CIMjournal
banner insulin

Metabolic syndrome: สถานการณ์ของกลุ่มอาการเมตาบอลิกในปี 2025


พญ. ศิดายุ สุริยะพญ. ศิดายุ สุริยะ
อายุรแพทย์ต่อมไร้ท่อและเมตาบอลิสม
ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์
มหาวิทยาลัยนเรศวร

 

กลุ่มอาการเมตาบอลิก (Metabolic Syndrome: MetS) เป็นปัญหาสุขภาพระดับโลกที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น ภาวะนี้ประกอบด้วยกลุ่มของความผิดปกติทางเมตาบอลิซึมที่สัมพันธ์กัน ได้แก่ โรคอ้วนลงพุง ภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ ความดันโลหิตสูง และภาวะดื้อต่ออินซูลิน ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา อัตราความชุกของ MetS เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสำคัญมาจากการเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตสมัยใหม่และอัตราการเกิดโรคอ้วนที่สูงขึ้น ในปี ค.ศ. 2025 ปัญหานี้ยังคงส่งผลกระทบต่อการกำหนดนโยบายสาธารณสุขและแนวทางปฏิบัติทางคลินิกอย่างเด่นชัด แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์มีบทบาทสำคัญในการจัดการกับ MetS โดยเน้นที่การวินิจฉัยตั้งแต่ระยะเริ่มต้น การประเมินความเสี่ยง และการให้ความรู้แก่ผู้ป่วย เพื่อช่วยลดผลกระทบระยะยาวของภาวะนี้


นิยามของกลุ่มอาการเมตาบอลิก

MetS ถูกกำหนดโดยการมีปัจจัยเสี่ยงหลายประการที่เพิ่มโอกาสในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด  และโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ตามแนวทางของ International Diabetes Federation (IDF) และ National Cholesterol Education Program Adult Treatment Panel III (NCEP ATP III) หากบุคคลใดมีเกณฑ์อย่างน้อย 3 ใน 5 ข้อต่อไปนี้ จะได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น MetS (รูปที่ 1) เกณฑ์เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงพยาธิกำเนิดของภาวะดื้อต่ออินซูลิน ซึ่งมีผลกระทบต่อระบบต่าง ๆ ในร่างกาย

สถานการณ์ของกลุ่มอาการเมตาบอลิกในปี 2025รูปที่ 1 เกณฑ์การวินิจฉัยกลุ่มอาการเมตาบอลิก (Metabolic syndrome)


แนวโน้มที่เพิ่มขึ้นของ MetS

ในปี ค.ศ. 2025 พบว่าอัตราความชุกของ MetS ยังอยู่ในระดับสูง โดยมีปัจจัยหลักที่ส่งเสริมให้สถานการณ์นี้รุนแรงขึ้น ได้แก่ การขยายตัวของเมืองอย่างรวดเร็ว วิถีชีวิตแบบเนือยนิ่ง (sedentary lifestyle) และพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ การศึกษาทางระบาดวิทยา พบว่า MetS มีอัตราความชุกอยู่ที่ร้อยละ 25 – 35 ของประชากรผู้ใหญ่ทั่วโลก โดยมีความแตกต่างระหว่างภูมิภาคและกลุ่มสังคมเศรษฐกิจ

ข้อมูลจากการศึกษา Global Burden of Disease Study 2021 ซึ่งเผยแพร่ในวารสาร The Lancet ชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มที่น่ากังวลเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของภาวะโรคอ้วนทั่วโลก เมื่อเปรียบเทียบ ปี ค.ศ. 1990 กับปัจจุบัน พบว่าอัตราความชุกของโรคอ้วนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยในผู้ชายเพิ่มขึ้น ร้อยละ 155.1 ในผู้หญิง ร้อยละ 104.9 และในเด็กวัยรุ่น ร้อยละ 244 หากแนวโน้มนี้ยังคงดำเนินต่อไป คาดการณ์ว่า ภายใน ปี ค.ศ. 2050 จำนวนผู้ใหญ่ที่มีภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วนทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นเป็น 3.80 พันล้านคน ซึ่งคิดเป็นมากกว่าครึ่งหนึ่งของประชากรผู้ใหญ่ทั่วโลกใน ณ เวลานั้น (รูปที่ 2)

สถานการณ์ของกลุ่มอาการเมตาบอลิกในปี 2025รูปที่ 2 อัตราความชุกของโรคอ้วนที่ปรับตามอายุโดยประมาณในประชากรผู้ใหญ่ อายุตั้งแต่ 25 ปีขึ้นไป จำแนกตามเพศ ทั้งในระดับโลกและตามภูมิภาคหลัก ระหว่างปี ค.ศ. 1990 – 2050 (ปรับปรุงจาก Global Burden of Disease Study 20212)


นอกจากนี้ การคาดการณ์ยังระบุว่า ภายใน ปี ค.ศ. 2050 จะมีเด็กอายุ 5 – 14 ปี จำนวน 356 ล้านคน และเยาวชนอายุ 15 – 24 ปี จำนวน 390 ล้านคน ที่มีภาวะน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน อัตราการเพิ่มขึ้นของภาวะโรคอ้วนในเด็กและวัยรุ่นมีความสัมพันธ์โดยตรงกับอัตราการเกิดโรคอ้วนในผู้ใหญ่ ซึ่งก่อให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับ MetS ว่าอาจเริ่มเกิดขึ้นในประชากรอายุน้อยมากขึ้น ส่งผลให้ประชากรมีภาวะโรคเมตาบอลิกตลอดช่วงชีวิตมากขึ้น

นอกจากนี้การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ยังส่งผลให้สถานการณ์ของ MetS ทวีความรุนแรงขึ้น เนื่องจากมาตรการล็อกดาวน์และการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตที่เกี่ยวข้องส่งผลให้ผู้คนมีระดับกิจกรรมทางกายลดลงและน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นในหลายประเทศ

ในประเทศไทย ข้อมูลจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 ถึงปัจจุบัน พบว่าคนไทย 19.3 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 34.1 มีภาวะอ้วน และมีคนไทยที่รอบเอวเกิน หรืออ้วนลงพุงกว่า 20.8 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 37.5

เนื่องจากขนาดของปัญหาที่เพิ่มขึ้น แนวทางการแก้ไขจึงจำเป็นต้องดำเนินการในระดับนโยบายสาธารณสุข เพื่อให้สามารถควบคุมปัจจัยเสี่ยงและลดอัตราการเกิด MetS ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้การพัฒนาแนวทางที่คำนึงถึงปัจจัยที่ซับซ้อนทั้งในระดับมหภาคและระดับจุลภาคที่เกี่ยวข้องกับการเพิ่มขึ้นของ MetS เป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้สามารถจัดการกับปัญหานี้ในระยะยาวได้อย่างยั่งยืน


ผลกระทบต่อสุขภาพ

MetS เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่เพิ่มโอกาสในการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังหลายชนิด ได้แก่ โรคหัวใจและหลอดเลือด  โรคเบาหวานชนิดที่ 2 และโรคไตเรื้อรัง

สาเหตุเกิดจากมีภาวะดื้อต่ออินซูลินและการอักเสบเรื้อรัง ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเร่งกระบวนการเกิดหลอดเลือดแข็งตัว ทำให้เพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจ นอกจากนี้ยังส่งผลให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูงเรื้อรังและเพิ่มโอกาสในการเกิดเบาหวานชนิดที่ 2

MetS ยังเกี่ยวข้องกับโรคไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ (NAFLD) ซึ่งอาจพัฒนาไปสู่ภาวะตับอักเสบ (NASH)  ตับแข็ง และภาวะตับวาย ในกลุ่มผู้หญิง MetS ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อกลุ่มอาการถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS) ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบสืบพันธุ์และการเผาผลาญ นอกจากนี้ งานวิจัยล่าสุดยังระบุว่า MetS อาจเกี่ยวข้องกับ ภาวะสมองเสื่อมและโรคอัลไซเมอร์ เนื่องจากการอักเสบเรื้อรังและความผิดปกติของหลอดเลือดในสมอง


ปัจจัยที่มีผลต่อ MetS ในปี ค.ศ. 2025

  1. พฤติกรรมการบริโภคอาหาร การบริโภคอาหารแปรรูป อาหารที่มีพลังงานสูง และอาหารที่มีปริมาณน้ำตาลและไขมันอิ่มตัวในระดับสูง มีความสัมพันธ์กับภาวะดื้อต่ออินซูลิน โรคอ้วน และความผิดปกติของไขมันในเลือด
  2. การขาดกิจกรรมทางกาย วิถีชีวิตที่เน้นความสะดวกสบายมากขึ้น ประกอบกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการขยายตัวของเขตเมือง ส่งผลให้ประชากรส่วนใหญ่มีระดับกิจกรรมทางกายลดลง การใช้เวลาอยู่กับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เป็นระยะเวลานานและการลดลงของการทำกิจกรรมกลางแจ้งเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่ภาวะน้ำหนักเกินและภาวะดื้อต่ออินซูลิน
  3. ปัจจัยทางพันธุกรรมและอีพิเจเนติกส์ งานวิจัยทางพันธุศาสตร์ชี้ให้เห็นว่า ปัจจัยทางพันธุกรรมมีบทบาทสำคัญต่อการเกิด MetS อย่างไรก็ตามแนวคิดที่ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คือ บทบาทของ อีพิเจเนติกส์ (epigenetics) ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงการแสดงออกของยีนที่ได้รับอิทธิพลจากปัจจัยแวดล้อม เช่น โภชนาการ และระดับฮอร์โมนในร่างกาย งานวิจัยล่าสุดระบุว่า การเปลี่ยนแปลงทางอีพิเจเนติกส์สามารถส่งผลต่อภาวะเมตาบอลิกข้ามรุ่น (transgenerational metabolic effects) ซึ่งอาจเพิ่มอัตราความชุกของ MetS ในอนาคต
  4. ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม ในกลุ่มประชากรที่มีรายได้ต่ำ มักประสบปัญหาในการเข้าถึงอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีข้อจำกัดในการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพ และมีโอกาสน้อยที่จะสามารถออกกำลังกายได้อย่างเพียงพอ ปัจจัยเหล่านี้ทำให้กลุ่มประชากรดังกล่าวมีแนวโน้มเกิด MetS สูงกว่ากลุ่มที่มีฐานะทางเศรษฐกิจที่ดีกว่า
  5. ความเครียดและปัญหาการนอนหลับ ความเครียดเรื้อรังมีผลต่อระบบต่อมไร้ท่อและสมดุลของฮอร์โมน โดยเฉพาะระดับคอร์ติซอล ซึ่งเกี่ยวข้องกับภาวะดื้อต่ออินซูลิน การสะสมไขมันในช่องท้อง และความดันโลหิตสูง นอกจากนี้ความผิดปกติของการนอนหลับ เช่น ภาวะนอนหลับไม่เพียงพอหรือโรคหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น อาจนำไปสู่ความผิดปกติของระบบเมตาบอลิซึม ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะต่าง ๆ เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวานชนิดที่ 2 และโรคหัวใจและหลอดเลือด


สรุป

การเพิ่มขึ้นของอุบัติการณ์ MetS ในปี ค.ศ. 2025 มีความเกี่ยวข้องกับปัจจัยหลายประการที่ส่งผลกระทบต่อระบบเมตาบอลิกของร่างกาย การทำความเข้าใจปัจจัยเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญในการกำหนดมาตรการป้องกันและแนวทางการรักษาที่เหมาะสม โดยเฉพาะในระดับประชากร การพัฒนาแนวทางการป้องกันที่คำนึงถึงความแตกต่างทางเศรษฐกิจ สังคม และพันธุกรรม จึงเป็นสิ่งจำเป็นในการลดอัตราการเกิด MetS ในอนาคต

 

เอกสารอ้างอิง
  1. Alberti, K. G. M. M., Eckel, R. H., Grundy, S. M., et al. (2009). Harmonizing the metabolic syndrome: A joint interim statement of the International Diabetes Federation Task Force on Epidemiology and Prevention; National Heart, Lung, and Blood Institute; American Heart Association; World Heart Federation; International Atherosclerosis Society; and International Association for the Study of Obesity. Circulation, 120(16), 1640–1645.
  2. Ng, M., Fleming, T., Robinson, M., Thomson, B., et al. (2025). Global, regional, and national prevalence of adult overweight and obesity, 1990–2021, with forecasts to 2050: A forecasting study for the Global Burden of Disease Study 2021. The Lancet, 405(10481), 813–838.

 

 

PDPA Icon

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

บันทึก