ต่อเนื่องจากปีก่อนหน้า การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ๆ ของโลกโดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยี ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมด้านสุขภาพ ในภาพกว้างยังคงเป็นการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในการบริการ การรักษาพยาบาล และการดูแลผู้ป่วย เพื่อให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
เทคโนโลยีที่นำมาใช้ ได้แก่ การให้คำปรึกษาออนไลน์ (E-consultations) การแพทย์ทางไกล (Telemedicine) การวินิจฉัยแบบเรียลไทม์ (Real-time diagnosis) การรักษาแบบดิจิตอล (Digital therapeutics) การวิเคราะห์ทางพันธุกรรม การรวบรวมข้อมูลทางคลินิก และการบริหารจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ (Big data management) การใช้ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence, AI) และระบบอินเทอร์เน็ตในทุกสิ่ง (Internet of Things, IoT) เป็นต้น
สำหรับอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องมือแพทย์ ก็จะเป็นการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่างที่มีการใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตอื่น ๆ มาประยุกต์ใช้ เช่น อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ระบบเครือข่ายที่มีการส่งต่อข้อมูลและติดตามผลได้ตลอดเวลา เป็นต้น โดยมีแนวโน้มการพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตสำคัญ ๆ ดังนี้
- เทคโนโลยีที่สวมใส่ได้ (Medical wearables) การพัฒนาอุปกรณ์ หรือเครื่องมือวัดและบันทึกข้อมูลทางสุขภาพ ที่ผู้ใช้งานสามารถสวมใส่ได้ตลอดเวลา จะทำให้บุคลากรการแพทย์ได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อผู้รับบริการโดยไม่จำเป็นต้องมาพบแพทย์บ่อยครั้งนัก ตั้งแต่การพิจารณาและตัดสินใจเริ่มการรักษา การติดตามและประเมินประสิทธิภาพการรักษา การติดตามอาการไม่พึงประสงค์ หรือกรณีที่ไม่จำเป็นต้องให้การรักษา ข้อมูลเหล่านี้ยังสามารถใช้ประกอบการพิจารณาเริ่มกิจกรรม หรือคำแนะนำการปรับพฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพของผู้สวมใส่ได้
- หุ่นยนต์ทางการแพทย์ และเครื่องมือที่รุกล้ำร่างกายน้อย (Minimally invasive devices) การใช้หุ่นยนต์ทางการแพทย์สำหรับทำหัตถการตามแบบแผนทั่วไป ช่วยเพิ่มความแม่นยำและความปลอดภัยแก่ผู้ป่วย ช่วยให้การทำหัตถการมีความคล่องตัว ทั้งยังช่วยลดการสูญเสียเลือด บาดแผลหลังทำหัตถการมีขนาดเล็กและฟื้นตัวเร็ว นอกจากนี้ การพัฒนาหุ่นยนต์ทางการแพทย์ในอนาคต จะยิ่งเพิ่มความแม่นยำในการทำหัตถการ ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมาก โดยเฉพาะการรักษาแบบมุ่งเป้า (target-based treatment) อาทิ การรักษามะเร็ง โรคทางระบบภูมิคุ้มกัน นอกจากการใช้หุ่นยนต์ช่วยในการทำหัตถการแล้ว อุปกรณ์เครื่องมือสำหรับทำหัตถการในอนาคต จะลดการรุกล้ำเข้าไปในร่างกายผู้ป่วยให้น้อยลง เพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ แผลฟื้นฟูช้า และลดโอกาสเกิดแผลเป็น
- เทคโนโลยีเสมือนจริง (Virtual reality) ไม่ว่าจะเป็น virtual reality (VR) augmented reality (AR) หรือ extended reality (XR) จะช่วยให้บุคลากรการแพทย์สามารถติดตามการรักษาผู้ป่วยได้ แม้ไม่ได้นัดพบผู้ป่วย หรืออยู่ในระยะไกล เป็นประโยชน์ต่อผู้ที่ไม่สะดวกมาพบแพทย์ได้บ่อย หรือผู้ป่วยที่จำเป็นต้องได้รับการติดตามการรักษาอย่างใกล้ชิด เพราะการติดต่อสื่อสารผ่านช่องทางที่อาศัยเทคโนโลยีเสมือนจริง ช่วยให้ประสบการณ์การนัดพบระหว่างบุคลากรการแพทย์และผู้ป่วยเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว และราบรื่นเหมือนได้พบผู้ป่วยจริง นอกจากประโยชน์ด้านการติดตามการรักษา ยังมีข้อดีสำหรับนักเรียนทางการแพทย์ โดยเฉพาะกรณีที่จำเป็นต้องฝึกปฏิบัติทำหัตถการ ตัวอย่าง Virtual community ที่น่าสนใจ เช่น Daily Strength, PatientsLikeMe, MedHelp เป็นต้น
- การพิมพ์ 3 มิติ (3D printing) ช่วยให้สามารถสร้างโครงสร้างทางพยาธิสรีรวิทยา เป็นประโยชน์ต่อการปลูกถ่ายอวัยวะ การวางแผนก่อนการผ่าตัดจริง รวมทั้งใช้ในการฝึกทำหัตถการสำหรับนักเรียนทางการแพทย์ได้ นอกจากนี้ ยังเป็นประโยชน์ในการผลิตอุปกรณ์สำหรับผู้ป่วยที่ต้องการอุปกรณ์ช่วยเหลือเฉพาะตัว เนื่องจากสามารถทำให้การผลิตง่ายและเป็นการประหยัดต้นทุนการผลิต
.
- ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial intelligence, AI) ช่วยให้การวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมาก โดยเฉพาะข้อมูลทางสุขภาพที่ได้จากการรวบรวมข้อมูลจากอุปกรณ์ที่ผู้ป่วยสวมใส่เป็นไปได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ยังช่วยในการวินิจฉัยโรค การพิจารณาเริ่มการรักษา ตลอดจนการพยากรณ์ประสิทธิภาพการรักษาที่ผู้ป่วยได้รับ มีการคาดการณ์มูลค่าของ AI ในตลาดสุขภาพปี 2022, 2023 และ 2030 ที่ 1, 20.6 และ 187.9 พันล้านบาท ตามลำดับ โดยมีการใช้มากในการวิเคราะห์ภาพทางการแพทย์ (Medical image analysis) การค้นพบยา (Drug discovery) โรคทางด้านสมอง (Brain diseases) และเวชศาสตร์ป้องกัน (Preventive medicine) IoMT
- การแพทย์จีโนมิกส์ (Genomic medicine) หรือการแพทย์แม่นยำ อาศัยการนำเทคโนโลยีการอ่านลำดับสารพันธุกรรมในผู้ป่วยแต่ละราย ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการวางแผนการรักษาผู้ป่วยอย่างมีความจำเพาะเจาะจง โดยฉพาะการพิจารณาเลือกการรักษาผู้ป่วย จะทำให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่มีความเหมาะสมกับผู้ป่วยทั้งในด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัย
- การใช้ระบบอินเตอร์เน็ตในทุกสิ่ง (Internet of Medical Things, IoMT) เป็นเครือข่ายที่ผสานการทำงานของระบบการบริการสุขภาพทั้งหมด ตั้งแต่การส่งต่อข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล ทั้งภายในสถานบริการสุขภาพ และระหว่างผู้ป่วยกับสถานบริการสุขภาพระดับปฐมภูมิ โดยเชื่อมต่ออุปกรณ์ตรวจวัดและบันทึกข้อมูลทางสุขภาพของผู้ป่วย และอาศัยเครือข่ายอินเทอร์เน็ตสำหรับการรับส่งข้อมูล มีการประมาณการมูลค่าของ IoMT เฉพาะด้านเครื่องมือแพทย์อยู่ที่ 1 พันล้าน ในปี 2022
- อินเทอร์เน็ต 5G การทำงานผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ตั้งแต่การส่งต่อข้อมูล การประมวลผล และการแสดงผล จำเป็นต้องอาศัยเครือข่ายที่มีความเร็วเหมาะสมต่อการทำงาน ในอนาคตอินเทอร์เน็ต 5G จึงมีความจำเป็นต่อการทำงานในสถานบริการสุขภาพ ทั้งสำหรับการส่งต่อข้อมูลระหว่างบุคลากรการแพทย์ในสถานบริการสุขภาพเอง และระหว่างบุคลากรกับผู้ป่วย
- ความปลอดภัยด้านไซเบอร์ (Cybersecurity) มีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการเก็บรักษาข้อมูลทางสุขภาพของผู้ป่วย เพราะข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อการกำหนดแผนการตลาดสำหรับธุรกิจทางสุขภาพในอนาคต จึงเป็นเป้าหมายของผู้ประสงค์ร้ายที่หวังผลประโยชน์จากมูลค่าของข้อมูลเหล่านี้ เนื่องจากการพัฒนาเทคโนโลยีทางสุขภาพในอนาคตจำเป็นต้องอาศัยเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะการส่งต่อข้อมูลและการบันทึกข้อมูล จึงจำเป็นต้องมีระบบป้องกันไม่ให้เกิดการรั่วไหลของข้อมูล เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวของผู้ป่วย เพิ่มความไว้วางใจในการเข้ารับบริการ
- การจัดการขยะทางการแพทย์ การพัฒนาอุปกรณ์การแพทย์ยิ่งมากขึ้น ขยะและของเสียยิ่งมากขึ้นตามและจะกลายเป็นปัญหาที่ต้องได้รับการจัดการอย่างเป็นระบบ ผู้ผลิตอุปกรณ์การแพทย์ต่าง ๆ จำเป็นต้องมีการวางแผนจัดการอย่างเหมาะสม ตั้งแต่การพิจารณาเลือกวัตถุดิบในการผลิตอุปกรณ์ ตลอดจนกระบวนการทำลาย การหมุนเวียนมาใช้ใหม่ (recycle) การนำมาใช้ซ้ำ (reuse)
แนะนำอ่านเพิ่มเติม 10 แนวโน้มอุตสาหกรรมด้านสุขภาพ บุคลากรการแพทย์ไม่รู้ไม่ได้ 10 แนวโน้มอุตสาหกรรมยา เตรียมตัวพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง
- https://www.startus-insights.com/innovators-guide/medical-device-trends/
- https://linchpinseo.com/trends-medical-device-industry/
- https://intersog.com/blog/health-tech-outlook-2023/