่องของคน การติดต่อขอความร่วมมือกับคนบางทีก็ยาก จะให้เขาทำตามที่เราต้องการมันไม่ง่ายเลย บางครั้งก็มีขัดแย้งกันบ้าง ต้องคุยกัน แต่โชคดีที่ในทีมไม่ค่อยมีปัญหามากนัก ที่มีอยู่บ้างจะเป็นเพราะคน งานหนักพอทนได้ แต่คำพูดคนบางครั้งก็เอาเรื่องอยู่ อาจจะมีบ้างแต่ก็ไม่สนใจ ใครว่าอะไรก็ว่าไป เราทำตามสิ่งที่เราคิดว่าถูกต้อง
อีกอุปสรรคที่เจอ ถ้ามีเคสยากที่ทำไม่ได้หรือทำแล้วคนไข้มีปัญหา บางทีมีเหมือนกันที่ทำให้เขาเสียชีวิต คนไข้อาการไม่ค่อยดี การตัดสินใจช้า แต่พยายามให้มันเกิดน้อยที่สุด หรือถ้าเป็นเคสที่ต้องมีทีม เช่น การทำ TAVI ต้องมีทีม ทั้งศัลยกรรม วิสัญญี รวมทั้งอายุรแพทย์เอง ก็ต้องช่วยกัน การสื่อสารมีความสำคัญ จะทำอย่างไรให้ทุกคนรับทราบและเตรียมความพร้อมให้คนไข้ ทั้งหมดนี้เป็นบทเรียนของเรา
ใครคือบุคคลที่เป็นตัวอย่างในการดำเนินชีวิตหรือการทำงาน
คนแรก คือ ศ.เกียรติคุณ นพ. เกษม วัฒนชัย อาจารย์เป็นคนที่ดีมากติดดิน ท่านน่ารักมาก เป็นคนเก่ง อาจารย์เป็นต้นแบบของความเป็นครู พูดคุยกับเราอย่างเป็นกันเอง สอนหนังสือเก่งมาก อ่านหนังสือรอบเดียวสามารถพูดได้เป็นฉาก ๆ พูดอธิบายให้เข้าใจ สอนเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย เราพยายามทำก็ยังทำไม่ได้ ความจำท่านดีมาก สามารถที่จะรวบรวมข้อมูลและถ่ายทอดเรื่องราวต่าง ๆ ได้อย่างดี ท่านเป็นคนที่มีคุณธรรม และท่านได้รับการแต่งตั้งเป็นองคมนตรี
คนที่สอง คุณแม่ ท่านเป็นคนที่ใจดีมาก เป็นต้นแบบของคนที่ขยันช่วยเหลือคนอื่นตลอด ท่านไม่มีความรู้อะไร ไม่ได้เรียนจบสูง ท่านเป็นคนรักลูก ขยัน ดูแลลูกได้เป็นอย่างดี
คนที่สาม รศ. พญ. คุณหญิง พึงใจ งามอุโฆษ เป็นหัวหน้าหน่วยที่รับผมเข้ามาเรียน และให้ผมเป็นอาจารย์ที่ จุฬาฯ อาจารย์เป็นคนใจดี ไม่เคยดุ ไม่เคยว่าใคร ดูแลเอาใส่ใจพวกเราเป็นอย่างดี
คติหรือหลักการที่ยึดถือปฏิบัติในการดำเนินชีวิต
ทำทุกอย่างให้เต็มความสามารถเท่าที่จะทำได้ ทำให้ดีที่สุด ได้แค่ไหนก็แค่นั้น อย่างน้อยเราก็ได้ทำเต็มความสามารถของเรา และต้องนึกถึงใจเขาใจเรา อย่างการส่งคนไข้มาให้เราดูแลก็เท่ากับว่า เขาไม่สามารถที่จะดูแลคนไข้ต่อได้ เขาต้องการความช่วยเหลือ สิ่งสุดท้ายคือ การตรงเวลาเป็นสิ่งที่สำคัญ เวลามีค่า เช่น เวลาไปออก OPD ผมจะพยายามออกให้ตรงเวลาหรือก่อนเวลา นอกจากจะติดภารกิจจริง ๆ เพราะถ้าไปสาย คนไข้ต้องรอเรา และเขายังต้องรอยาอีกกว่าจะได้กลับบ้าน เขามีภารกิจของเขา เราก็มีภารกิจของเรา เวลาเขากับเวลาเราก็เท่ากัน ถ้าเราช้าครึ่งชั่วโมง เท่ากับว่าเขาก็ช้าไปครึ่งชั่วโมง
มองการแพทย์ของเมืองไทยว่าอย่างไร ทิศทางในอนาคตเป็นอย่างไร
มองการแพทย์ของเมืองไทยในส่วนของโรคหัวใจ มีหลายสิ่งที่ต้องแก้ไข เพราะระบบบริหาร การจัดการของเรายังไม่ดีพอ รวมทั้งตัวแพทย์เองก็ยังไม่ดีพอ แพทย์ส่วนใหญ่ดี แต่ก็มีแพทย์บางท่านเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน ทำอะไรไปอย่าเห็นแก่ประโยชน์ของเราส่วนเดียว บางครั้งสิ่งที่ทำอาจเป็นโทษกับคนไข้ได้ โดยเฉพาะการทำ intervention หลายครั้งมันไม่ได้มีข้อบ่งชี้ในการทำ ซึ่งจะเป็นความเสี่ยงของคนไข้โดยไม่จำเป็น การทำหัตถการต่าง ๆ จึงต้องดูความเหมาะสม มีข้อบ่งชี้ที่ถูกต้อง
ทิศทางในอนาคต ระบบสุขภาพของเราดีอยู่ระดับหนึ่งแล้ว แต่ทำอย่างไรที่จะทำให้พัฒนาไปได้มากกว่านี้ ทำให้คนไข้เข้าถึงบริการที่ดีมีคุณภาพโดยที่ค่าใช้จ่ายเหมาะสม ขณะนี้ผมได้มีโอกาสช่วยงานของสปสช. ในเรื่องการควบคุมคุณภาพและการพัฒนาระบบบริการของห้องสวนหัวใจ ก็พยายามทำให้ดีที่สุด เพื่อคนไข้จะได้เข้าสู่ระบบบริการและมีความปลอดภัย
เทคโนโลยีเป็นอะไรที่มาเร็วมาก ตัวอย่างเมื่อเร็ว ๆ นี้ ถ้าใครติดตามเรื่อง Chat GPT จะเห็นว่าช่วยเราได้ทุกอย่าง เขียนบทความให้ สร้างไฮไลท์ให้เรา สร้างฟอร์แมทให้เรา ป้อนข้อมูลให้เรา และอีกหลาย ๆ อย่าง มีคนบอกว่า สามารถทำข้อสอบหมอได้ หรืออย่างสมาร์ทวอร์ช มีการวินิจฉัย วัดความดัน การเต้นของหัวใจ มีประโยชน์แน่นอน แต่แพทย์ก็ต้องมีการปรับเทคโนโลยีมาใช้ ต้องดูว่านำมาใช้ได้มากน้อยแค่ไหน บางอย่างทดแทนแพทย์ไม่ได้ แต่ทำให้การทำงานต่าง ๆ สะดวกมากขึ้น การดูแลคนไข้อาจจะดีขึ้น อย่างไรก็ตามแพทย์ต้องเอามากรองว่า ใช้ได้กับสถานการณ์ไหน คนไข้แต่ละคนไม่เหมือนกัน สภาพบ้านเรากับเมืองนอกก็ไม่เหมือนกัน ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการรักษา วัฒนธรรมในการดูแลคนไข้ก็ไม่เหมือนกัน
ส่วนเรื่องที่บ้านเราจะเป็นเจ้าของเทคโนโลยีเองในอนาคต ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ข้อจำกัดของบ้านเราคือสเกลเล็ก ทำให้ต้นทุนสูง อย่างโรคหัวใจ เราก็มีนวตกรรมหลายอย่างที่ผลิตในเมืองไทย เช่น อุปกรณ์ตัวปิดผนังหัวใจก็มีที่ผลิตในไทย ผ่านมาตรฐาน อย.ไทย แต่ปริมาณการผลิตยังไม่คุ้ม ต้องผ่านมาตรฐานของ EU (CE Mark) หรือ US (US FDA) เพื่อที่จะให้มีปริมาณการผลิตและขายที่มากขึ้น เพื่อให้เกิดความคุ้มทุน ทำให้เกิดการแข็งขันในด้านราคา อย่าง TAVI ในไทยก็มีให้แพทย์เลือกใช้อยู่หลายแบบหลายประเภท อย่างจุฬาฯ เองก็เริ่มใช้อยู่ระดับหนึ่ง ประมาณ 40 – 50% ของเคส เนื่องจากว่า มีการพัฒนาเอง ราคาต้นทุนก็จะถูกกว่าของนอกครึ่งหนึ่ง รวมทั้งการต้องอาศัยข้อบ่งชี้ทางการแพทย์เป็นหลักด้วย ถ้ามีให้เลือกหลายแบบ แบบไหนที่ดีที่สุดสำหรับคนไข้ ถ้าคนไข้รายไหนสามารถใช้ได้ทุกอย่าง เราก็จะดูด้วยว่าเขามีความสามารถในการจ่ายค่าอุปกรณ์มากน้อยแค่ไหน เราก็สามารถเลือกอันที่เหมาะสมได้ ในอนาคตหากต้องการทำเทคโนโลยีการแพทย์ให้ไกลกว่านั้น ก็คงต้องพึ่งพาภาครัฐในเรื่องงบวิจัยและภาคเอกชนมาลงทุนในการผลิต
ข้อแนะนำให้แพทย์รุ่นใหม่ว่าจะสำเร็จต้องทำอย่างไร
สำหรับแพทย์ทั่วไปและแพทย์ในสาขาโรคหัวใจ ถ้าเป็นอาจารย์โรงเรียนแพทย์จะทำงานหนักน้อยกว่าแพทย์โรงพยาบาลศูนย์ แต่เรามีหน้าที่ด้านการเรียนการสอนมากขึ้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องยึดหลักคุณธรรม การดูแลด้วยใจ เอาคนไข้เป็นหลัก และแพทย์รุ่นใหม่แม้ว่าจะมีการพูดถึงความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานหรือ work life balance มากขึ้น แต่การดูแลคนไข้ เราเป็นหมอต้องเป็นอันดับ 1 ทำอย่างไรที่จะทำให้คนไข้หาย หรือมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทำอย่างไรให้การดูแลมันเป็นไปได้ด้วยความราบรื่น ซึ่งจิตสำนึกของการเป็นแพทย์ที่ดี ก็สำคัญด้วย