CIMjournal
banner vaccine child

คำแนะนำการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 สำหรับเด็กและวัยรุ่น ฉบับที่ 12


ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย

 

Logo PIDST
สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย

 


ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2566 องค์การอนามัยโลก1 ได้ออกคำแนะนำให้ใช้วัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ชนิด monovalent สายพันธุ์โอไมครอน สายพันธุ์ย่อย XBB.1 descendent lineage เช่น สายพันธุ์ XBB.1.5 และ

ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2566 องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาได้อนุมัติให้ใช้วัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ชนิดดังกล่าวในเด็กอายุตั้งแต่อายุ 6 เดือน เป็นต้นไป2 และภายหลังจากที่มีการใช้วัคซีนนี้ในสหรัฐอเมริกาได้มีรายงานข้อมูลประสิทธิผลของวัคซีนป้องกันโรค โควิด 19 ชนิด monovalent สายพันธุ์โอไมครอน สายพันธุ์ย่อย XBB.1.5 ในการป้องกันการติดเชื้อ SARS-CoV-2 ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567 พบว่า วัคซีนมีประสิทธิผลในการป้องกันการติดเชื้อ SARS-CoV-2 สายพันธุ์ย่อยต่าง ๆ ที่พบการระบาดในขณะนี้ได้ร้อยละ 54 เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีน ซึ่งรวมการติดเชื้อสายพันธุ์ย่อย JN 1 ได้ร้อยละ 493

สำหรับในประเทศไทย ยังพบมีรายงานผู้ป่วยโรคโควิด 19 อย่างต่อเนื่อง โดยรายงานสถานการณ์โรคโควิดระหว่างมกราคม พ.ศ. 2566 - 2567 จากกรมควบคุมโรคประเทศไทย พบอัตราการป่วยโรคโควิด 19 สูงสุดในกลุ่มเด็กอายุ 6 เดือนถึง 1 ปี ซึ่งมีอัตราสูงมากกว่า 6,000 รายต่อ 100,000 ประชากร เมื่อเทียบกับเด็กโตและผู้ใหญ่ ซึ่งพบอัตราการติดเชื้อน้อยกว่า 1,000 ต่อ 100,000 ประชากร และผลการถอดรหัสพันธุกรรม เชื้อ SARS-CoV-2 ของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ในประเทศไทย ระหว่างวันที่ 23 ธันวาคม 2566 ถึง 23 มกราคม 2567 จำนวน 234 ราย พบส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์ลูกผสมกระจายทุกเขตสุขภาพ โดยสายพันธุ์ JN.1* พบสัดส่วนมากที่สุดร้อยละ 33.5 ถัดมาคือ EG.5 (สายพันธุ์ย่อยของ XBB.1.9.2) ร้อยละ 27.5, BA.2.86 ร้อยละ 21, XBB.1.16 ร้อยละ 7.3%4 ดังนั้นการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 จึงเป็นหนึ่งในมาตรการสำคัญในการป้องกันโรค ในปัจจุบันนี้วัคซีนป้องโรคโควิด 19 ในประเทศไทยมีเพียงชนิดเดียวคือ monovalent XBB.1.5 ของ Pfizer BioNTech (Comirnaty) ซึ่งมีหลาย preparation ดังแสดงในตารางที่ 1

ตารางที่ 1 รูปแบบของวัคซีนป้องโรคโควิด 19 monovalent XBB.1.5 ของ Pfizer BioNTech (Comirnaty) ที่มีในประเทศไทยguide-vaccine-child-1หมายเหตุ ในกรณีที่ไม่สามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ที่แนะนำตามกลุ่มอายุได้ อาจพิจารณาแบ่งโดส (fractional dose) ได้ดังนี้

  • ในเด็กอายุ 5 - <12 ปี พิจารณาใช้วัคซีน Pfizer-BioNTech ฝาสีเทา แถบสีเทา มาแบ่งโดส (fractional dose) เป็นขนาด 10 ไมโครกรัม ปริมาณ 0.1 มิลลิลิตร ต่อโดส ในการฉีดแทนฝาสีฟ้า แถบสีฟ้าได้
  • ในเด็กอายุ 6 เดือน ถึง <5 ปี พิจารณาใช้วัคซีน Pfizer-BioNTech ฝาสีฟ้า แถบสีฟ้า มาแบ่งโดส (fractional dose) เป็นขนาด 3 ไมโครกรัม ปริมาณ 0.09 มิลลิลิตร ต่อโดส ในการฉีดแทนฝาสีแดงเข้ม แถบสีแดงเข้ม หรือฝาสีเหลือง แถบสีเหลือง
    ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทยได้ ทบทวนข้อมูลทางวิชาการและคำแนะนำของนานาประเทศรวมทั้งองค์การอนามัยโลก1, 5 จึงได้ออกคำแนะนำการใช้วัคซีนป้องกันโรค โควิด 19 ชนิด monovalent XBB.1.5 ของ Pfizer BioNTech (Comirnaty) ดังนี้
  • แนะนำวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ชนิด monovalent XBB.1.5 ของ Pfizer BioNTech (Comirnaty) ในเด็กอายุตั้งแต่ 6 เดือนเป็นต้นไป ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคโควิด 19 ที่รุนแรง ซึ่งได้แก่
    • โรคอ้วน (น้ำหนักเทียบกับความสูง (weight for height) มากกว่า +3 SD)
    • โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง รวมทั้งหอบหืดที่มีอาการปานกลางหรือรุนแรง
    • โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง
    • โรคเบาหวาน
    • กลุ่มโรคพันธุกรรมรวมทั้งกลุ่มอาการดาวน์ เด็กที่มีภาวะบกพร่องทางระบบประสาทอย่างรุนแรง เด็กที่มีพัฒนาการช้า
    • โรคไตวายเรื้อรัง
    • โรคมะเร็งและภาวะภูมิคุ้มกันต่ำปานกลางถึงรุนแรง
  • พิจารณาฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ได้สำหรับเด็กที่แข็งแรงดี อายุตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป
  • คำแนะนำทั่วไปเกี่ยวกับการรับวัคซีนโควิด 19 มีดังนี้
    • สำหรับผู้ที่เคยมีการติดเชื้อ SARS-CoV2 มาก่อน แนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 หลังจากการติดเชื้ออย่างน้อย 90 วัน นับจากวันที่เริ่ม
      มีอาการป่วยจากโรคโควิด 19 หรือในเด็กที่ติดเชื้อ SARS-CoV2 โดยไม่แสดงอาการ ให้นับจากวันที่มี
      ผล ATK หรือ PCR เป็นบวก
    • ภายหลังการติดเชื้อ SARS-CoV-2 ตามธรรมชาติ แนะนำให้ฉีดวัคซีนเพียง 1 เข็มในทุกกลุ่มอายุ ทั้งในภูมิคุ้มกันปกติ และภูมิคุ้มกันต่ำปานกลางถึงรุนแรง
    • การฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ชนิด monovalent XBB.1.5 ของ Pfizer BioNTech (Comirnaty) ให้ฉีดห่างจากวัคซีนป้องกันโรค
      โควิด 19 เข็มสุดท้าย ที่เคยได้รับมาก่อน อย่างน้อย 8 สัปดาห์
    • ในกรณีเด็กเล็กที่ต้องฉีดวัคซีนป้องกัน
      โรคโควิด19 3 เข็ม ระยะห่างระหว่างการฉีดวัคซีนเข็ม 1 และเข็ม 2 ห่างกัน 4 สัปดาห์ (3 – 8 สัปดาห์) และระยะห่างระหว่างเข็มที่ 2 และเข็ม 3 ห่างอย่างน้อย 8 สัปดาห์
    • คำแนะนำผลิตภัณฑ์ ขนาด และจำนวนโดส ของการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ในเด็กและ
      วัยรุ่นดังแสดงในตารางที่ 2 และ 3 โดยมีคำแนะนำดังนี้


ในเด็กปกติและเด็กกลุ่มเสี่ยงไม่มีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำปานกลางถึงรุนแรง

  • เด็กอายุ 6 เดือนถึง 1 ปี หากไม่เคยเป็นโรคโควิด 19 แนะนำให้ฉีด primary series ให้ครบ 3 เข็ม ตามกำหนดการฉีดในเดือนที่ 0, 1, 3 ดังรายละเอียด ที่กล่าวข้างต้น แต่หากเคยเป็นโควิด 19 มาก่อน แนะนำให้ฉีดกระตุ้นเพียง 1
  • เด็กอายุมากกว่า 1 ปี มีข้อมูลศึกษาในประเทศไทย6 พบว่า ร้อยละ 88 มีภูมิคุ้มกันต่อโรคโควิด 19 แล้วจากการเคยเป็นโรคหรือได้รับวัคซีนมาก่อน จึงแนะนำว่าหากอายุเกิน 1 ปี ในเด็กที่ไม่มีภาวะภูมิคุ้มบกพร่องปานกลางหรือรุนแรง แนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ชนิด monovalent XBB.1.5 เพียง 1 เข็ม

ตารางที่ 2 เด็กปกติและเด็กกลุ่มเสี่ยงไม่มีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำปานกลางถึงรุนแรงguide-vaccine-child*เข็ม 1 และเข็ม 2 ห่างกัน 4 สัปดาห์ (3-8 สัปดาห์) เข็ม 2 และเข็ม 3 ห่างอย่างน้อย 8 สัปดาห์
#ฉีดห่างจากเข็มสุดท้าย ที่เคยรับมาก่อน อย่างน้อย 8 สัปดาห์


ในเด็กกลุ่มเสี่ยงที่มีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำปานกลางถึงรุนแรง

  • เด็กกลุ่มเสี่ยงที่มีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำปานกลางถึงรุนแรง ได้แก่ ผู้ป่วยที่กำลังได้รับยารักษาโรคมะเร็ง (solid tumor and hematologic malignancies) ผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ (solid-organ transplant recipients) ผู้ป่วยปลูกถ่ายไขกระดูกภายใน 2 ปีหรือยังได้รับยากดภูมิคุ้มกัน ผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่องแต่กำเนิดในระดับปานกลางถึงรุนแรง (เช่น DiGeorge syndrome, Wiskott-Aldrich syndrome เป็นต้น) ผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีที่มีระดับ CD4 < 200/mm3 หรือผู้ป่วยที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน เช่น คอร์ติโคเสตียรอยด์ขนาดสูง (≥ 20 มก./วัน ของยาเพรดนิโซโลนหรือเทียบเท่าเป็นระยะเวลา ≥ 2 สัปดาห์ ), ยาเคมีบำบัด alkylating agents, antimetabolites, TNF blockers และ biologic agents เป็นต้น
  • เด็กกลุ่มเสี่ยงที่มีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำปานกลางถึงรุนแรงที่ไม่เคยติดเชื้อและไม่เคยรับวัคซีนมาก่อน แนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ให้ครบ primary series ตามอายุ ดังแสดงในตารางที่ 3 และพิจารณา additional dose ในเด็กอายุตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไปอีก 1 เข็ม โดยห่างจากเข็มสุดท้ายอย่างน้อย 4 สัปดาห์

ตารางที่ 3 เด็กกลุ่มเสี่ยงที่มีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำปานกลางถึงรุนแรงguide-vaccine-child#ฉีดห่างจากเข็มสุดท้าย ที่เคยรับมาก่อน อย่างน้อย 8 สัปดาห์
*เข็ม 1 และเข็ม 2 ห่างกัน 4 สัปดาห์ (3-8 สัปดาห์) เข็ม 2 และเข็ม 3 ห่างอย่างน้อย 8 สัปดาห์
** เข็ม 1 และเข็ม 2 ห่างกันอย่างน้อย 4-8 สัปดาห์ แนะนำเว้นระยะห่างการฉีดเข็ม 1 และ 2 เป็นเวลา 8 สัปดาห์ จะลดโอกาสการเกิดผลข้างเคียงของกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบและเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ และพิจารณา additional dose ในเด็กอายุเด็กกลุ่มเสี่ยงที่มีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำปานกลางถึงรุนแรงตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไปอีก 1 เข็ม โดยห่างจากเข็มสุดท้ายอย่างน้อย 4 สัปดาห์

 

PDPA Icon

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

บันทึก