นพ. อธิพัฒน์ อธิพงษ์อาภรณ์
กุมารแพทย์โรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน
โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา
โรคหืดเป็นภาวะที่ระบบทางเดินหายใจมีการอักเสบเรื้อรังและความไวต่อสิ่งกระตุ้นสูง ผู้ป่วยโรคหืดมักมีความเสี่ยงต่อการกำเริบของโรคเมื่อได้รับสิ่งกระตุ้น เช่น ไรฝุ่น แมลงสาบ หรือเกสรดอกไม้ การรักษาด้วยวิธีภูมิคุ้มกันบำบัด หรือวัคซีนภูมิแพ้ (Allergen Immunotherapy) จึงเป็นทางเลือกที่สำคัญในการลดความรุนแรงของอาการและเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย วิธีการที่ใช้ในการบำบัดด้วยวัคซีนภูมิแพ้มี 3 วิธีหลัก ได้แก่ Subcutaneous Immunotherapy (SCIT), Sublingual Immunotherapy (SLIT) และการใช้ Allergoid
ข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาด้วยวิธีภูมิคุ้มกันบำบัด ในปัจจุบันมีดังนี้
Subcutaneous Immunotherapy (SCIT)
เป็นการฉีดสารก่อภูมิแพ้เข้าสู่ร่างกายในปริมาณที่เพิ่มขึ้นทีละน้อยจนถึงระดับที่ร่างกายสามารถทนต่อสารก่อภูมิแพ้ได้โดยไม่เกิดอาการ วิธีนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพสูงในการลดอาการของโรคหืดที่เกี่ยวข้องกับสารก่อภูมิแพ้ เช่น ไรฝุ่น ขนสัตว์ หญ้า การศึกษาหลายชิ้น เช่น การวิจัยของ Calderón et al. (2014) พบว่า SCIT สามารถลดความจำเป็นในการใช้ยาควบคุมอาการและลดการกำเริบของโรคได้ถึง 50% ในผู้ป่วยบางกลุ่ม อย่างไรก็ตาม การรักษาด้วยวิธีนี้ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเนื่องจากมีความเสี่ยงต่อการเกิดอาการแพ้รุนแรง (Anaphylaxis) ระยะเวลาในการรักษาด้วยการฉีดอย่างน้อย 3 ปี
- เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคหืดระดับเล็กน้อยถึงปานกลางที่ควบคุมอาการได้ดีด้วยยา (GINA Guidelines, 2021) และมีการแพ้สารก่อภูมิแพ้ในอากาศที่ชัดเจน เช่น ไรฝุ่น หญ้า เป็นต้น
- มีประโยชน์ในผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วย Inhaled corticosteroid แล้วยังควบคุมอาการไม่ได้
- ผู้ป่วยที่ต้องการลดความจำเป็นในการใช้ยาระยะยาวและต้องการควบคุมอาการในระยะยาว โดยมีข้อมูลชัดเจนในโรคภูมิแพ้จมูก โรคหืด และมีข้อมูลในผื่นแพ้ผิวหนังจากภูมิแพ้และภูมิแพ้ตา
- ห้ามใช้ในผู้ป่วยโรคหืดระดับรุนแรงหรือโรคหืดที่ยังควบคุมอาการไม่ได้ หรือ FEV1 < 70%
- ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อการเกิด Anaphylaxis สูง เช่น มีประวัติแพ้อย่างรุนแรงต่อสารก่อภูมิแพ้
- ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่มีภาวะทางจิตใจ ที่ไม่สามารถร่วมมือในการรักษาได้
Sublingual Immunotherapy (SLIT)
เป็นวิธีการบริหารวัคซีนภูมิแพ้ผ่านทางใต้ลิ้น โดยผู้ป่วยจะวางสารก่อภูมิแพ้ในรูปแบบเม็ดไว้ใต้ลิ้น เป็นระยะเวลาสั้น ๆ ก่อนกลืน วิธีนี้สะดวกและปลอดภัยกว่า SCIT และสามารถใช้ได้ที่บ้าน การศึกษาของ Durham et al. (2016) ระบุว่า SLIT มีประสิทธิภาพในการลดอาการของโรคหืดและภูมิแพ้จมูกได้อย่างมีนัยสำคัญ มีความสะดวกในการใช้งาน เพราะผู้ป่วยไม่ต้องไปพบแพทย์ทุกสัปดาห์หรือทุกเดือนแบบวิธีฉีด ทำให้วิธีนี้ได้รับความนิยมมากขึ้น โดยเฉพาะในผู้ป่วยเด็กวัยเรียน หรือผู้ป่วยผู้ใหญ่วัยทำงาน โดยสามารถใช้ได้ในผู้ป่วยที่อายุมากกว่า 12 ปี
- ใช้ได้กับผู้ป่วยโรคหืดที่มีอาการแพ้สารก่อภูมิแพ้ที่ตรวจยืนยันแล้ว เช่น ไรฝุ่นหรือหญ้า โดยในประเทศไทยปัจจุบันมีเพียงวัคซีนสำหรับผู้ป่วยแพ้ไรฝุ่นเท่านั้น
- เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่สะดวกในการรับการรักษาแบบ SCIT เนื่องจากต้องฉีดบ่อยครั้ง
- มีข้อดีสำหรับผู้ป่วยเด็กที่ต้องการวิธีการรักษาที่ปลอดภัยและสะดวกกว่า อาการข้างเคียงมักเป็นแบบผลข้างเคียงเฉพาะที่ เช่น คันลิ้น หรือลิ้นบวม โอกาสเกิดผลข้างเคียงเช่นแพ้รุนแรง น้อยมาก
- มีข้อมูลชัดเจนในโรคภูมิแพ้จมูก โรคหืด และมีข้อมูลไม่ชัดเจนในผื่นแพ้ผิวหนังจากภูมิแพ้ ภูมิแพ้ตา และโรคภูมิแพ้อื่น ๆ
- ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่มีอาการหอบหืดกำเริบหรือโรคหืดที่ไม่สามารถควบคุมได้
- ผู้ป่วยที่มีโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือโรคมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน
- หลีกเลี่ยงการใช้ในผู้ที่ไม่สามารถปฏิบัติตามคำแนะนำ เช่น การใช้ยาใต้ลิ้นอย่างสม่ำเสมอ
- ในประเทศไทยแนะนำให้ใช้ในเด็กที่อายุมากกว่า 12 ปีขึ้นไป แต่แนวโน้มอาจลดลงหากมีงานวิจัยสนับสนุนการใช้ในเด็กเล็ก
Allergoid
Allergoid เป็นวัคซีนภูมิแพ้ที่ได้รับการปรับโครงสร้างทางเคมีเพื่อเพิ่มความปลอดภัยและลดความเสี่ยงของการเกิดอาการแพ้รุนแรง วัคซีนชนิดนี้มีคุณสมบัติในการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการศึกษาของ Alvarez-Cuesta et al. (2020) พบว่า Allergoid สามารถลดอาการของโรคหืดในผู้ป่วยที่แพ้ไรฝุ่นได้อย่างมีนัยสำคัญและมีผลข้างเคียงต่ำเมื่อเทียบกับวัคซีนภูมิแพ้แบบดั้งเดิม ปัจจุบันสามารถใช้ได้ในผู้ป่วยภูมิแพ้ทางเดินหายใจที่อายุมากกว่า 5 ปี
- เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคภูมิแพ้จมูก หรือโรคหืดร่วมกับภูมิแพ้จมูก ที่แพ้สารก่อภูมิแพ้ชนิดจำเพาะ เช่น ไรฝุ่น ละอองหญ้าหรือสารก่อภูมิแพ้อื่น ๆ
- ใช้ในผู้ป่วยที่ต้องการวิธีการรักษาโดยการฉีด โดยผลลัพธ์ในระดับใกล้เคียงกับ SCIT (Alvarez-Cuesta et al., 2020)
- สามารถใช้สำหรับผู้แพ้สารก่อภูมิแพ้หลายชนิดพร้อมกัน เช่นเดียวกับ SCIT
- ห้ามใช้ในผู้ที่มีประวัติแพ้สารในวัคซีนอย่างรุนแรง
- ไม่แนะนำในผู้ป่วยที่มีโรคหืดขั้นรุนแรง มีอาการกำเริบบ่อยหรือยังควบคุมโรคไม่ได้
- ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์ในช่วงเริ่มต้นของการรักษา
เปรียบเทียบประสิทธิภาพและความเหมาะสม
ทั้ง SCIT และ SLIT มีประสิทธิภาพในการลดอาการของโรคหืดที่เกี่ยวข้องกับสารก่อภูมิแพ้ แม้ว่า SCIT จะให้ผลที่ดีกว่าในระยะยาว แต่ SLIT มีความสะดวกและความปลอดภัยสูงกว่า ในขณะที่ Allergoid เป็นทางเลือกใหม่ที่ผสานข้อดีของทั้งสองวิธี โดยเน้นความปลอดภัยและลดความเสี่ยงของการแพ้รุนแรง แต่ค่าใช้จ่ายในการรักษายังค่อนข้างสูง ดังนั้น การเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมจึงขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น ความสะดวก ความปลอดภัย และความเหมาะสมกับสภาพของผู้ป่วย
ข้อควรระวังและแนวทางปฏิบัติ
ผู้ป่วยโรคหืดที่ต้องการรับการรักษาด้วยวัคซีนภูมิแพ้ควรได้รับการประเมินโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสม รวมถึงการติดตามผลอย่างต่อเนื่องเพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดอาการข้างเคียง การศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวัคซีนภูมิแพ้และเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น Allergoid สามารถช่วยให้ผู้ป่วยและแพทย์ตัดสินใจเลือกแนวทางการรักษาที่ดีที่สุดได้
สรุป
วัคซีนภูมิแพ้เป็นทางเลือกที่สำคัญในการรักษาโรคหืด โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่อาการไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาเพียงอย่างเดียว สิ่งสำคัญในการรักษาโรคหืดคือ การหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น การใช้ยา controller ซึ่งยาหลักคือ Inhaled corticosteroid และการรักษาโรคร่วม หากการรักษาด้วยวิธีดังกล่าวยังได้ผลไม่ดี และผู้ป่วยไม่สามารถเลี่ยงสิ่งกระตุ้นได้ดี การเลือกวิธีการรักษาด้วยวัคซีนภูมิแพ้จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาและลดความเสี่ยงจากสารก่อภูมิแพ้
- Calderón MA, Demoly P, Gerth van Wijk R, Bousquet J, Sheikh A, Frew AJ, et al. EAACI: A European Declaration on Immunotherapy. Designing a framework to improve the implementation of allergen immunotherapy in Europe. Allergy. 2021;76(3):738-742.
- Durham SR, Emminger W, Kapp A, Colombo G, de Monchy JG, Rak S, et al. Long-term clinical efficacy of grass-pollen immunotherapy. N Engl J Med. 2020;382(1):15-24.
- Alvarez-Cuesta E, Berenguer-Garcia A, Tabar-Purroy AI. Allergoid immunotherapy for allergic asthma: A systematic review of efficacy and safety. J Allergy Clin Immunol. 2023;151(2):511-520.
- Bousquet J, Pfaar O, Togias A, Schünemann HJ, Ansotegui I, Papadopoulos NG, et al. 2020 ARIA Care Pathways for allergen immunotherapy. J Allergy Clin Immunol Pract. 2020;8(1):56-73.
- Casale TB, Canonica GW, Bousquet J, Cox L, Lockey RF, Nelson HS, et al. Allergic asthma and the safety of allergen immunotherapy: Risk assessment and management. Allergy Asthma Proc. 2021;42(4):255-265.
- Kleine-Tebbe J, Mösges R, Pfaar O, Klimek L, Jutel M. Novel developments in sublingual immunotherapy for allergic respiratory diseases. Expert Rev Clin Immunol. 2022;18(4):291-302.
- Akdis CA, Ballmer-Weber BK, Beyer K, Boyle RJ, Hellings PW, Nadeau KC, et al. Immunological mechanisms of allergen-specific immunotherapy. Nat Rev Immunol. 2022;22(9):541-556.
- O’Hehir RE, Wooldridge D, Bartolozzi F, Weinstein SF, Wood RA, Creticos PS. Advances in subcutaneous immunotherapy for asthma and allergic rhinitis. J Allergy Clin Immunol. 2021;148(3):632-641.
- Durham SR, Walker SM, Varga EM, Jacobson MR, O’Brien F, Noble W, et al. Sublingual immunotherapy for allergic rhinitis: Efficacy and safety compared to subcutaneous immunotherapy. Allergy. 2020;75(5):1048-1059.
- Pfaar O, Agache I, de Blay F, Bonini M, Chivato T, et al. Perspectives in allergen immunotherapy in the COVID-19 pandemic: Current state and future needs. Allergy. 2021;76(3):664-676.